แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 53: ปิดบัง

               “เข้ามาสิ”

               สิ้นถ้อยคำอนุญาตจากผู้อาวุโส เสียงกลอนภายในก็พลันดังขึ้นก่อนที่บานประตูจะถูกผละออกโดยอัตโนมัติ โมนิก้าจึงก้าวเท้าเดินเข้าไป แล้วพบว่าภายในห้องค่อนข้างมืดสลัว ท่ามกลางแสงไฟจากเชิงตะเกียงบนโต๊ะทำงาน

               บานประตูถูกปิดโดยที่แม่มดสาวร่างเล็กไม่ทันได้สัมผัส เธอคอยกวาดสายตาจับจ้องมองดูสิ่งของต่าง ๆ ภายในห้องอย่างสนใจ ผนังแต่ละด้านมีชั้นหนังสือวางตั้งเรียงราย ชั้นวางสมุนไพร ยา หรือสารเคมีหลากหลายชนิด พร้อมกระถางต้นไม้นานาพรรณแลดูเป็นธรรมชาติ ส่วนตรงกลางห้องมีโต๊ะทำงานวางตั้งซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์

               โมนิก้าเดินเข้าใกล้โต๊ะทำงานหลักซึ่งตั้งอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของมุมห้อง มองเห็นยาโรสลาฟกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตามปกติ ไม่รอช้าเด็กสาวจึงรีบเกริ่นทักทายต่ออีกฝ่ายอย่างตะกุกตะกัก

               “ส-สายัณห์สวัสดิ์ค่ะศาสตราจารย์”

               “สายัณห์สวัสดิ์โมนิก้า อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่า?”

               ยาโรสลาฟเงยศีรษะพลางวางหนังสือลงบนโต๊ะทำงาน โมนิก้าเผยสีหน้าท่าทีประหม่าก่อนจะร้องขอต่ออีกฝ่าย

               “เอ่อ… ในนามตัวแทนของทีมประกาศิตแห่งมังกร หนูจะมาขอใบแจ้งเควสเพื่อทำภารกิจนอกเวลาน่ะค่ะ”

               “อ๋อ หาลำไพ่พิเศษนี่เอง อยากได้ภารกิจแบบไหนไปทำกันล่ะ?”

               “ภ… ภารกิจปราบพยัคฆ์ขาวค่ะ”

               “หืม…”

               พ่อมดผู้ปราดเปรื่องลากเสียง พลางจับจ้องมองคู่สนทนาราวกับอ่านความคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ในขณะที่เด็กสาวหลบสายตาลงต่ำเล็กน้อยด้วยท่าทีพิรุธ จนใบหน้าเริ่มผุดเม็ดเหงื่อไหลอาบแก้ม พลางนึกในใจว่าคงต้องถูกเขาปฏิเสธเป็นแน่

               แต่แล้วการสันนิษฐานของโมนิก้ากลับผิดพลาด เมื่อยาโรสลาฟเลื่อนมือลงหยิบใบแจ้งเควสออกมาจากลิ้นชักแล้วยื่นส่งมอบให้แก่เธอ จากนั้นเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มอีกครั้ง

               “รับไปสิ”

               “เอ๊ะ จะดีเหรอคะ?” เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าแปลกประหลาดใจเล็กน้อย

               “ทีมของพวกเธอตั้งใจจะไปกันสิบคนใช่ไหมล่ะ ถ้างั้นคงไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก ยังไงเสือโคร่งไซบีเรียตัวนั้นก็ถูกจัดให้อยู่ในระดับแรงค์ C ต่างจากปีศาจนักเชิดมนุษย์อย่าง Aka Manah ที่อยู่ในแรงค์ B+ พอสมควร… เว้นเสียแต่ว่าเธอจะแอบไปล่าเจ้าสัตว์ป่าดุร้ายตัวนั่นตามลำพังน่ะนะ”

               “…!!”

               โมนิก้าถึงกับตาโตตกตะลึง ราวกับว่าถูกอีกฝ่ายล่วงรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของตน เธอพยายามสะกดอาการหวั่นวิตกเอาไว้จนตัวเริ่มแข็งทื่อไปชั่วขณะ ส่วนยาโรสลาฟเอ่ยน้ำเสียงนุ่มลึกทักท้วงเธอด้วยท่าทีมาดทะเล้น

               “อ้าว เกิดนึกเปลี่ยนใจไม่อยากรับเควสนี้ไปทำแล้วรึยังไง?”

               “ป-เปล่าค่ะ ขอบพระคุณมากนะคะ!”

               แม่มดสาวผมสีน้ำตาลอ่อนตอบ รีบคว้าใบแจ้งเควสบนโต๊ะทำงานอย่างลนลาน ก่อนจะทำท่าถอนสายบัวโค้งศีรษะแสดงความเคารพต่อผู้นำหมู่บ้านแล้วหันหลังเดินจากไป

               “จริงสิโมนิก้า ขอเสียมารยาทซักถามเรื่องส่วนตัวสักหน่อยจะได้ไหม?”

               ยาโรสลาฟเกริ่นบทสนทนาขึ้นอีกครั้งโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายก้าวถึงบริเวณหน้าประตู โมนิก้าสะดุ้งตกใจพลางชะงักฝีเท้า รีบหมุนตัวหันหน้าไปยังศาสตราจารย์ทันที

               “ค… คะ!?”

               “ฉันเห็นว่าเธอได้ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ทำกิจกรรมร่วมกันกับเลวอน เลยอยากจะรู้น่ะว่าเป็นยังไงบ้าง”

               “เอ๊ะ!? ค… คือว่าตอนนี้หนูกับคุณเลวอนยังเป็นได้แค่เพื่อนสนิทกันน่ะค่ะ… แถมพักหลังมานี้ดูเหมือนว่าเขาจะใกล้ชิดสนิทสนมกับสเตฟก้ามาก ๆ ด้วย”

               โมนิก้าก้มหน้าสลดใจเล็กน้อย ยาโรสลาฟได้ยินดังนั้นจึงเริ่มทำท่าครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะฉีกยิ้มละมุนพร้อมกล่าวบทสนทนาปิดท้าย เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวลหรือรู้สึกกดดันตัวเองไปมากกว่านี้

               “สเตฟาเนียงั้นเหรอ ทั้งที่หล่อนมีนิสัยชอบพูดจาขวานผ่าซากและไม่ค่อยสนใจในตัวผู้ชายแท้ ๆ …จริงสิ ต้องขอโทษด้วยที่ถามอะไรไร้สาระ ฉันขออวยพรให้พวกเธอโชคดีในการทำเควสนะ”

               ยุวสตรีร่างเล็กเผยรอยยิ้มตอบกลับ ก่อนจะก้มโค้งศีรษะแสดงความเคารพอีกครั้งแล้วหันหลังเดินออกจากห้องทำงานอันมืดสลัวแห่งนี้ เหลือเพียงแค่บุรุษจอมเวทผู้ทรงสง่าเท่านั้นที่ยังคงนั่งอ่านหนังสืออย่างโดดเดี่ยวต่อไป

               “…หล่อนตั้งใจจะปิดบังเพื่อน ๆ ทุกคนอยู่นะ คิดดีแล้วเหรอที่ให้เควสนั้นไป?”

               ท่ามกลางความเงียบสงบวังเวง เสียงอันไพเราะอ่อนหวานของหญิงสาวรายหนึ่งดังแว่วขึ้น ทั้งที่ไม่มีใครนั่งอยู่ในห้องพำนักแห่งนี้เลยนอกจากยาโรสลาฟ

               “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเสียโมนิก้าก็คงไม่ได้ออกไปปฏิบัติภารกิจเพียงลำพังอยู่ดี… ถ้าหากเลวอนรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ เขาคงไม่ยอมนิ่งอยู่เฉยหรือทอดทิ้งหล่อนไปแน่” จอมเวทผู้มีใบหน้าคมคายตอบกลับอย่างใจเย็นประดุจดั่งพูดคุยอยู่กับอากาศ

               “ดูเหมือนว่าเธอจะคาดหวังในตัวเด็กหนุ่มคนนั้นค่อนข้างสูงเชียวนะ ยาโรสลาฟ”

               “คุณเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ผู้นำหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานคนแรก เอเดนา มาร์ติเนคอฟวา”

               พ่อมดพาลาดินขานเรียกชื่อคู่สนทนา พลางทอดสายตาไปยังบริเวณโต๊ะทดลองกลางห้อง พบเห็นสตรีรูปงามเจ้าของเรือนผมสีม่วงถักเปียรายหนึ่งในชุดยุโรปยุคกลาง กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้คอยหยอกเย้าภูตผีเสื้อซึ่งส่องสว่างเปล่งประกายอยู่ตรงเบื้องหน้าไปพลาง ก่อนที่ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอจะเหลือบมองมายังเขา

               “เอเดนา มาร์ติเนคอฟวา” ภูตผู้พิทักษ์ซึ่งคอยดูแลปกปักรักษาหมู่บ้านมาตลอดกว่าหกร้อยปี และเคยเป็นหนึ่งในจอมเวทพาลาดินผู้มีชื่อเสียงมากที่สุด ได้หันมาพูดคุยกับยาโรสลาฟด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย

               “ถ้าหากเป็นฉันล่ะก็ จะไม่มีวันยอมยื่นเควสที่เสี่ยงอันตรายแบบนั้นให้หล่อนอย่างเด็ดขาด โชคไม่ดีที่ตัวฉันในตอนนี้เป็นเพียงแค่ภูตผู้พิทักษ์ ทำได้แค่เพียงซ่อนอำพรางหมู่บ้านให้ลับสายตาจากผู้คน คอยป้องกันไม่ให้พวกปีศาจบุกเข้ามาเท่านั้น ไม่งั้นป่านนี้คงได้เปิดศึกลากคอจอมมารไซตอนมารับโทษประหารไปนานแล้ว”

               “ถึงตอนนั้นหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานคงได้พังพินาศเพราะสงครามเต็มรูปแบบเหมือนเมื่อครั้งก่อนแน่ ดีแล้วล่ะที่ตอนนี้คุณเป็นเพียงแค่วิญญาณ… ขืนทำตัวเลือดร้อนเหมือนสมัยตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ชาวบ้านคงได้บ่นอุบเรื่องที่พักอาศัยแหง ๆ”

               บุรุษผู้ปราดเปรื่องแซว แต่เอเดนากลับไม่ถือสาทั้งที่ตนอายุมากกว่า แน่นอนว่าทางด้านหญิงสาวเองก็ไม่พลาดโอกาสที่จะพูดจาหยอกล้อเขาคืน

               “เธอเองก็ช่างเป็นผู้นำหมู่บ้านที่ใจเย็นและกวนโอ๊ยสุด ๆ เท่าที่ฉันเคยรู้จักมาเลย… ว่าแต่เธอคิดจะเสแสร้งเล่นละครต่อหน้าเจ้านั่นไปจนถึงเมื่อไหร่กันล่ะ?”

               “ก็รอจนกว่าอีกฝ่ายจะโผล่หางออกมาซึ่ง ๆ หน้านั่นแหละ ตอนนี้พวกเรายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะไปตัดสินว่าเขาคือจอมมารไซตอน และต่างฝ่ายต่างไม่พร้อมที่จะทำศึกสงครามเต็มรูปแบบ ตอนนี้ทำได้แค่เพียงคอยจับตาเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไป… เว้นแต่ว่าเขาลงมือทำร้ายผู้คนในหมู่บ้านเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นผมเองก็คงไม่นิ่งเฉยหรือปล่อยเอาไว้หรอก”

               “ให้ตายสิ อายุเธอก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะ แก่จนจะครบรอบศตวรรษแล้วมัวแต่ทำตัวชิล ๆ อยู่ได้”

               เอเดนาเกริ่นแซวอีกครั้ง ยาโรสลาฟส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมานั่งอ่านต่อ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนไม่แยแสต่อสิ่งอื่นใด แต่ด้วยความที่ภูตสาวรู้จักนิสัยเขามาเนิ่นนานว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร จึงไม่รู้สึกกังวลใจมากนัก

               เพราะลางสังหรณ์ของยาโรสลาฟส่วนใหญ่มักจะถูกต้องและแม่นยำเสมอ

 

               ********************

 

               ช่วงเวลาเดียวกัน ณ พื้นที่สนามหญ้าใกล้นอกเขตของหมู่บ้านทางทิศเหนือ

               เลวอนได้รับการฝึกฝนวิชาดาบคาตานะจากฮิคาริเป็นกรณีพิเศษ ในขณะที่อิทสึกิทำได้เพียงยืนลุ้นให้กำลังใจแก่เขา เนื่องจากซามูไรสาวได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้บุรุษเทพสุนัขเข้ามายุ่งในคาบเรียนนี้เป็นเวลาหนึ่งวัน

               ฮิคาริและเลวอนใช้ดาบไม้ฟาดฟันใส่กันเพื่อจำลองการต่อสู้ เกิดเสียงดังกึกก้องไม่ขาดสาย เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวอมม่วงรุกจู่โจมใส่ลูกศิษย์อย่างหนักหน่วง โดยที่เด็กหนุ่มคอยตั้งรับการโจมตีจากเธอได้อย่างหวุดหวิด

               การฝึกซ้อมในคราวนี้แตกต่างจากสัปดาห์ก่อนอย่างสิ้นเชิง ฮิคาริตั้งใจอยากจะต่อสู้แบบเอาจริงเอาจัง ทันทีที่เลวอนเปิดเผยช่องว่าง เธอจึงรีบสะบัดปลายดาบตีใส่ข้อมือร่างสูงโปร่งจนอาวุธของอีกฝ่ายร่วงลงสู่พื้น รู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกปลายไม้จากปรมาจารย์จ่อเข้าที่คอหอยเสียแล้ว

               “ย… ยอมแพ้แล้วครับ”

               เลวอนยืนแน่นิ่งยอมรับความปราชัยโดยดุษณี ฮิคาริจึงลดอาวุธลงก่อนที่จะส่งเสียงดุดันพลางคิ้วขมวดใส่

               “ไม่ได้เรื่อง! นี่ถ้าหากเป็นคาตานะของจริงล่ะก็ป่านนี้นายโดนฉันฆ่าตายไปตั้งห้ารอบแล้ว แบบนี้จะมีปัญญาไปต่อสู้กับเสือโคร่งนั่นได้ยังไงกันยะ!”

               “แหม ก็ท่านฮิคาริเล่นสั่งห้ามไม่ให้ท่านเลวอนใช้วิชาลำนำสัประยุทธ์ในระหว่างการฝึกด้วยนี่นา… อีกอย่างเขาเพิ่งจะเริ่มฝึกดาบได้ไม่ถึงเดือน ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้วนะขอรับ เพราะงั้นอย่าเข้มงวดนักเลย”

               อิทสึกิใช้คำพูดประนีประนอมเพื่อให้ฮิคาริใจเย็นลง แต่ก็ไม่เป็นผล ในขณะที่เลวอนก้มหน้าสลดหดหู่เล็กน้อย เพราะรู้สึกคับแค้นใจในความอ่อนแอของตนเอง

               “เงียบไปเลยเจ้าลูกหมา!” ยุวสตรีจอมดาบเวทรีบปรี่เข้าหาเทพสุนัขหนุ่มด้วยท่าทีขึงขังพลางชี้นิ้วใส่ “ถึงแม้วิชาลำนำสัประยุทธ์จะช่วยเสริมพละกำลังให้แข็งแกร่ง แต่ถ้าหากทักษะการต่อสู้มีไม่เพียงพอมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีนั่นแหละ!”

               “พูดเหมือนกับว่าท่านเลวอนจะยอมแพ้ให้แก่ศัตรูง่าย ๆ อย่างงั้นแหละขอรับ บอกแล้วไงว่ายังมีข้า ท่านโมนิก้า และท่านสเตฟาเนียคอยร่วมทำเควสในครั้งนี้ด้วย!” ครั้งนี้เด็กหนุ่มในชุดกักคุรันเป็นฝ่ายขึ้นเสียงดุดันใส่เธอบ้าง

               “อยากให้เพื่อนรักโดนฆ่าตายนักรึไง ถ้าหากพวกเราไปกันครบสิบคนฉันจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่มีไม่ถึงห้า แถมอาการของหมอนี่ก็เพิ่งจะกลับมาทรงตัวด้วย หัดรู้ขีดจำกัดของตัวเองซะบ้างสิยะเจ้าพวกบ้า!”

               “ท… ทั้งสองคนใจเย็น ๆ ก่อนสิครับ”

               บุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนพยายามจะเข้าไปห้ามปราม ทว่าทั้งสองอาจารย์นั้นหาได้มีท่าทียอมลดราวาศอกแต่อย่างใด

               “แล้วตอนที่ต่อสู้กับปีศาจ Aka Manah นั่นล่ะขอรับ” อิทสึกิยังคงโต้คารมต่อไป “ที่พวกเราเอาชนะและรอดตายมาได้ในครั้งนั้น ไม่ใช่เพราะวิชาลำนำสัประยุทธ์จากท่านเลวอนหรอกหรือ!?”

               “ตอนนั้นเป็นเพราะโชคเข้าข้างพวกเราต่างหาก แถมศัตรูยังติดประมาทด้วย ขืนมัวแต่ลำพองใจคิดว่าตัวเองเก่งกาจพอที่จะสู้กับปีศาจแรงค์ C ได้สบาย ๆ ล่ะก็ เวลานั้นแหละคือวันสุดท้ายที่พวกนายจะได้มีชีวิตอยู่… พวกนายน่ะเป็นแค่นักเรียนจอมเวทฝึกหัดนะ ไม่ใช่นักปราบมารมืออาชีพสักหน่อย!”

               “ถ้ากังวลมากนักก็แล้วทำไมถึงไม่ยอมเข้าร่วมเควสกับพวกเราล่ะขอรับ ในเมื่อตัวเองเป็นถึงเจ้าหน้าที่ของสมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออก… อ้อจริงสิ ลืมไปเลยว่าท่านฮิคาริไม่ถนัดวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดฝั่งตะวันตกนี่นา แบบนั้นฝีมือท่านก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกเราเลยน่ะสิขอรับ ฮะฮะฮะ”

               “พูดเหมือนกับว่าตัวเองเก่งมากนักแหละเจ้าองเมียวนอกรีต!”

               “ว่าไงนะขอรับ!?”

               ——แปะ!

               เลวอนพลันเข้าแทรกระหว่างกลางพร้อมทั้งปรบมือเสียงดัง ฮิคาริกับอิทสึกิต่างสะดุ้งตกใจถอยหลังออกห่างเล็กน้อย ทำให้การทะเลาะวิวาทต้องหยุดลงไว้เพียงเท่านี้ ทั้งคู่หันไปมองดูแล้วพบว่าเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันแสดงสีหน้าคิ้วขมวดจริงจัง ก่อนที่เขาจะก้มโค้งศีรษะกล่าวถ้อยคำสำนึกผิด

               “ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณฮิคาริต้องลำบากใจและเป็นห่วงถึงขนาดนี้ อีกอย่างผมเองก็ไม่อยากทนเห็นทั้งสองคนต้องมาทะเลาะกันเพียงเพราะความเอาแต่ใจของผม เพราะงั้นผมจะขอถอนตัวจากเควสปราบพยัคฆ์ขาวในครั้งนี้เองครับ”

               “ท่านเลวอน…”

               อิทสึกิละอายใจอย่างยิ่งที่เผลอแสดงกิริยาท่าทีไม่เหมาะสมออกมาต่อหน้าเพื่อนสนิท ฮิคาริแอบเผยสีหน้าเศร้าสร้อยเล็กน้อยพลางเกริ่นเสียงพึมพำแผ่วเบา จนทั้งสองเด็กหนุ่มไม่อาจฟังจับใจความได้

               “เพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาป่านนี้รึไง เจ้าลูกแกะบ้า…”

               “ม… เมื่อกี้ว่าไงนะครับ?”

               พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนรีบเงยหน้าซักถามสงสัย แม่มดสาวจอมดาบเวทรีบกลบเกลื่อนชักสีหน้าบึ้งตึงใส่เขา

               “ม… ไม่มีอะไรย่ะ!”

               “เอ่อ… ยังโกรธผมอยู่งั้นสินะครับ?”

               “ก็ใช่น่ะสิ! …ฉันรึอุตส่าห์ตั้งใจถ่ายทอดวิชาดาบให้ แต่นายกลับเลือกที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายทั้งที่ยังไม่ได้สำเร็จหลักสูตรอะไรเลยด้วยซ้ำ นายนี่มันบ้าที่สุด”

               ฮิคาริแผ่วน้ำเสียงลงในช่วงประโยคท้ายพลางกอดอกหันหน้าไปทางอื่น เลวอนที่ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกผิดหวังเพราะตน จึงรีบพูดจาอ้อนวอนอีกครั้งโดยยังคงก้มโค้งศีรษะต่อไป

               “ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยเถอะครับ ผมสำนึกผิดแล้วจริง ๆ”

               “ถ้ารับปากว่าจะฝึกสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดฝั่งตะวันตกให้ฉันล่ะก็ ถึงตอนนั้นจะลองคิดดูอีกที”

               ซามูไรสาวยื่นข้อเสนอพลางชำเลืองตามองอีกฝ่าย บุรุษหนุ่มรูปงามจึงรีบเงยหน้าฉีกยิ้มให้เธอโดยพลัน

               “ผมยินดีที่จะสอนให้อยู่แล้วครับ ถ้าคุณฮิคาริไม่ว่าอะไร…”

               “พูดจริงเหรอ? สัญญาแล้วนะ”

               ในที่สุดท่าทีอันแข็งกร้าวของฮิคาริก็ได้อ่อนลงอย่างชัดเจน สองแก้มของเธอแดงระเรื่อจนเป็นที่น่าสังเกต ทำให้เลวอนไม่อาจละสายตาไปจากความน่ารักของเธอได้เลย ขณะเดียวกันอิทสึกิรีบชูมือซ้ายขึ้น พลางส่ายหางกระดิกหูอย่างตื่นเต้นตามประสาครึ่งมนุษย์ครึ่งสุนัข

               “นี่ ๆ ท่านเลวอนช่วยสอนข้าบ้างสิขอรับ”

               “ได้สิ เอาไว้หลังจากฝึกวิชาดาบเสร็จแล้วเดี๋ยวผมจะสอนให้เอง”

               “ไชโย!”

               อิทสึกิส่งเสียงแสดงท่าดีใจราวกับเด็กหนุ่มไร้เดียงสา ในระหว่างนั้นเองฮิคาริได้ก้าวเท้าออกจากจุดนี้ มุ่งหน้าไปยังริมถนนเพื่อนั่งพักผ่อนตรงบริเวณดังกล่าว บุรุษหนุ่มผมสีดำขลับเห็นดังนั้นจึงพลันซักถามเธอทันที

               “ท่านฮิคาริ ไม่ฝึกดาบให้ท่านเลวอนต่อแล้วเหรอขอรับ?”

               “ฉันเริ่มเหนื่อยแล้วล่ะ เดี๋ยวนายช่วยเป็นครูซ้อมดาบให้เลวอนต่อที อีกอย่างควรปล่อยให้หมอนั่นได้รีแลกซ์พักหายใจเสียบ้าง… ขืนเข้มงวดมากเกินไปเดี๋ยวก็ได้มีใครบางคนเกิดท้อแท้ใจกันพอดี”

               ฮิคาริตอบกลับก่อนทิ้งตัวนั่งลงบนริมถนนทางเดินเท้าทั้งที่สองแก้มแดงก่ำ อิทสึกิถึงกับกระหยิ่มยิ้มย่องชอบใจเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายแอบรู้สึกอย่างไรต่อเลวอน แต่ก็ต้องอุบเงียบเอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงได้โดนดาบไม้ของซามูไรสาวไล่ฟาดใส่ตนเป็นแน่แท้

               บิ๊บบิ๊บ บิ๊บบิ๊บ…

               เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เลวอนที่กำลังก้มตัวหยิบดาบไม้บนพื้นหญ้าสะดุ้งตกใจเล็กน้อย พลันหยิบสมาร์ตโฟนจากกระเป๋ากางเกงสแล็คขึ้นมาดูรายชื่อผู้ติดต่อ จากนั้นรีบกดปุ่มรับสายเพื่อเริ่มต้นบทสนทนาทันที

               “ฮัลโหล ว่าไงโมนิก้า”

               “สายัณห์สวัสดิ์ค่ะคุณเลวอน ต้องขอโทษด้วยนะคะ เมื่อสักครู่นี้มีสมาชิกกลุ่มหนึ่งได้รับเควสปราบพยัคฆ์ขาวตัดหน้าพวกเราไปก่อนแล้ว… แย่จังที่ฉันมาช้าไปแค่ก้าวเดียวเอง แหะแหะ”

               น้ำเสียงอ่อนหวานอันสดใสของโมนิก้าดังแว่วขึ้นจากอุปกรณ์สื่อสาร เลวอนเผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยที่ได้ยินข่าวดังนี้ ทว่าภายในใจลึก ๆ กลับรู้สึกโล่งอก เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการให้เธอเข้ามาร่วมเสี่ยงอันตรายไปกับตนด้วย

               อิทสึกิซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากเพื่อนสนิทแอบยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนที่จะเดินจากไปเพื่อปล่อยให้เลวอนได้พูดคุยกับโมนิก้าผ่านทางโทรศัพท์ตามสะดวก ในขณะที่เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันเริ่มต้นบทสนทนาต่อไป โดยมิได้สนใจต่อสิ่งรอบข้างใด ๆ ทั้งสิ้น

               “งั้นเหรอ น่าเสียดายจัง… แต่ไม่เป็นไรเรื่องเควสน่ะเอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ เพราะงั้นอย่าโทษตัวเองไปเลย ขอขอบคุณในความเหนื่อยยากนะโมนิก้า”

               “รับทราบค่ะ… เอ่อคือว่า ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ฉันขอแวะไปหาคุณเลวอนเพื่อดูการฝึกซ้อมวิชาดาบจะได้รึเปล่าคะ?”

               โมนิก้าซักถามน้ำเสียงแผ่วเบา เลวอนรีบให้คำตอบแก่เธอทันทีด้วยความดีใจ

               “ได้สิ วันนี้ตั้งใจว่าจะอยู่ซ้อมถึงหกโมงเย็นพอดี”

               “ดีใจจังเลย! …ถ้างั้นฉันขอเก็บกระเป๋ากับอุปกรณ์การเรียนเอาไว้ที่บ้านก่อน ไว้จะรีบไปหานะคะ”

               สิ้นเสียงบทสนทนาโมนิก้าจึงพลันวางสาย ปล่อยให้เลวอนยืนอมยิ้มอย่างพึงพอใจไปสักพัก ก่อนจะเก็บสมาร์ตโฟนใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบดาบไม้ขึ้นมาฝึกซ้อมต่อไปอย่างขะมักเขม้น

               โดยหารู้ไม่ว่าเธอนั้นได้พูดจาโกหกและกำลังปิดบังความจริงอะไรบางอย่างซ่อนไว้

Options

not work with dark mode
Reset