แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 46: ความกังวลใจของโมนิก้า

               “เดี๋ยวสิ ปล่อยให้พวกเราสองคนเล่าเรื่องแล้วตัวเองปิดปากเงียบคนเดียวแบบนี้มันไม่แฟร์นะเฟ้ย!”

               “เพื่อความเสมอภาคเท่าเทียม ท่านโมนิก้าต้องเล่านะขอรับ!”

               พ่อมดหนุ่มจอมทะเล้น กับบุรุษเทพสุนัขผู้ใสซื่อพร้อมใจกันส่งเสียงประท้วง ในตอนนั้นเองซามูไรสาวนึกไอเดียอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าใกล้โมนิก้าแล้วกระซิบกระซาบข้างใบหูเพื่อพูดจาข่มขู่

               “ถ้าไม่ยอมเล่าล่ะก็ เดี๋ยวฉันจะไปฟ้องเลวอนว่าเธอน่ะแอบจ้องมองใบหน้าของหมอนั่นตอนทีเผลอ”

               “ย-อย่านะคะคุณฮิคาริ จะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละค่ะ!”

               โมนิก้าออกอาการตื่นตระหนกรีบยอมรับข้อตกลงโดยดุษณี เธอสูดลมหายใจเข้าออกสองถึงสามครั้ง เพื่อผ่อนคลายตนเองไม่ให้หัวใจเต้นถี่จนเกินไป ส่วนฮิคาริได้ละใบหน้าออกห่างจากคู่สนทนาเพื่อลดแรงกดดัน ขณะเดียวกันวัตสันแอบนำมือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์กดปุ่มบนสมาร์ตโฟน เพื่อทำการบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐานส่งให้เลวอนและสเตฟาเนียฟังในภายหลัง

               เมื่อตั้งสติได้แล้ว โมนิก้าจึงเริ่มบรรยายเรื่องราวแสนสำคัญด้วยน้ำเสียงละมุนละไม

               “หลังจากที่พวกเรารับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนการใช้เวทมนตร์คาถาให้กับคุณเลวอนเป็นเวลาสองปี พี่มิคาอิล… พี่ชายซึ่งเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของฉันก็ได้เสียชีวิตลงจากการเข้าช่วยเหลือสมาชิกทีม ในภารกิจปราบปีศาจ ณ กรุงบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย… ตอนนั้นฉันยังอายุแค่เพียงสิบสองขวบอยู่เลย”

               “ฉ… ฉันเสียใจด้วยนะโมนิก้า เธอไม่ต้องเล่าให้พวกเราฟังแล้วก็ได้”

               ฮิคาริรีบห้ามปรามด้วยสีหน้ากังวล วัตสัน และอิทสึกิที่เพิ่งรบเร้าต่อโมนิก้าเมื่อสักครู่นี้เอง ก็พลอยรู้สึกเศร้าสลดพร้อมทั้งสำนึกผิดขึ้นมาเช่นเดียวกัน ทว่าเด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้ายังคงมีจิตใจเข้มแข็ง เธอปั้นสีหน้ายิ้มสู้และส่ายศีรษะไปมา เพื่อไม่ให้เหล่าผองเพื่อนต้องหดหู่ใจไปมากกว่านี้ ก่อนจะเริ่มสาธยายเหตุการณ์ในอดีตต่อไป

               “ตอนนั้นฉันเสียใจมากจนไม่ได้เดินทางมาสอนวิชาความรู้ให้กับคุณเลวอนไปพักหนึ่ง เพราะมัวแต่เก็บตัวร้องไห้อยู่แต่ในบ้านตามลำพัง จนกระทั่งเขาได้ขอที่อยู่ของฉันจากวัตสันแล้วรีบเดินทางมาเยี่ยมถึงบ้าน ทั้งที่ร่างกายตัวเองยังฟื้นคืนสภาพไม่เต็มร้อยแท้ ๆ

               ฉันแอบหลบซ่อนอย่างเงียบ ๆ เพื่อให้คุณเลวอนคิดไปเองว่าฉันไม่อยู่บ้าน เผื่ออีกฝ่ายจะได้ถอดใจยอมแพ้แล้วกลับไปนอนพักผ่อนตามเดิม แต่เขากลับออกเดินทางตามหาฉันทั่วหมู่บ้านจนถึงเวลาค่ำ ไม่ได้สนใจเลยว่าร่างกายของตัวเองนั้นอาจได้รับผลกระทบจนอาการสาหัส

               ตอนนั้นคุณน้าเยวาได้โทรศัพท์มาถามว่าคุณเลวอนพักอยู่ที่บ้านฉันรึเปล่า เมื่อรู้ว่าเขายังไม่ได้กลับไปถึงบ้านก็เลยอดนึกกังวลไม่ได้จึงตัดสินใจรีบออกตามหา โชคดีที่พบเห็นเขาอยู่ตรงเส้นทางใกล้เขตนอกหมู่บ้านทางทิศเหนือ ฉันถึงกับวิ่งเข้าไปทุบตีคุณเลวอนทั้งน้ำตาเลย ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะเป็นผู้ชายที่บ้าบิ่นถึงขนาดนี้ ดีแค่ไหนแล้วที่อาการป่วยไม่กำเริบขึ้นมา…

               แต่คุณเลวอนก็ไม่ได้โกรธอะไร แถมยังคอยอยู่ปลอบฉันจนถึงสองทุ่ม พอเดินทางพาไปส่งถึงที่บ้านก็โดนคุณน้าเยวาเทศนาชุดใหญ่ นับแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็ได้รับการดูแลจากครอบครัวทาวิเทียน โดยพักอาศัยอยู่ที่บ้านของพวกเขาเป็นเวลาพักหนึ่ง เนื่องจากฉันได้สูญเสียคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายไปหมดแล้ว… นี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับการเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปจากพวกเขา และเป็นช่วงเวลาอันอบอุ่นที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมาเลยล่ะค่ะ

               ถึงแม้ว่าคุณเลวอนจะคอยเอาใจใส่และปลอบโยนฉันอยู่บ่อยครั้งเสมือนดั่งเป็นพี่ชายคนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากเสนอตัวเป็นพี่ชายให้แก่ฉัน และไม่เคยคิดว่าตัวเองคือตัวแทนของพี่มิคาเอลเลยด้วยซ้ำไป… แต่เพราะคุณเลวอนไม่เคยนึกฉวยโอกาสล่วงเกินฉันเลยสักครั้งในระหว่างที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน ฉันก็เลยรู้สึกไว้วางใจและคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้ ในยามที่ตัวเองเศร้าโศกหรือทุกข์ใจค่ะ”

               โมนิก้าเผยรอยยิ้มจาง ๆ อย่างพึงพอใจหลังจากพูดจบ ในฐานะที่ฮิคาริเป็นผู้หญิงเหมือนกัน เธอจึงเข้าใจในความรู้สึกและความปรารถนาของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ก่อนจะเกริ่นแซวออกไป

               “นี่เธอ ตกหลุมรักคนบ้าพรรค์นั้นเข้าเต็มเปาแล้วงั้นสินะ”

               “พ-พ-พ-พูดเรื่องอะไรกันคะ!!?”

               แม่มดสาวร่างอรชรถึงกับตาโตหน้าแดงแปร๊ดจนถึงใบหู เทพสุนัขหนุ่มที่ได้ยินสตรีจอมดาบเวทกล่าวแซวดังนั้นจึงเร่งเสนอความคิดเห็น พร้อมทั้งหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเพื่อค้นหารายชื่อผู้ติดต่อทันที

               “ดีล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวข้าจะโทรไปบอกท่านเลวอนให้เองนะขอรับ”

               “ม-ไม่ได้นะคะ!!”

               โมนิก้าเอื้อมแขนเขย่งปลายเท้าหมายจะคว้ามือถือจากอีกฝ่ายเสียให้ได้ ทันใดนั้นเองวัตสันได้พุ่งเข้าไปล็อกตัวอิทสึกิจากทางด้านหลัง ส่วนฮิคาริง้างกำปั้นขวาซัดใส่หน้าท้องของบุรุษเทพสุนัข จนอีกฝ่ายส่งเสียงร้องดัง “แอ๊ก!?” พร้อมทั้งบิดงอตัวด้วยความเจ็บปวด ถัดมาพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาจึงพลันดุตวาดต่อสหายคนสนิทอย่างร้อนรนใจ

               “บ้ารึเปล่าเจ้าทึ่ม เรื่องแบบนี้ต้องให้เจ้าตัวเป็นคนบอกเองสิฟะ!”

               “ข… ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ”

               อิทสึกินำสมาร์ตโฟนเก็บใส่ลงในกระเป๋ากางเกงสแล็คทั้งน้ำตา โมนิก้าถอนหายใจโล่งอก ก่อนที่วัตสันจะคลายแขนออกจากร่างของเพื่อนสนิทตามปกติ ในระหว่างนี้ฮิคาริได้ก้มใบหน้าลงเพียงเล็กน้อย พร้อมทั้งเอ่ยพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

               “พอได้ยินเรื่องเล่าจากปากของพวกนายทุกคนแล้ว ฉันก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเลวอนถึงมีนิสัยแบบนี้”

               “ค… คุณฮิคาริ กำลังยิ้มอยู่งั้นเหรอคะ?”

               “กำลังยิ้มอยู่แหละขอรับ”

               “ยิ้มออกมาจนได้สินะ”

               โมนิก้า อิทสึกิ และวัตสัน พร้อมใจกันกล่าวแซวตามลำดับ ฮิคาริจึงแสดงท่าทีลนลานพลางหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห เพื่อกลบเกลื่อนความเหนียมอายของตนเองเอาไว้ทันที

               “น-นี่พวกนาย ฉันยิ้มแล้วมันจะทำไมกันยะ อยากมีปัญหากับฉันมากนักรึไง!?”

               ซามูไรสาวยกมือขวาขึ้นมาเพื่อปิดซ่อนสีหน้าของตน เหล่าสองบุรุษหนุ่มจอมทะเล้นจึงส่งเสียงหัวเราะต่ออากัปกิริยาของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเองโมนิก้าได้แอบถอนหายใจแผ่วเบาโดยยังคงความรู้สึกขุ่นมัวเอาไว้ภายในอก จนฮิคาริต้องเกริ่นซักถามคู่สนทนาออกไปด้วยความกังวล

               “เป็นอะไรไปน่ะ ฉันเห็นเธอทำสีหน้าแบบนั้นมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ถ้าหากมีเรื่องไม่สบายใจล่ะก็เล่าให้ฉันฟังได้นะ”

               อิทสึกิ และวัตสัน กลับมาอยู่ในอาการสำรวมพลางจับจ้องมองโมนิก้าอย่างเป็นห่วง แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้านึกลังเลใจเพียงชั่วครู่พร้อมทั้งกวาดสายตามองพรรคพวก จนตระหนักได้ถึงความห่วงใยที่พวกเขามีให้ต่อตน ในที่สุดเธอก็ได้ตัดสินใจเล่าสาเหตุที่แท้จริงออกไปโดยปั้นสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มจาง ๆ

               “ฉันแค่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยค่ะ ตั้งแต่ตอนที่คุณเลวอนกับสเตฟก้าต่อสู้กับปีศาจ Aka Manah จนโค่นล้มได้สำเร็จก็ทำให้ฉันแอบรู้สึกน้อยใจขึ้นมา เหมือนกับว่าตัวเองไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่เพื่อน ๆ เลย… ตอนนี้ฉันยังคงครุ่นคิดอยู่เสมอว่าถ้าหากตัวเองแข็งแกร่งเหมือนสเตฟก้า เหมือนพวกคุณฮิคาริบ้างล่ะก็ บางทีฉันคงมีสิทธิ์ได้ร่วมต่อสู้ในแนวหน้าและอยู่เคียงข้างคุณเลวอนได้อย่างเต็มภาคภูมิ

               หลังจากที่คุณเลวอนฝึกซ้อมพิเศษมาได้สองสัปดาห์ ความสามารถของเขาก็เริ่มก้าวกระโดดจนไล่ตามหลังฉันทัน… ไม่สิ บางทีอาจจะแซงนำหน้าฉันไปแล้วก็ได้ ทุกครั้งที่มองแผ่นหลังนั่นจากที่ไกล ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนถูกทิ้งเอาไว้ให้อยู่ด้านหลังเพียงลำพังทั้งที่ฉันเคยเป็นฝ่ายปกป้องเขามาโดยตลอด แล้วยิ่งมารู้ว่าคุณเลวอนกับสเตฟก้ามีอะไรกันเพื่อฟื้นฟูพลังเวทให้กลับคืนมา อีกทั้งยังมีความสนิทสนมมากกว่าครั้งก่อน ๆ ก็ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบพูดไม่ออก…”

               แทนที่จะโล่งใจที่ได้ระบายความอัดอั้นออกไป ทว่าแม่มดสาวร่างเล็กกลับเริ่มรู้สึกทรมานหัวใจมากยิ่งขึ้น ถึงกระนั้นแล้วเธอยังคงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาผ่านทางถ้อยคำต่อไปจนถึงที่สุด

               “ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่พวกเขาสองคนได้ทำลงไปนั้นเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ แต่ฉันก็ไม่อาจทำใจยอมรับมันได้อยู่ดี ฉันในตอนนี้มันอ่อนแอและไม่มีอะไรโดดเด่นพอที่จะสู้คนอื่น ทั้งที่ไม่ควรนึกอิจฉาริษยาต่อเพื่อนสนิทตัวเอง หรือใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลแล้วแท้ ๆ

               อ-อะไรกัน โตจนป่านนี้แล้วทำไมฉันถึงต้องร้องไห้ออกมาด้วย น่าอายที่สุดเลย… ขอโทษด้วยนะคะคุณฮิคาริ ทุกคน…”

               เสียงจากหัวใจของโมนิก้าได้ถูกระบายออกมาผ่านทางคำพูดพร้อมด้วยหยาดน้ำตา แม่มดสาวผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนพยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้น พลางยกสองมือบางขึ้นมาปิดบังใบหน้าอันเศร้าหมองเอาไว้ ฮิคาริจึงเข้าไปโอบกอดเพื่อให้อีกฝ่ายซบลงบนเรือนร่างตน แล้วกล่าวปลอบประโลมเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

               “ร้องไห้ออกมาจนกว่าจะพอใจเถอะ เวลาที่พบเจอหน้าสองคนนั้นอีกครั้ง อย่างน้อยเธอก็จะได้มีแรงส่งยิ้มให้พวกเขา”

               วัตสันยืนมองดูโมนิก้าด้วยความสงสาร พลางนำมือลูบสางแผ่นหลังเธอเพื่อปลอบขวัญกำลังใจ อิทสึกิไม่อาจสรรหาคำพูดใดเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ จึงจำใจปล่อยให้อีกฝ่ายได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกมาทั้งหมด ให้มลายจางหายไปพร้อมกับหยาดน้ำตา ท่ามกลางแสงตะวันที่ค่อย ๆ คล้อยลงยังเส้นขอบฟ้า

               มีเพียงสองสิ่งที่โมนิก้าไม่สามารถระบายความรู้สึกออกไปให้ทุกคนรับรู้ได้ นั่นคือเธอได้มองเห็นภาพทับซ้อนถึงพี่ชายผู้ล่วงลับขึ้นมาหลังจากที่ใกล้ชิดกับเลวอน และเรื่องที่เธอแอบหลงรักเขามาโดยตลอดอย่างสุดหัวใจ

               โมนิก้าจึงยังคงต้องปิดบังความลับนี้เอาไว้ จนกว่าเธอจะลบล้างเลวอนออกไปจากหัวใจได้เอง หรือจนกว่าฝ่ายชายจะตอบรับความรู้สึกของเธอด้วยความเต็มใจ

 

               ********************

 

               เวลา 18 นาฬิกา ณ ลานหน้าอนุสาวรีย์ยาน ฮุส ใจกลางจัตุรัสเมืองเก่ากรุงปราก ตั้งอยู่ห่างจากหอนาฬิกาดาราศาสตร์ปรากไม่ไกลมากนัก เป็นงานประติมากรรมหินสีฟ้าอ่อนปรากฏรูปเหล่าผู้คนในอิริยาบถต่าง ๆ โดยเฉพาะรูปปั้นบุรุษวัยกลางคนรายหนึ่งซึ่งไว้หนวดเคราในชุดยุคกลาง และถือเป็นนักปรัชญาและบาทหลวงคนสำคัญชาวโบฮีเมียผู้มีชื่อเสียง กำลังยืนโดดเด่นอย่างสง่างามโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออกท่ามกลางแสงอัสดง

               เวสน่า ออเดรย์ คลาร่า อาเธอเรีย อิทสึกิ วัตสัน ฮิคาริ และโมนิก้า ได้กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งตามที่นัดหมายเอาไว้ ทุกคนกำลังยืนรอคอยสมาชิกที่เหลืออีกสองคน ณ ลานหน้าอนุสาวรีย์ยาน ฮุส โดยบริเวณพื้นที่รอบ ๆ แห่งนี้ยังคงมีนักท่องเที่ยวและชาวพื้นเมืองมากหน้าหลายตา ต่างเดินพลุกพล่านเยี่ยมชมความสวยงามของเมืองเก่าแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย

               “นั่นไง ๆ ทั้งสองคนกำลังเดินมาทางนี้แล้ว”

               ออเดรย์ส่งเสียงชี้นิ้วไปยังเลวอนและสเตฟาเนียซึ่งกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ จากหัวมุมของอาคารหอนาฬิกาดาราศาสตร์ปราก พร้อมทั้งกระดิกหูส่ายหางไปมาด้วยความดีใจ เมื่อสองหนุ่มสาวเดินเข้ามาสมทบกับเหล่าบรรดาสมาชิกกลุ่มประกาศิตแห่งมังกรจนกระทั่งครบจำนวนสิบคน ฮิคาริก็รีบเกริ่นตำหนิทั้งคู่โดยไม่รีรอช้า

               “ช้าจริง มาสายไปสองนาทีนะ… อ-เอ๊ะ เลวอนนี่นาย…?”

               ซามูไรสาวชะงักคำพูดพลางอ้าปากค้างตาโตเล็กน้อยเพียงชั่วขณะ แม้แต่เหล่าผองเพื่อนเองต่างก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน หลังจากที่ทุกคนได้เห็นทรงผมใหม่ของเลวอน แม้ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก และยังพอเหลือเค้าทรงเดิมอยู่บ้าง

               “ค… คุณเลวอนตัดผมมางั้นเหรอคะ?”

               “ตายจริง ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้นเยอะเลยค่ะ”

               “เท่ไม่หยอกเลยนี่นาเจ้าลูกศิษย์”

               “ไม่นะ พ่อหนุ่มผมยาวของฉัน~~~~~~!!”

               เวสน่า คลาร่า และอาเธอเรียกล่าวอย่างประทับใจ ยกเว้นออเดรย์เท่านั้นที่ส่งเสียงคร่ำครวญตื่นตระหนกพร้อมแสดงท่าทีหูพับหางตกตามประสาจิ้งจอกสาว เมื่อเห็นว่าเส้นผมสีขาวอันนุ่มสลวยของบุรุษหนุ่มรูปงามที่เธอเคยหลงใหล กลับถูกตัดทอนให้สั้นลง นักพรตนงเยาว์จึงต้องทำหน้าที่ลูบสางแผ่นหลังคอยปลอบประโลมเธอด้วยความเห็นใจ

               “ทรงผมใหม่ของคุณเลวอนเข้ากับใบหน้ามากเลยล่ะค่ะ”

               โมนิก้าขยับเท้าเข้าใกล้เลวอนพลางกล่าวชื่นชมเขาด้วยรอยยิ้มบาง ทำเอาเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันถึงกับแก้มแดงแจ๋ ก่อนจะตอบกลับอีกฝ่ายอย่างเหนียมอาย

               “ข… ขอบคุณนะโมนิก้า ว่าแต่ดูน่าอายยังไงก็ไม่รู้สิ”

               “ฉันคิดว่าทรงผมของนายในตอนนี้ดูจืดชืดกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย กลับมาไว้ผมยาวเหมือนเดิมดีกว่าเชื่อฉันเถอะ… ว่าแต่ใครเป็นคนเลือกทรงผมให้นายเนี่ย เห่ยชะมัดยาดเลย”

               “ข้าน้อยแอบเห็นด้วยขอรับ”

               วัตสันและอิทสึกิเข้าไปขนาบข้างคอยพินิจพิจารณาทรงผมของเลวอน พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา สเตฟาเนียจึงรีบก้าวเท้ายื่นมือทั้งสองเข้าขยุ้มปากของเหล่าบุรุษหนุ่มอย่างจัง จนใบหน้าของพวกเขาต่างบิดเบี้ยวไม่ได้แตกต่างไปจากตอนก่อนหน้านี้เลยสักนิด ก่อนที่แม่มดสาวจ้าวเสน่ห์จะเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบพลางส่งสายตาอาฆาตใส่

               “ฉันเป็นคนเลือกทรงผมให้รุ่นพี่เลวอนเองค่ะ ทั้งสองคนมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?”

               “อ… อื้อ อื้ออออ!”

               พ่อมดหนุ่มจอมทะเล้นกับบุรุษเทพสุนัขรีบส่ายศีรษะไปมาทั้งน้ำตา ทันทีที่วัตสันและอิทสึกิยอมจำนน สเตฟาเนียจึงคลายมือออกจากใบหน้าของทั้งคู่ แล้วปล่อยให้พวกเขาใช้มือลูบบรรเทาอาการปวดตรงบริเวณดังกล่าวเอาเอง

               เลวอนซึ่งยืนมองดูอย่างเงียบ ๆ แอบส่งเสียงหัวเราะในลำคอ สเตฟาเนียเองก็หลุดขำออกมาเช่นเดียวกัน โดยมีท่าทีสนิทสนมราวกับคู่รักหรือคนรู้ใจ โมนิก้าพยายามชำเลืองสายตาไปทางอื่น เนื่องจากไม่อยากมองเห็นภาพที่ตอกย้ำความเจ็บช้ำภายในใจไปมากกว่านี้

               สเตฟก้าเป็นคนเลือกทรงผมให้งั้นเหรอ แถมคุณเลวอนเองก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรเลยด้วย ดูท่าทางการเดทในวันนี้คงไปได้สวยแหง ๆ …ถ้าหากว่าฉันเป็นคนกล่าวแนะนำเองล่ะก็ ถึงตอนนั้นเขาจะยอมตัดทรงผมใหม่ตามที่เราขอรึเปล่านะ?

               แม่มดสาวร่างบางแอบนึกครึ้มภายในใจ พลางเผยรอยยิ้มละมุนกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เลวอนและสเตฟาเนียสังเกตเห็นหรือเป็นห่วงตน

               จากนั้นเหล่าสมาชิกประกาศิตแห่งมังกรได้ก้าวเท้าออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่บริเวณหลังอาคารของอพาร์ทเมนท์ Happy Prague ข้างโบสถ์ Bethlehem Chapel หรือจุดที่ทุกคนเคยวาร์ปข้ามเวลามาเมื่อช่วงเช้า เพื่อใช้คาถาเคลื่อนย้ายย้อนกลับไปยังปราสาทสีขาว ณ ใจกลางหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานให้ทันก่อนกำหนด

               ในระหว่างเดินทาง วัตสันและพรรคพวกต่างพูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนานเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูจืดชืดจนเกินไป ขณะเดียวกันฮิคาริได้ขยับเข้าใกล้เลวอนซึ่งกำลังเดินรั้งท้ายกลุ่มตามลำพัง แล้วเอ่ยน้ำเสียงกระซิบกระซาบต่ออีกฝ่ายไปดังนี้

               “ ‘อยากจะมีความสุขกับทุก ๆ คนให้ได้มากที่สุด ก่อนถึงช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต’ งั้นสินะ ถ้าอยากให้คำอธิษฐานนี้กลายเป็นจริงก็รีบสะสางปัญหาใกล้ตัวให้เสร็จซะ… ขืนมัวชักช้ารับรองว่านายอาจต้องเสียใจในภายหลังแน่ เจ้าลูกแกะบ้า”

               “คุณฮิคาริ…?”

               เด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนรู้สึกฉงนใจต่อประโยคปริศนาเมื่อสักครู่นี้ ก่อนที่ซามูไรสาวจะปลีกตัวกลับไปสนทนากับพวกเวสน่าตามปกติ เขาใช้เวลาตีความเพียงไม่นานนัก จนกระทั่งเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ แล้วจึงหันไปจับมองแผ่นหลังของโมนิก้าซึ่งกำลังปั้นสีหน้ายิ้มแย้มพูดคุยกับเหล่าผองเพื่อน ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่นั่นก็ไม่อาจปิดบังสายตาของเลวอนได้อยู่ดี เพราะเดิมทีเขาเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลาพอจนถึงขั้นไม่สังเกตเห็นความรู้สึกของผู้อื่น

               ต้องทำอะไรเข้าสักอย่างแล้ว ไม่งั้นเราคงต้องโดนโมนิก้าเกลียดชังไปตลอดชีวิตแน่ ๆ

               เลวอนนึกเป็นห่วงเธอและอยากจะลงมือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว แต่ถึงกระนั้นเขาจำเป็นจะต้องปรึกษากับเพื่อนผู้ซึ่งมีความสนิทสนมใกล้ชิดต่อโมนิก้ามากที่สุด อย่างวัตสัน และสเตฟาเนีย เพื่อหาทางออกให้ดีเสียก่อน

               ครั้นลงมือผลีผลามโดยไม่ยั้งคิด ก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์ทั้งหมดกลับเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม

               ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะลงเอยสู่เส้นทางใดกันแน่ จะบรรจบหรือแยกขาดจากกันนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเขาและเธอทั้งสิ้น

Options

not work with dark mode
Reset