แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 43: ช่วยเหลือเด็กหลงทาง

 

 

               เลวอน และสเตฟาเนีย ได้พาตัวเด็กหญิงผมทวินเทลสีน้ำตาลเข้มในชุดเดรสสีน้ำเงินวัยสิบขวบ ไปยังสถานที่ราชการซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางจัตุรัสเมืองเก่าไม่ไกลมากนัก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการประชาสัมพันธ์แจ้งให้ผู้ปกครองมารับตัวเธอกลับไป สถานที่แห่งนี้เป็นอาคารสีเหลืองสูงหกชั้นสไตล์โกธิคแลดูงดงาม เบื้องหน้าตรงบริเวณชั้นสี่ลงมามีธงสูงของประเทศเช็กเกียและสหภาพยุโรปประดับอาคาร เนื่องจากอยู่ติดกับย่านร้านขายของต่าง ๆ จึงทำให้ดูกลมกลืนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

               หลังจากติดต่อแจ้งพนักงานตรงเคาน์เตอร์ชั้นล่างเสร็จสิ้นแล้ว สองพ่อมดแม่มดวัยเยาว์จึงพาเด็กหญิงไปนั่งรออยู่ตรงเก้าอี้เบาะนุ่มในห้องโถงสีครีม เมื่อลองซักถามถึงรายละเอียดเบื้องต้นจึงทราบได้ว่าเธอชื่อ “อเล็กซานเดรีย” เป็นชาวอังกฤษที่เดินทางมากับครอบครัวเพื่อท่องเที่ยวกรุงปราก แต่ในระหว่างนั้นเองก็ได้พลัดหลงจากกันเสียก่อน

               “เสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ถ้างั้นพวกเรารีบกลับไปสมทบกับพวกโมนิก้ากันเถอะค่ะ”

               สเตฟาเนียเกริ่นชักชวน เลวอนผงกศีรษะเห็นพ้องก่อนจะหันมาเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยแก่เด็กหญิงผู้น่าสงสาร

               “อเล็กซานเดรีย ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่พวกพี่อยู่เป็นเพื่อนเธอไม่ได้ เพราะงั้นช่วยนั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าพ่อกับแม่จะมารับตัวเธอกลับไปนะ”

               สองพ่อมดแม่มดโบกมืออำลา ไม่ทันที่จะหันหลังก้าวเท้าเดินจากไป อเล็กซานเดรียก็ได้เอื้อมมือคว้าแขนเสื้อของทั้งคู่จนเขาและเธอต่างหยุดชะงัก แล้วหันกลับไปมองดูด้วยความประหลาดใจ โดยที่เด็กหญิงเผยสีหน้าเศร้าหมองพลางเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือตามมา

               “พี่ชาย พี่สาว อย่าเพิ่งทิ้งหนูไปสิ ช่วยรอจนกว่าพ่อกับแม่จะมารับตัวหนูกลับไปได้ไหมคะ?”

               เหล่าหนุ่มสาวจ้องมองอเล็กซานเดรียอย่างเห็นใจก่อนจะหันมาสบตามองกันเอง แน่นอนว่าทั้งสองคนต่างมีคำตอบอยู่ภายในใจเหมือนกัน จึงพยักหน้าเห็นพ้องแล้วหันกลับไปยังเก้าอี้เพื่อนั่งลงประกบเคียงข้างอีกฝ่ายโดยดุษณี ถึงแม้นว่าการตัดสินใจในครั้งนี้อาจทำให้ฮิคาริและผองเพื่อน ซึ่งกำลังยืนรอคอยพวกตนอยู่ข้างนอกนั้นต้องเสียเวลาก็ตาม

               “จริงสิ รีบส่งข้อความแจ้งให้พวกโมนิก้ารู้ก่อนดีกว่า”

               เลวอนนึกได้ดังนั้นจึงรีบหยิบสมาร์ตโฟนสีดำมันวาวขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงสแล็ค ใช้นิ้วพิมพ์ตัวอักษรเพื่อเล่าเรื่องถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คอยกวาดสายตาตรวจทานเนื้อหาดูอีกที แล้วกดปุ่มส่งข้อความไปยังมือถือของโมนิก้าเป็นอันเสร็จสิ้น

               ขณะเดียวกัน สเตฟาเนียซึ่งนั่งอยู่ทางด้านขวามือของเด็กหญิงวัยสิบขวบ ก็ได้สนทนากับอีกฝ่ายเพื่อฆ่าเวลาไปพลาง โดยกล่าวแนะนำตัวเองตามมารยาทพร้อมทั้งแย้มสรวลจาง ๆ

               “อเล็กซานเดรียใช่ไหมจ๊ะ? พี่ชื่อสเตฟาเนียนะ จะเรียกสเตฟก้าก็ได้แล้วแต่สะดวกเลย ส่วนพี่ชายคนนี้มีชื่อว่าเลวอน นับจากนี้ไปพวกเราสองคนจะคอยนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง เพราะงั้นสบายใจได้เลยจ้ะ”

               “ขอบคุณมากนะคะ พวกพี่ ๆ ใจดีที่สุดเลย”

               คราวนี้สีหน้าท่าทีของอเล็กซานเดรียเริ่มมีความสดใสร่าเริงมากขึ้น สองพ่อมดแม่มดวัยใสเห็นดังนั้นจึงเผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา และคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำลงไปนั้นถือเป็นเรื่องสมควรแล้ว ดีกว่าต้องมานึกเสียใจในภายหลัง

               บิ๊บบิ๊บ บิ๊บบิ๊บ…

               เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น สเตฟาเนียจึงล้วงมือหยิบสมาร์ตโฟนสีส้มขึ้นมาจากกระเป๋ากระโปรงฝั่งขวา เพื่อดูรายชื่อผู้ติดต่อ แล้วพบว่าเป็นเบอร์ของโมนิก้านั่นเอง ก่อนจะเงยหน้าหันไปมองเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนเพื่อแจ้งให้อีกฝ่ายได้รับทราบ

               “ขอโทษด้วยค่ะ ขออนุญาตรับสายจากโมนิก้าก่อนนะคะ”

               เลวอนผงกศีรษะตอบกลับพร้อมทั้งรับหน้าที่คอยเป็นพี่เลี้ยงเด็กชั่วคราว จากนั้นแม่มดสาวจ้าวเสน่ห์ใช้ปลายนิ้วสไลด์ปุ่มสีเขียวบนหน้าจอสมาร์ตโฟนเพื่อรับสาย ยกขึ้นมาแนบใบหูฝั่งขวาแล้วเริ่มเกริ่นบทสนทนาทันที

               “สวัสดีค่ะ”

               “ฮัลโหลสเตฟก้า เมื่อสักครู่นี้ฉันได้รับข้อความจากคุณเลวอนแล้วนะคะ ถ้างั้นพวกเราขอตัวพาเพื่อน ๆ แวะเที่ยวชมในย่านจัตุรัสเมืองเก่ากันก่อน… ทางเราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ โดยมีฉัน วัตสัน คุณฮิคาริ และคุณอิทสึกิเป็นกลุ่มแรก ส่วนซิสเตอร์เวสน่า คุณคลาร่า คุณอาเธอเรีย และออเดรย์คือกลุ่มที่สอง… จากนั้นค่อยมานัดรวมตัวกันอีกทีตอนหกโมงเย็นที่ลานหน้าอนุสาวรีย์ยาน ฮุสค่ะ”

               เสียงแหลมเล็กของเด็กสาวฟังดูคุ้นหูพลันดังแว่วขึ้น ด้วยความสงสัยสเตฟาเนียจึงเอ่ยทักท้วงต่อเพื่อนสนิทดังนี้

               “รับทราบค่ะ ว่าแต่โมนิก้าจะไม่อยู่รอรุ่นพี่เลวอนก่อนเหรอคะ?”

               “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่สำคัญคุณฮิคาริและเพื่อน ๆ ทุกคนเองต่างก็อยากเดินเที่ยวชมในย่านเมืองเก่าให้หนำใจด้วยเหมือนกัน… จริงสิ ถ้าหากสเตฟก้ากับคุณเลวอนเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญทั้งสองคนเชิญสนุกไปกับการออกเดทได้ตามสบายเลยนะคะ วันนี้ฉันจะยอมยกให้เป็นกรณีพิเศษ… ต-แต่ว่าห้ามทำอะไรแปลก ๆ ใส่เขาเด็ดขาดเชียวนะ!”

               ภายใต้น้ำเสียงสดใสของโมนิก้านั้นแอบแฝงถึงความวิตกกังวล และนั่นก็พลอยทำให้สเตฟาเนียอดเป็นห่วงคู่สนทนาไม่ได้ แม้จะรู้สึกเห็นใจ แต่หากตอบปฏิเสธกลับไปก็ถือเป็นการหักหน้า และทำลายความตั้งใจของอีกฝ่ายเสียเปล่า ๆ

               “…เข้าใจแล้วค่ะ ฉันขอให้สัญญาเลย” เด็กสาวนัยน์ตาสีส้มยอมรับข้อเสนอด้วยท่าทีจำนน

               “แหะ ๆ ช่วยทำให้คุณเลวอนรู้สึกสนุกสนานไปกับการออกเดทด้วยนะคะ… แล้วเจอกันค่ะ”

               โมนิก้าปั้นน้ำเสียงร่าเริงส่งท้ายเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกส่วนลึกภายในใจ ก่อนจะตัดสายยุติการสนทนา สเตฟาเนียละสมาร์ตโฟนออกจากใบหู พลางก้มศีรษะจับจ้องมองหน้าจอมือถือเพียงชั่วขณะหนึ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องที่ไม่สบายใจอะไรบางอย่าง พร้อมทั้งรู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป

               ทั้งที่ฉันทำเรื่องแบบนั้นกับรุ่นพี่เลวอนไปแล้วแท้ ๆ แต่โมนิก้ากลับไม่นึกโกรธเคืองเราเลย…

               แม้จะยังคาดเดาไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วโมนิก้ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่สเตฟาเนียสามารถยืนยันได้ชัดเจนนั่นก็คือ เพื่อนสนิทของตนนั้นแอบหลงรักเลวอนอย่างบริสุทธิ์ใจ และอยากให้เขามีความสุขกับช่วงเวลาชีวิตที่ยังหลงเหลืออยู่ เมื่อคิดได้เช่นนี้เด็กสาวจึงนึกละอายใจขึ้นมาทันที พลางโทษตัวเองไปว่าตนนั้นกำลังทรยศความเชื่อใจของอีกฝ่ายอยู่

               โดยที่สเตฟาเนียไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เธอเองก็กำลังแอบสนใจในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยเช่นกัน

               “เป็นอะไรไปสเตฟก้า มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า?”

               เลวอนซักถามอย่างเป็นห่วงหลังจากพูดคุยกับอเล็กซานเดรียได้สักพัก เด็กหญิงนัยน์ตาสีฟ้าผมทวินเทลสีน้ำตาลเข้มเองก็ได้จับจ้องมองสเตฟาเนียด้วยความฉงนเหมือนกัน แม่มดสาวพลันนำสมาร์ตโฟนเก็บใส่ลงในกระเป๋ากระโปรงตามเดิมโดยอยู่ในอาการสำรวมสุภาพ ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางพร้อมมอบคำตอบกลับไปเพื่อให้ทั้งสองคนคลายความวิตกกังวล

               “เปล่าค่ะ เมื่อสักครู่นี้โมนิก้าโทรแจ้งมาว่า พวกเธอได้แบ่งทีมออกเป็นสองกลุ่มเพื่อเดินเที่ยวชมตามมุมต่าง ๆ ในย่านจัตุรัสเมืองเก่า โดยปล่อยให้พวกเราอยู่กันตามลำพังเพียงสองคน จากนั้นค่อยมารวมตัวกันอีกทีตอนหกโมงเย็น ณ ลานหน้าอนุสาวรีย์ยาน ฮุส… ดูเหมือนว่าฉันกับรุ่นพี่เลวอนจะถูกพวกโมนิก้าทิ้งเข้าให้ซะแล้วล่ะค่ะ”

               “ถ… ถูกทิ้งงั้นสินะ ฟังดูโหดร้ายชะมัดเลยแฮะ” บุรุษจอมดาบเวทยิ้มเจื่อน

               “ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้พี่ชายกับพี่สาวต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” เด็กหญิงผู้ไร้เดียงสาเผยสีหน้าท่าทีสำนึกผิด

               “ไม่ใช่ความผิดของอเล็กซานเดรียหรอกจ้ะ เรื่องนี้ถือเป็นเหตุสุดวิสัย… อีกอย่างพวกเราสองคนเองก็เต็มใจที่จะอยู่รอคอยเป็นเพื่อนเธอด้วย เพราะงั้นอย่าคิดมากไปเลยนะ”

               สเตฟาเนียอธิบายเหตุผลด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นชัดเจน พลางกุมมือบางของเด็กหญิงซึ่งวางอยู่บนหน้าตักเพื่อปลอบประโลม อีกฝ่ายจึงเผยรอยยิ้มมุมปากให้เห็นอย่างเปี่ยมสุข ในขณะที่เลวอนเองก็แอบนึกชื่นชมนิสัยอันโอบอ้อมอารีของแม่มดสาวรายนี้อยู่ภายในใจ

               เพื่อไม่ให้การรอคอยแลดูน่าเบื่อจนเกินไป เด็กหนุ่มพยายามนึกหาไอเดียบางอย่างเพื่อฆ่าเวลาไปพลาง ๆ จนกระทั่งเริ่มฉุกคิดหนทางขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบเกริ่นต่อสเตฟาเนียด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

               “จริงด้วย สเตฟก้าเล่นมายากลเป็นนี่นา ถ้างั้นถือโอกาสนี้แสดงฝีมือให้อเล็กซานเดรียได้รับชมเป็นขวัญตาซะเลยสิ”

               “มายากล?”

               สเตฟาเนียทวนคำพูดอย่างฉงนปนประหลาดใจเล็กน้อย เลวอนออกอุบายชี้ไปยังหมวกของเธอเป็นการสื่อภาษา เธอจึงเริ่มเข้าใจถึงจุดประสงค์ของเขาในทันที พร้อมทั้งส่งเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

               “นั่นสินะคะ ถ้าหากเป็นโชว์มายากลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอกเนอะ”

               “พี่สาวจะเล่นมายากลให้ดูงั้นเหรอคะ?”

               อเล็กซานเดรียแสดงสีหน้าท่าทีตื่นเต้น สเตฟาเนียลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยยืนอยู่ห่างจากอีกฝ่ายราวสองถึงสามก้าว ถอดหมวกแม่มดออกจากศีรษะในลักษณะหงายช่องสวมขึ้นซึ่งภายในนั้นว่างเปล่า ไม่รอช้าเลวอนก็พลันรับหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินรายการกล่าวเชิญชวนด้วยน้ำเสียงโทนต่ำราวกับบุรุษวัยกลางคน เพื่อให้เด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วมไปพลาง

               “อะแฮ่ม… จากนี้ไปจะเป็นการแสดงมายากลของแม่มดสาวผู้น่ารักและแสนซนนามว่าสเตฟาเนีย ขอให้ท่านผู้ชมช่วยส่งเสียงปรบมือเป็นกำลังใจให้เธอด้วยครับ~!”

               “เย้~”

               อเล็กซานเดรียและเลวอนปรบมือส่งเสียงเชียร์ ทำเอาสเตฟาเนียถึงกับแก้มแดงระเรื่อด้วยความประหม่าเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มการแสดงโดยพลิกหมวกแม่มด เพื่อให้ผู้ชมทั้งสองเห็นพื้นที่อันว่างเปล่าของช่องสวมใส่เป็นเวลาสั้น ๆ แล้วหงายชี้เข้าหาเพดานตามปกติ จากนั้นนำมือขวาล้วงเข้าไปข้างในทำท่าทีค้นหาสิ่งของบางอย่าง

               เพียงแค่ไม่กี่วินาที สเตฟาเนียก็ได้หยิบไม้กายสิทธิ์กับผ้าคลุมจอมเวทสีดำขึ้นมาจากหมวก ให้อเล็กซานเดรียได้รับชมเป็นขวัญตา ด้วยความที่เลวอนมีไหวพริบในการรับส่งชงมุกอยู่แล้ว เด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพจึงทำเสียงประกอบการแสดงไปพลาง

               “ผ่ามพามพ้าม~”

               “ส-สุดยอดเลย พี่สาวทำได้ยังไงกันคะ?” เด็กหญิงส่งเสียงปรบมืออีกครั้งด้วยความชอบใจ

               “ความลับจ้ะ~”

               แม่มดสาวตอบบ่ายเบี่ยงพลางหลับตาซ้ายส่งซิกให้แก่ท่านผู้ชมตัวน้อย จากนั้นสวมผ้าคลุมจอมเวทให้เรียบร้อย แล้วเริ่มดำเนินโชว์มายากลอีกครั้งโดยใช้มือซ้ายถือหมวกวิเศษ ส่วนมืออีกข้างกำด้ามจับไม้กายสิทธิ์ให้ส่วนปลายแตะยังบริเวณปีกหมวก ขยับริมฝีปากร่ายคาถามนตราด้วยน้ำเสียงกระซิบ ก่อนจะตวัดกวัดแกว่งแท่งอุปกรณ์สื่อนำกระทบเข้ากับช่องสวมศีรษะเป็นการปิดท้าย

               พรึ่บ!

               ดอกกุหลาบสีแดงช่อเล็กพลันปรากฏขึ้นในช่องสวมหมวก อเล็กซานเดรียถึงกับตาโตตกตะลึงในความมหัศจรรย์ทันที แม้แต่เลวอนผู้ซึ่งเป็นถึงพ่อมดเองก็รู้สึกแบบเดียวกันจนเขาเผลอลืมทำเสียงประกอบการแสดงไปชั่วขณะ โดยที่เด็กสาวตัวเล็กไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า โชว์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลมาจากเวทมนตร์คาถาทั้งสิ้น

               “ว้าว~”

               “พี่สาวขอมอบช่อดอกไม้นี้เป็นของขวัญให้เธอจ้ะ”

               สเตฟาเนียก้าวเท้ายื่นหมวกเข้าหา อเล็กซานเดรียจึงนำสองมือบางรับช่อดอกกุหลาบจากอีกฝ่าย แล้วกล่าวคำซาบซึ้งแก่แม่มดสาวพร้อมทั้งฉีกยิ้มแก้มปริอย่างปลื้มปีติ

               “พี่สาวในตอนนี้ดูเหมือนแม่มดผู้ใจดีมาก ๆ เลยล่ะ ขอบคุณมากนะคะ”

               เลวอนรีบหันขวับมองสเตฟาเนียด้วยท่าทีตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาเกรงว่าอเล็กซานเดรียอาจรู้สึกตัวถึงเรื่องเวทมนตร์คาถาขึ้นมาได้ ทว่าแม่มดสาวแสนซนกลับส่งเสียงหัวเราะในลำคอต่อความไร้เดียงสาของเด็กหญิงหน้าใสวัยสิบขวบ รวมไปถึงสีหน้าอากัปกิริยาของบุรุษรูปงามผู้แสนซื่อด้วย จากนั้นจึงตอบกลับน้ำเสียงราบเรียบและอ่อนโยนต่ออีกฝ่าย

               “ด้วยความยินดีจ้ะ”

               ช่วงวินาทีนั้นเอง มีนักท่องเที่ยวสองสามีภรรยาชาวอังกฤษคู่หนึ่งวัยสามสิบปีตอนต้น ในชุดเสื้อลำลองสีสันสดใสกับกางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบ ได้ตรงดิ่งเข้ามายังประตูทางเข้าออกของอาคารสถานที่ราชการอย่างรีบร้อน เมื่ออเล็กซานเดรียหันไปมองดูก็ถึงกับออกอาการดีใจรีบพุ่งปรี่เข้าหาอีกฝ่ายทันที

               “พ่อคะแม่คะ!”

               “อเล็กซานเดรีย!”

               พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าพลันย่อเข่าลงพื้นพลางอ้าแขนรอรับลูกสาว เด็กหญิงผมทวินเทลสีน้ำตาลเข้มวิ่งเข้าสวมกอดทั้งคู่อย่างไม่รีรอ พร้อมทั้งได้รับการลูบสางศีรษะปลอบประโลมใจ เลวอน และสเตฟาเนียที่ได้เห็นถึงการแสดงความรักความอบอุ่นของครอบครัวดังนั้น ก็เผลออดฉีกยิ้มอย่างยินดีไม่ได้

               สามพ่อแม่ลูกลุกขึ้นยืนหลังจากปลอบโยนกันเสร็จสิ้น ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาสองหนุ่มสาวซึ่งประจำอยู่ในห้องโถงใหญ่ เลวอนรีบลุกขึ้นยืนตามมารยาท ก่อนที่ตนและสเตฟาเนียจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ถัดมานักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มได้กล่าวถ้อยคำซาบซึ้งในน้ำใจต่ออีกฝ่ายดังนี้

               “ขอขอบคุณพวกเธอทั้งสองคนมากเลยนะจ๊ะ ที่คอยช่วยเหลือและดูแลอเล็กซานเดรียให้ ไม่อย่างนั้นเราทั้งคู่คงต้องรู้สึกใจสลายแน่ ๆ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเธอลำบาก”

               “เพราะงั้นช่วยรับค่าตอบแทนน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพวกเราด้วยเถอะนะ”

               ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทอง ได้ล้วงมือหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาจากกางเกงขาสั้น เพื่อดึงธนบัตร 500 ยูโรจำนวนสองใบส่งมอบให้อย่างไม่คิดเสียดาย จนเลวอนและสเตฟาเนียต้องรีบยกมือขึ้นมาปฏิเสธด้วยท่าทีเกรงใจ เพราะถ้าหากเปรียบเทียบแปลงเป็นสกุลเงินของทางนี้แล้วจะตกอยู่ที่ประมาณ 25,000 โครูนาเช็ก ซึ่งนับว่ามากโขสำหรับพวกเขาเลยทีเดียว

               ด้วยเหตุนี้เลวอนจึงต้องกล่าวปฏิเสธค่าตอบแทนอย่างท่าทีสุภาพ

               “ไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับ ทางนี้ยินดีช่วยเหลืออเล็กซานเดรียเพราะด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว ที่สำคัญพวกเราคงรับเงินจำนวนมากขนาดนี้เอาไว้ไม่ได้หรอก กรุณาเก็บเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นเถอะนะครับ”

               “แค่ได้เห็นอเล็กซานเดรียกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของครอบครัวอย่างปลอดภัย พวกเราก็พอใจมากแล้วล่ะค่ะ” แม่มดสาวผมสีส้มกล่าวเห็นพ้อง

               “เวลาที่ผู้ใหญ่มอบสิ่งของให้ด้วยความยินดี ก็ไม่ควรที่จะตอบปฏิเสธน้ำใจกลับคืนมานะ… ช่วยรับเอาไว้ด้วยเถอะ”

               ชายวัยกลางคนกล่าวแนะนำด้วยน้ำเสียงละมุน โดยยังคงเจตนาที่จะมอบรางวัลให้ สเตฟาเนียจึงตัดปัญหาด้วยการรับสินน้ำใจจากอีกฝ่ายทั้งที่ตัวเธอยังคงรู้สึกเกรงใจ พร้อมทั้งกล่าวคำซาบซึ้งอย่างนอบน้อม

               “ขอบพระคุณมากค่ะ เช่นนั้นแล้วพวกเราขอรับน้ำใจไมตรีนี้เอาไว้นะคะ”

               “อ๊ะจริงสิ พี่มีของขวัญที่ระลึกอยากจะมอบให้เธอก่อนจากลาด้วยล่ะ”

               เด็กหนุ่มนำมือขวาล้วงกระเป๋าสตางค์จากกางเกงสแล็ค เพื่อหยิบเหรียญสีทองสดใสแวววาวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 24 มิลลิเมตรขึ้นมา ด้านหน้าประทับตราสัญลักษณ์รูปอินทรีฝั่งซ้ายกับสิงโตฝั่งขวาซึ่งกำลังถือประคองโล่ หรือตราแผ่นดินของประเทศอาร์มีเนีย บริเวณรอบขอบวงกลมจารึกตัวอักษรภาษาถิ่น ส่วนอีกด้านกำกับหมายเลขอารบิกมูลค่า 200 ดรัมอาร์มีเนีย แล้วส่งมอบให้แก่เด็กหญิงวัยสิบขวบ

               อเล็กซานเดรียรับสิ่งนั้นเอาไว้โดยที่ในมือยังคงกำช่อดอกกุหลาบ ก้มหน้ามองดูอย่างสนใจก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

               “ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่ตัวอักษรบนเหรียญดูแปลกตาจังเลย พี่ชายไม่ใช่ชาวเช็กหรอกเหรอคะ?”

               “อื้ม ครอบครัวพี่เป็นชาวอาร์มีเนีย ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาห้าปีได้แล้วล่ะ… เหรียญนี้มันอาจจะไม่มีค่ามากมายสักเท่าไหร่นัก แต่พี่อยากให้เธอเก็บมันเอาไว้เพื่อเป็นความทรงจำดี ๆ ว่าครั้งหนึ่งพวกเราเคยทำเรื่องสนุกสนานร่วมกันมาก่อน แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม”

               เมื่อเลวอนกล่าวเช่นนั้นก็พลอยทำให้อเล็กซานเดรียรู้สึกแอบเศร้าใจ ถึงอย่างไรเสียงานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกราเสมอ หลังจากที่เด็กหญิงทำใจยอมรับความเป็นจริงนี้ได้ จึงกำเหรียญกับช่อดอกกุหลาบที่อยู่ในมือเล็กบางเอาไว้แน่น ยกขึ้นมาทาบอกแล้วกล่าวคำอำลาส่งท้าย พร้อมเผยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นมอบให้แก่สองหนุ่มสาววัยใส

               “พี่ชาย พี่สาว ขอบคุณมากนะคะ… รักพวกพี่ที่สุดเลยค่ะ~”

               สเตฟาเนียและเลวอนต่างแย้มสรวลละมุนละไม สามพ่อแม่ลูกชาวอังกฤษจึงโบกมืออำลาเพื่อแยกจากกัน มุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อยืนยันความเป็นผู้ปกครองและรับตัวอเล็กซานเดรียกลับที่พัก

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีส้มนำไม้กายสิทธิ์กับผ้าคลุมเก็บใส่ลงไปในหมวกแม่มด แล้วสวมไว้บนศีรษะให้เรียบร้อย จากนั้นเธอและพ่อมดหนุ่มจึงก้าวเท้าเดินออกจากสถานที่ราชการเป็นอันเสร็จภารกิจ

               เลวอนและสเตฟาเนียยังคงยืนอยู่ตรงหน้าอาคารสีเหลือง เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเส้นทางที่ทั้งคู่ต้องการจะเยี่ยมชมต่อภายในจัตุรัสเมืองเก่าปราก โดยที่บุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนเริ่มต้นบทสนทนาต่อยุวสตรีด้วยความชอบใจ

               “สเตฟก้าเนี่ยใจดีจังเลยนะ ถึงขนาดยอมแสดงอิทธิฤทธิ์ให้อเล็กซานเดรียรู้สึกประทับใจแบบนี้”

               “เทียบกับใครบางคนแถวนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ถึงขนาดยอมแยกกลุ่มเพื่อพาอเล็กซานเดรียตามหาพ่อแม่ ทั้งที่ตัวเองไม่เก่งภาษาเช็กหรือชำนาญพื้นที่ในกรุงปรากแท้ ๆ …ครั้งหน้าโปรดระมัดระวังถึงเรื่องนี้ให้มากด้วยนะคะ อะไรที่รู้สึกว่ามันเกินกำลังความสามารถของตนมากเกินไป อย่างน้อยก็ช่วยเรียกฉันมาสักหน่อยสิ”

               สเตฟาเนียกล่าวตักเตือนพลางชำเลืองหางตามองเลวอนด้วยคำพูดที่ค่อนข้างดุเชิงตำหนิ แม้ว่าสีหน้าท่าทีของเธอจะแสดงออกมาอย่างราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงกลับสื่อถึงความเป็นกังวลต่อนิสัยที่ใจดีมากเกินไปของบุรุษหนุ่ม จนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดไปชั่วขณะหนึ่ง

               เมื่อทราบว่าสิ่งที่แม่มดสาวได้อธิบายมาเมื่อสักครู่นี้เป็นเพราะเธอมีเจตนาดี และไม่อยากให้เลวอนต้องตกอยู่ในความประมาทเนื่องด้วยนิสัยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของตน พ่อมดหนุ่มจึงตอบกลับคู่สนทนาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกจริงจัง

               “ขอบคุณนะสเตฟก้า… ขอโทษด้วยที่ลงมือทำไปโดยพลการ คราวหน้าผมจะระวังให้มากกว่านี้”

               สเตฟาเนียหันมาเผยรอยยิ้มบางด้วยความดีใจ หลังจากที่อีกฝ่ายยอมเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการจะสื่อออกไป ก่อนจะล้วงมือหยิบธนบัตรสีม่วงจำนวนสองใบ ซึ่งได้รับมาจากนักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษเมื่อไม่กี่นาทีนี้ขึ้นมา แล้วยื่นให้แก่อีกฝ่าย

               “เงินทั้งหมดนี้ฉันขอยกให้รุ่นพี่เลวอนค่ะ ถือเป็นรางวัลแห่งความกล้าหาญที่คุณยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือเด็กคนนั้น”

               “ไม่เป็นไร สเตฟก้าเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ… ไม่สิ ขืนมัวเกี่ยงกันไปมาแบบนี้มีหวังคงไม่จบง่าย ๆ แน่ ถ้างั้นเรามาแบ่งเงินกันครึ่งหนึ่ง หรือไม่ก็เอาไว้ใช้ออกเดทด้วยกันเลยเป็นไง ถือเสียว่าเป็นรางวัลชีวิตสำหรับพวกเราสองคนก็แล้วกัน… เนอะ?”

               เลวอนเสนอแนะ หารู้ไม่ว่าประโยคสุดท้ายของเขานั้นได้ทำให้สเตฟาเนียถึงกับสะดุ้งตาโตเล็กน้อย แก้มของเด็กสาวจ้าวเสน่ห์แดงระเรื่อราวกับผิวแอปเปิลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มมุมปากพร้อมทั้งเกริ่นแซวอีกฝ่าย

               “ร้ายกาจจังเลยนะคะรุ่นพี่เลวอน เล่นเอ่ยปากชวนออกเดทเองแบบนี้…”

               “เอ๊ะ คือว่าเรื่องนั้น…! แย่จริงนี่ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย?” เลวอนออกอาการขวยเขินตามประสาเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาพลางหลบสายตาอีกฝ่ายพอประมาณ

               “ถ้างั้นอันดับแรกต้องจัดการกับทรงผมของรุ่นพี่เลวอนให้ออกมาเรียบร้อยดูดีเสียก่อน เพราะดูจากลักษณะภายนอกแล้วแทบไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้หญิงเลย… ฉันรู้จักร้านตัดผมดี ๆ แห่งหนึ่งในย่านแถบนี้ ตามฉันมาสิคะ”

               “เหวอ!?”

               พูดจบสเตฟาเนียก็พลันคว้ามือหนาจูงนำทางเลวอนอย่างไม่รีรอ ทำเอาบุรุษวัยเยาว์ส่งร้องเสียงสั้น ๆ แบบไม่ทันตั้งตัว สุดท้ายแล้วเขาจึงจำใจเดินตามแผ่นหลังเธอโดยไม่ปริปากปฏิเสธหรือบ่นทักท้วงอะไรเลยสักคำ พลางจับจ้องมองเด็กสาวที่อยู่ตรงเบื้องหน้าตนอย่างชอบใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทีกระฉับกระเฉงและร่าเริงสดใสกว่าที่เคยเป็นมา

               และนั่นก็ทำให้เลวอนไม่อาจฝืนสะกดรอยยิ้ม ต่อความน่ารักและความสดใสของสเตฟาเนียได้อีกเลย

Options

not work with dark mode
Reset