แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 42: เที่ยวกรุงปราก (3)

               ยิ่งย่างกรายเข้าสู่พื้นที่จัตุรัสเมืองเก่าของกรุงปราก บรรยากาศสีสันโดยรอบก็ยิ่งครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนทุกเพศทุกวัย อีกทั้งตัวอาคารสถานที่แต่ละแห่งถูกทาด้วยสีอ่อน ๆ สบายตา มองดูแล้วชวนให้ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายในระหว่างการเดินทาง ถึงแม้หลังคาส่วนใหญ่จะยังคงเป็นสีส้มอิฐอยู่ก็ตาม

               เหลืออีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงใจกลางของจัตุรัสเมืองเก่าแล้ว เพียงแค่เดินเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมข้างหน้า ทว่าเลวอนและผองเพื่อนกลับต้องชะลอฝีเท้าหันไปมองดูสิ่งก่อสร้างสุดมหัศจรรย์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ โดยเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญที่มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมชมมากที่สุด นั่นคือนาฬิกาดาราศาสตร์ปราก

 

 

               นาฬิกาเรือนนี้ปรากฏให้เห็นถึงหน้าปัดซึ่งแลดูแปลกตา ขอบสีดำรอบนอกรายล้อมด้วยตัวเลขอารบิกสีทอง 24 ตัว ภายในพื้นที่เป็นเลขโรมันจาก I ถึง XII จำนวนสองชุดซึ่งแทนด้วยเวลาภายในหนึ่งวัน นอกจากเข็มแบบสุริยคติกับจันทรคติแล้ว ยังมีแถบวงกลมที่แสดงถึงสัญลักษณ์ประจำเดือนสิบสองราศีอีกด้วย

               พื้นที่ของนาฬิกาส่วนใหญ่เป็นสีฟ้า ไล่ตัดขอบสีแดงเข้มลงมาจนถึงแถบวงกลมสีดำ หมายถึงตำแหน่งวัตถุบนฟากฟ้าโดยเฉพาะดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ มีศูนย์กลางเป็นรูปโลก สีของท้องฟ้าตามเวลาต่าง ๆ ถูกแบ่งออกเป็นสิบสองส่วนตามสมัยบาบิโลน ซึ่งมีความสั้นยาวแตกต่างกันตามฤดูกาล

               ในส่วนของวงกลมล่างถัดมาคือปฏิทินแจ้งวันเดือนปี ประกอบไปด้วยวงกลมใหญ่หนึ่งวงตรงกลาง และมีรูปหอคอยที่ประดับด้วยลวดลายวงกลมเล็ก ๆ แสดงถึงจำนวนสิบสองราศี ส่วนวงกลมใหญ่ซึ่งล้อมนอกกรอบสุดนั้นทำหน้าที่คอยบอกถึงเทศกาลสำคัญในแต่ละเดือน

               ทางฝั่งเสาด้านซ้ายและขวาของวงกลมบอกเวลาทั้งสองชุด ประดับด้วยหุ่นตุ๊กตาสี่ร่างคอยขนาบข้าง อันเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์แห่งสิ่งไม่ดีงามโดยไล่จากฝั่งซ้ายไปขวา ตัวแรกกำลังชื่นชมในความงามของตนเองผ่านกระจก ตัวที่สองคือชายขี้เหนียวถือถุงใส่ทองคำที่หมายถึงความละโมบ ตัวที่สามคือโครงกระดูกคอยทำหน้าที่ดึงเชือกสั่นระฆังทุกชั่วโมง โดยถือเป็นตัวแทนแห่งความตาย ส่วนตัวสุดท้ายกำลังทำท่าเล่นดนตรีซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการทางโลกและความสุข

               เมื่อแหงนมองขึ้นไปจะเห็นพบเห็นส่วนยอดของหอคอยสีน้ำตาล ประดับด้วยนาฬิกาธรรมดาซึ่งคอยบอกเวลาท้องถิ่น ถึงแม้จะได้รับการปรับปรุงใหม่ แต่ภาพรวมของหอนาฬิกาโบราณแห่งนี้กลับสื่อถึงความขรึมขลัง อันเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี รวมถึงความเป็นอัจฉริยะและจินตนาการของเหล่าผู้รังสรรค์มันขึ้นมา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดทุกคนถึงให้ความสนใจต่อสถานที่สำคัญดังกล่าวถึงเพียงนี้

               “ส-สุดยอด นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”

               “เจ๋งกว่านาฬิกาโบราณที่บ้านฉันอีกแน่ะ!”

               “ถึงจะใหญ่เทียบ Big Ben ในกรุงลอนดอนไม่ได้ก็เถอะ แต่รายละเอียดบนหน้าปัดนี่ขอยอมแพ้เลย!”

               ออเดรย์ อาเธอเรีย วัตสัน ต่างเปล่งเสียงอุทานอย่างตื่นเต้น หลังจากที่ได้แหงนมองดูหอนาฬิกาสุดซับซ้อนซึ่งแปลกตาไม่เหมือนใคร ส่วนฮิคาริ อิทสึกิ และคลาร่า แม้ว่าทั้งสามคนนี้จะไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดออกมา ทว่าด้วยความโดดเด่นสุดมหัศจรรย์ซึ่งเหนือกว่าเครื่องจักรทันสมัยชิ้นอื่น ๆ ในยุคปัจจุบัน ก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาของพวกเขาไม่ให้ไขว้เขวไปทางอื่นได้แล้ว

               และคนที่รู้สึกประทับใจกับมันมากเป็นพิเศษย่อมหนีไม่พ้นเลวอน เนื่องจากเขาชอบศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีที่ซับซ้อน วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์เป็นทุนเดิม อีกทั้งยังฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเองก็เพิ่งจะเคยเห็นสิ่งของดังกล่าวที่คล้ายคลึงกันมาแล้วครั้งหนึ่ง สิ่งนั้นคือนาฬิกาเวทมนตร์ของสเตฟาเนียนั่นเอง

               เด็กหนุ่มตั้งใจจะเอ่ยปากทักท้วงถึงเรื่องนี้ แต่ก็ต้องอดกลั้นสงบสติอารมณ์ตนเอาไว้อย่างสำรวม โดยปล่อยให้แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มเกริ่นรายละเอียด เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างสุดล้ำค่าอันแสนวิเศษและงดงามเหนือกาลเวลา ให้แก่เหล่าผองเพื่อนทุกคนไปตามปกติ

               “นี่คือหอนาฬิกาดาราศาสตร์ปราก หรือ Pražský Orloj เป็นหนึ่งในนาฬิกาดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ถูกสร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1410 อายุมากกว่าหกร้อยปี และได้ทำการปรับปรุงซ่อมแซมโดยฮานาส ซึ่งหลังจากนั้นกษัตริย์แห่งเช็กทรงมีรับสั่งให้ทหารควักลูกตาของนายช่างออก เพื่อไม่ให้ไปสร้างสิ่งที่งดงามคล้ายคลึงกันแบบนี้ในสถานที่แห่งอื่นได้อีก นอกจากนี้คนปรากยังมีความเชื่อว่า เมื่อใดก็ตามที่นาฬิกาเรือนนี้หยุดเดิน จะถือว่านั่นเป็นเหตุลางร้ายและอาจเกิดภัยพิบัติขึ้นได้ค่ะ

               องค์ประกอบหลักของนาฬิกามีอยู่สามส่วนคือ หน้าปัดที่ชี้แจงเกี่ยวกับดาราศาสตร์ การอธิบายตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า การบอกเวลาในรูปแบบต่าง ๆ ในขณะที่วงกลมหน้าปัดด้านล่างเป็นปฏิทินแบบเหรียญแกะสลักขนาดใหญ่ ทำหน้าที่คอยอธิบายเดือนหรือเหตุการณ์สำคัญทางศาสนา

               ตลอดทั้งวัน ผู้คนส่วนใหญ่มักรวมตัวกันก่อนหน้าที่นาฬิกาจะเริ่มแสดงการบอกเวลา ตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงสามทุ่ม โดยมีการแสดงท่าทางของเหล่าตุ๊กตาพร้อมด้วยเสียงระฆัง ขณะเดียวกันทางด้านบนจะมีสาวกของพระเยซูสิบสองคนออกมาเดินผ่านช่องหน้าต่างทุก ๆ ชั่วโมง

               ปัจจุบันหอคอยที่มีความสูงถึง 59 เมตรแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงบูรณะขึ้นมาใหม่ในปีคริสต์ศักราช 2018 ด้วยการทาสีให้มีความสดใสชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยแตกต่างจากสภาพเมื่อครั้งก่อนหากลองเปรียบเทียบกับรูปภาพเก่า ๆ ตามอินเทอร์เน็ตหรือตามหนังสือทั่วไปค่ะ”

               สเตฟาเนียอธิบายข้อมูลโดยสังเขปจนจบ ก่อนจะหันไปมองดูหอแห่งประวัติศาสตร์อย่างภาคภูมิใจ แม้จะแสดงสีหน้าราบเรียบออกมาก็ตาม ในระหว่างนั้นเองฮิคาริสังเกตเห็นถึงความแตกต่างระหว่างนาฬิกาบนยอดหอคอย โดยที่เข็มสั้นเดินเร็วกว่านาฬิกาดาราศาสตร์ราวหนึ่งชั่วโมง ไม่รอช้าจึงรีบหันไปซักถามกับทุกคนด้วยความฉงนใจทันที

               “นี่ ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลา 11 โมง 40 นาทีแท้ ๆ แต่ทำไมนาฬิกาเรือนนี้ถึงยังชี้ที่เลข 10 หรือตัว X ซีกบนอยู่เลย… ไม่ใช่ว่าพังแล้วงั้นเหรอ?”

               “พ… พูดอะไรแบบนั้นคะ ยังไม่ได้พังสักหน่อย!”

               โมนิก้ารีบโต้แย้งพลางคิ้วขมวดใส่ แต่หลังจากที่เด็กสาวนึกถึงความแตกต่างของวัฒนธรรมระหว่างชาวยุโรปกับชาวเอเชียขึ้นมาได้ เธอจึงสงบใจลงแล้วชี้แจงถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นให้คู่สนทนาฟัง

               “จริงด้วยสิ คุณฮิคาริเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน น่าจะยังไม่รู้จักการปรับเวลาออมแสงนี่นา ที่เห็นว่ามันล่าช้าไปหนึ่งชั่วโมงก็เพราะว่านาฬิกาเรือนนี้ยังคงใช้เวลายุโรปกลางอ้างอิงเป็นหลัก ในขณะที่เดือนนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูร้อนแถมยังเป็นซีกโลกเหนือ ช่วงเวลากลางวันจึงยาวนานกว่าตอนกลางคืน เลยต้องปรับเวลาล่วงหน้าไปหนึ่งชั่วโมงยังไงล่ะคะ

               สำหรับประเทศเช็กเกียนั้น เวลาฤดูร้อนจะเริ่มทำการปรับเปลี่ยนในอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคมเวลา 2 นาฬิกา โดยต้องตั้งค่าให้เป็น 3 นาฬิกา เมื่อถึงอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคมเวลา 3 นาฬิกา ก็ต้องปรับถอยหลังให้เป็น 2 นาฬิกา… ที่สำคัญการปรับเวลาของนาฬิกาดาราศาสตร์ปรากนั้นถือเป็นเรื่องยุ่งยากและไม่สมควรทำอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงต้องมีนาฬิกาเรือนปกติตั้งอยู่บนยอดหอคอยเพื่อเทียบเคียงค่ะ”

               “ฟังดูยุ่งยากจังแฮะ เห็นทีฉันคงต้องปรับตัวให้เข้ากับเวลาของที่นี่ไปอีกพักใหญ่เลยน่ะสิ…”

               ฮิคาริพึมพำพลางทำท่าครุ่นคิดหนักใจ แต่ก็ไม่พลาดที่จะยกสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่ายรูปหอนาฬิกาโบราณอันเลอค่าและทรงปัญญาด้วยเช่นกัน เพื่อน ๆ ที่ได้เห็นอากัปกิริยาดังกล่าวจึงพากันส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ทั้งที่ในยามปกติเธอมักจะแสดงภาพลักษณ์ดูเป็นผู้ใหญ่ เงียบขรึม และไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบตัวแท้ ๆ

               ขณะเดียวกัน เลวอนก็ได้ถือโอกาสนี้ขยับเข้าใกล้สเตฟาเนีย เพื่อเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

               “ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีเครื่องจักรล้ำสมัยแบบนี้ปรากฏอยู่ ทั้งที่เวลาผ่านไปตั้งหลายร้อยปี แถมลวดลายบนหน้าปัดเองก็คล้ายคลึงกับนาฬิกาเวทมนตร์ของสเตฟก้าด้วย”

               “ท่าทางรุ่นพี่เลวอนจะชื่นชอบนาฬิกาดาราศาสตร์ปรากน่าดู สนใจอยากลองอ่านเวลาบนหน้าปัดในรูปแบบต่าง ๆ ดูไหมล่ะคะ เดี๋ยวฉันจะสอนวิธีการอ่านให้เอง… ถึงจะดูค่อนข้างซับซ้อนไปหน่อย แต่ถ้าเข้าใจองค์ประกอบของแต่ละชิ้นส่วนแล้วล่ะก็ รับรองว่าคุณจะต้องชอบใจมันยิ่งกว่าเดิม”

               สเตฟาเนียกล่าวเชิญชวน เลวอนพลันผงกศีรษะตอบกลับอย่างไม่รีรอพลางฉีกยิ้มดีใจ ด้วยเหตุนี้เองแม่มดสาวพราวเสน่ห์จึงเริ่มสอนวิธีการอ่านเวลาบนหน้าปัดของนาฬิกาดาราศาสตร์ปรากให้แก่เขา โดยยกนิ้วชี้ไปยังส่วนต่าง ๆ พร้อมอธิบายด้วยเนื้อหาที่เข้าใจง่ายโดยปราศจากท่าทีเบื่อหน่าย

               จังหวะนั้นเอง โมนิก้าได้ชำเลืองตามองสองหนุ่มสาวคู่นั้น ซึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานโดยที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง จนเธอเริ่มเกิดความคิดอันฟุ้งซ่านซึ่งคอยบั่นทอนจิตใจของตนขึ้นมาอีกครั้ง

               พอได้เห็นคุณเลวอนกับสเตฟก้าดูเข้าขากันได้ดีแบบนี้แล้วก็รู้สึกนึกอิจฉาจัง ทำไมคนที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาถึงไม่ใช่ฉันกันนะ ทั้งที่ตัวเราเองก็อยากจะมีช่วงเวลาแห่งความสุขแบบนั้นเหมือนกันแท้ ๆ …อยากให้คุณเลวอนรู้จังเลยว่าฉันแอบคิดยังไงกับเขาอยู่ ถึงแม้ว่าผู้หญิงอย่างเราจะไม่ได้เพียบพร้อมเหมือนกับสเตฟก้าก็ตาม

               โมนิก้าละสายตามองต่ำเล็กน้อย ไม่อาจฝืนทนจ้องมองแผ่นหลังของเลวอนและสเตฟาเนียได้อีก พร้อมทั้งเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยออกมา เธอดีใจที่ได้เห็นสองคนนั้นมีความสุข และน้อยใจที่ได้เห็นบุรุษหนุ่มซึ่งตนแอบหลงรักมาเป็นเวลานาน กำลังสนิทสนมกับเด็กสาวคนอื่น โดยเฉพาะเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดมากที่สุดของตน

               “แง้! พ่อคะ แม่คะ ฮื้อฮื้อ…!”

               เสียงคร่ำครวญแหลมเล็กดังขึ้นจากทางเบื้องหลังของเหล่าสมาชิกทีม Order of the Dragon ออเดรย์และพรรคพวกจึงหันไปมองดูแล้วพบว่า มีเด็กสาวผมทวินเทลสีน้ำตาลเข้มในชุดเดรสสีน้ำเงินวัยสิบขวบ กำลังยืนร้องไห้พลางยกสองมือขึ้นมาปาดน้ำตา เลวอนเห็นดังนั้นเลยนึกสงสารจับใจรีบก้าวเท้าปรี่เข้าไปหาเธอทันที ก่อนจะนั่งชันเข่าข้างซ้ายลงแล้วเงยหน้าซักถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงละมุนดังนี้

               “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ มีปัญหาอะไรบอกพี่ได้นะ”

               “น… หนูพลัดหลงกับพ่อแม่มาค่ะ ไม่รู้ว่าพวกท่านหายไปไหน” เด็กหญิงตอบกลับพลางสะอึกสะอื้น

               “อย่ากังวลไปเลยนะ เดี๋ยวพี่จะพาไปยังจุดประชาสัมพันธ์หรือสถานีตำรวจ ให้พวกเขาช่วยประกาศตามหาพ่อแม่ของเธอเอง… รับเจ้านี่ไว้เช็ดน้ำตาก่อนสิ”

               เลวอนหยิบผ้าเช็ดหน้าสีกรมท่าขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตส่งมอบให้แก่เด็กหญิงผู้น่าสงสาร อีกฝ่ายจึงรับมันมาไว้เพื่อซับน้ำตา ขณะเดียวกันบุรุษรูปงามได้ก้มหน้าครุ่นคิดนึกหาหนทางช่วยเหลือ ก่อนจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วเงยศีรษะหันไปพูดคุยกับเหล่าสหายอีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง

               “ผมจะพาเด็กคนนี้ไปส่งที่จุดประชาสัมพันธ์หรือสถานีตำรวจให้เองครับ เชิญทุกคนล่วงหน้ากันไปก่อนเลย เดี๋ยวทางนี้จะรีบตามไปสมทบในภายหลัง”

               “อย่าแยกกลุ่มไปคนเดียวแบบนั้นสิคะ คุณเลวอนยังไม่คุ้นชินกับกรุงปรากเลย เดี๋ยวก็ได้พลัดหลงกันหรอกค่ะ” คลาร่ารีบห้ามปราม ทั้งที่เธอเองก็นึกสงสารและเป็นห่วงเด็กหญิงผู้โชคร้ายด้วยเช่นเดียวกัน

               “ถ้าหากถึงคราวที่ผมเป็นฝ่ายหลงทางเสียเอง รบกวนทุกคนช่วยนัดเจอกันอีกทีตรงหน้าหอนาฬิกาแห่งนี้ด้วยนะครับ”

               เลวอนแย้มสรวลจาง ๆ เพื่อให้ทุกคนคลายความกังวลใจ โมนิก้าที่ไม่อาจเพิกเฉยต่อความดันทุรังของเขาได้อีก จึงเริ่มอ้าปากกล่าวอาสาเพื่อยื่นมือช่วยเหลืออีกแรง

               “…!?”

               ไม่ทันที่จะเปล่งเสียงออกมา แม่มดสาวร่างบางก็พลันนึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาได้ เธอเห็นภาพของตัวเองในวัยสิบขวบยืนร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้ซึ่งคุ้นเคย ที่กำลังนั่งชันเข่าพลางนำมือหนาสากลูบสางศีรษะตนอย่างเอ็นดู ได้ซ้อนทับกับตัวเลวอนและเด็กหญิงผมทวินเทลสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ตรงเบื้องหน้าพอดี

               พ… พี่ชายคะ…

               ทว่าทันใดนั้นเอง สเตฟาเนียได้ก้าวเท้าเข้าไปสมทบกับเลวอนและเด็กหญิง พร้อมทั้งเกริ่นเสนอน้ำใจออกไป

               “ฉันจะช่วยอีกแรงค่ะ ถ้าหากได้คนที่ชำนาญเส้นทางในพื้นที่กรุงปรากอย่างฉันเดินทางไปด้วยล่ะก็ รับรองว่าไม่มีวันหลงทางแน่… ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ในระหว่างนี้ช่วยแวะเยี่ยมชมสถานที่ส่วนต่าง ๆ ภายในจัตุรัสเมืองเก่ากันไปพลาง ๆ ก่อน เสร็จธุระแล้วเดี๋ยวจะรีบตามไปทันทีค่ะ”

               ด้วยเหตุนี้โมนิก้าจึงได้สติและหลุดออกจากห้วงแห่งภวังค์ทันที พร้อมทั้งแปลกใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ทันได้เอ่ยปากกล่าวอาสาออกไปเลยแม้แต่สักประโยคเดียว กลับกลายเป็นว่าเธอถูกเพื่อนสนิทฉวยโอกาสชิงตัดหน้าตนไปเสียแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นก็ตาม

               “เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นจากนี้ไปฉันกับคุณโมนิก้าจะคอยรับหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวให้กับทุกคนต่อเอง… ขอให้ทุกอย่างราบรื่นและเดินทางปลอดภัยนะคะ”

               นักพรตสาวเวสน่าตอบตกลงพร้อมทั้งมอบคำอวยพร เลวอนและสเตฟาเนียเผยรอยยิ้มแทนคำขอบคุณ ก่อนจะจูงมือพาเด็กหญิงวัยสิบขวบก้าวเท้าออกจากจุดนี้ มุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจหรือจุดประชาสัมพันธ์ซึ่งอยู่ตรงบริเวณใกล้ ๆ ในขณะที่พวกอิทสึกิคอยยืนส่งพวกเขาอย่างเป็นกังวล

               โมนิก้าทอดสายตาจับจ้องมองแผ่นหลังของบุรุษรูปงามผมสีขาวโพลนที่กำลังเดินจากไปอย่างช้า ๆ ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ยากที่จะอธิบายได้ว่าตนนั้นกำลังนึกเสียใจ อิจฉาริษยา หึงหวง หรือแอบน้อยเนื้อต่ำใจอยู่กันแน่ วัตสันซึ่งยืนอยู่เคียงข้างเด็กสาวร่างอรชรสังเกตเห็นถึงอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไป จนทำให้เขาต้องนึกเป็นห่วงเธอ แต่ก็ไม่อาจเอ่ยถ้อยคำปลอบใจใด ๆ ออกไปได้

               โมนิก้าในตอนนี้จึงทำได้แค่เพียงเจ็บใจ และนึกเกลียดชังต่อความอ่อนแอของตนเองเท่านั้น

Options

not work with dark mode
Reset