แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 56: เผด็จศึกพยัคฆ์ขาว (3)

               พลั่ก!!

               ไม่ทันที่โมนิก้าจะปลดปล่อยลำแสงแห่งคำสาปแช่ง พยัคฆ์ขาวที่อยู่ตรงเบื้องหน้าก็ได้ปลิวกระเด็นไปทางด้านซ้ายมือ ถอยห่างออกจากตนราวยี่สิบเมตร ก่อนจะล้มลงกระแทกพื้นเต็มรัก โดยที่เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

               “บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า!?”

               บุรุษจอมดาบเวทผมสีขาวโพลน หรือเลวอน รีบซักถามแม่มดสาวอย่างเป็นห่วง โดยในมือขวาถือดาบคาตานะเอาไว้ เขาคือผู้ที่เข้ามาช่วยชีวิตเธอชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ด้วยท่าโจมตีเหวี่ยงลูกเตะซัดใส่สีข้างของราชันแห่งสัตว์ป่าพอดิบพอดี

               ยุวสตรีร่างอรชรถึงกับตาเบิกโพลงประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้เห็นภาพของพ่อมดหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนัยน์ตาสีฟ้าใส หรือ “มิคาอิล ซิบูลคอฟ” พี่ชายสุดที่รักของเธอ ผุดขึ้นมาซ้อนทับตัวเลวอนเสียกระนั้น ก่อนที่จะพรั่งพรูหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันออกมาพร้อมทั้งเปล่งเสียงสั่นเครือ

               “พ… พี่ชายคะ…!”

               ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอเผลอเรียกเลวอนแบบนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยก็ตาม

               “โมนิก้า แผลนั่นมัน…!”

               เลวอนซักถามอย่างเป็นห่วง ภายหลังจากสังเกตเห็นบาดแผลบนแขนขวาของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันโมนิก้ารีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนเดินเซถลาเล็กน้อย โดยมีเด็กหนุ่มคอยช่วยประคองร่างเอาไว้ ก่อนจะเกริ่นกำชับเขาให้ระมัดระวังตัว

               “ฉ… ฉันไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้พวกเรารีบจัดการเสือโคร่งตัวนั้นกันก่อนดีกว่า”

               “ถ้างั้นช่วยสรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบสั้น ๆ ให้ผมฟังหน่อย”

               “เวทมนตร์โบราณขั้นสูงไม่สามารถโค่นล้มมันได้ในคราวเดียว เจ้านั่นมีพลังในการฟื้นฟูตัวเองเร็วมาก แถมยังใช้คาถาเคลื่อนย้ายร่างหลบหนี ปลดปล่อยคลื่นพลังมหาศาลซัดใส่ได้อีกด้วย ส่วนทางนี้เสียไม้กายสิทธิ์กับลูกแก้วพยากรณ์ไปแล้ว… ระวังตัวด้วยนะคะ เจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นมันไม่ธรรมดาเลย”

               โมนิก้าอธิบายใจความสำคัญพลางยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตา แล้วจับจ้องไปยังพื้นที่ป่าทึบเบื้องหน้าในระยะยี่สิบเมตร หรือจุดที่พยัคฆ์ขาวได้ลับสายตาหายไปจากการโจมตีเมื่อสักครู่นี้ เลวอนเกริ่นน้ำเสียงใจเย็นโดยยังคงอยู่ในท่าเตรียมตั้งรับการจู่โจมจากศัตรูต่อไป

               “เป็นตัวอันตรายจริง ๆ ด้วยแฮะ… ว่าแต่จุดอ่อนหรือตำแหน่งคริสตัลของอีกฝ่ายล่ะ เธอพอจะรู้บ้างรึเปล่า?”

               “คริสตัลแกนกลางถูกฝังเอาไว้กลางอก ถ้าดึงสิ่งนั้นออกมาจากร่างก่อนที่อีกฝ่ายจะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ล่ะก็…”

               “เข้าใจล่ะ เห็นทีคงต้องใช้ท่าไม้ตายที่เพิ่งร่ำเรียนมาจากออเดรย์เสียแล้วสิ”

               “โฮกกกกก!!”

               เสียงคำรามกึกก้องของสัตว์ป่าดุร้ายได้ขัดบทสนทนาของสองหนุ่มสาว เลวอนและโมนิก้าเผยสีหน้าเคร่งเครียดพลันจ้องเขม็งไปยังต้นทางของเสียงเพื่อสังเกตท่าที ระหว่างนั้นเองบุรุษนัยน์ตาสีอำพันได้ขยับแขนซ้ายโอบเอวร่างบางอีกฝ่ายเอาไว้ให้ได้แนบชิดตน พร้อมเอ่ยถ้อยคำนุ่มลึกอย่างเยือกเย็น

               “คอยอยู่ใกล้ ๆ ผมเอาไว้นะ”

               “ค-ค่ะ…!”

               เด็กสาวแก้มแดงระเรื่อพลางเงยศีรษะมองพ่อมดหนุ่ม สัมผัสได้ถึงไออุ่นกับกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ จากร่างสูงโปร่งซึ่งกำลังแนบชิดตน ทำให้ผ่อนคลายความกังวลใจลงไปได้บ้าง และชวนให้หวนนึกถึงอ้อมกอดของพี่ชายผู้ล่วงลับขึ้นมา

               ขณะเดียวกันโมนิก้าพลันนึกแผนการอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอรีบหยิบอัญมณีขนาดเท่าก้อนกรวดหกชิ้นขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายบ่าส่งให้เลวอน ซึ่งมีทั้งสีเหลืองอำพัน ฟ้าคราม เขียวมรกต แดงโกเมน ขาวงาช้าง และดำนิล ส่องประกายแวววับราวกับเพชรนิลจินดา ตามด้วยเกริ่นน้ำเสียงแผ่วเบาออกไป

               “ฉันมีอัญมณีสรรพธาตุเหลืออยู่พอดี เชิญคุณเลวอนใช้ได้ตามสบายเลยค่ะ ว่าแต่ยังจำคาถาที่ฉันสอนถึงวิธีการใช้มันได้รึเปล่าคะ?”

               “จะลืมได้ยังไงกัน ที่ผมรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่าจำคาถาที่โมนิก้าสอนมาทุกบทนั่นแหละ… ขอบคุณมากนะ ถ้างั้นขอรับไปใช้อย่างไม่เกรงใจล่ะ”

               พ่อมดจอมดาบเวทสบสายตาพร้อมด้วยรอยยิ้มละมุนตอบรับน้ำใจ ส่วนยุวสตรีนักพยากรณ์แย้มสรวลตอบกลับอย่างปลื้มปีติ ก่อนจะส่งมอบเหล่าคริสตัลขนาดเล็กวางไว้ในอุ้งมือซ้ายของเขา แล้วกล่าวขานน้ำเสียงหนักแน่นโดยปราศจากความหวาดกลัวต่อสิ่งอื่นใด

               “…ค่ะ!”

               “กรรรร…!”

               เสือโคร่งไซบีเรียสีขาวเริ่มแสดงตัวให้เห็นจากมุมมืดในระยะไกล โดยอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจะพุ่งกระโจนเข้าใส่ เลวอนและโมนิก้ารีบหันไปจับจ้องมองดูเป้าหมายอีกครั้ง โดยที่เด็กหนุ่มรูปงามพลันตั้งชูดาบขึ้น พลางร่ายพรรณนากล่าวอัญเชิญต่อเหล่าทวยเทพดังนี้

               “ข้าแด่ผู้พิทักษ์แห่งวิญญาณธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืด ขอถวายเครื่องบรรณาการเหล่านี้เพื่อสำแดงอิทธิฤทธิ์พิชิตศัตรูให้ศิโรราบสิ้น”

               รอบตัวพ่อมดและแม่มดวัยเยาว์เริ่มส่องสว่างท่ามกลางกระแสลมโบกพัด คริสตัลหลากสีค่อย ๆ ลอยขึ้นจากมือหนาตั้งเรียงตำแหน่งในลักษณะคล้ายรูปหกเหลี่ยมแนวนอนเหนือปลายดาบคาตานะ แล้วขีดเส้นลำแสงสีรุ้งบรรจบมุมกันกลายเป็นรูปดาวหกแฉก โดยมีตัวอักษรภาษาละตินห้อมล้อมจารึกไว้รอบวงแหวนมนตราแลดูสลับซับซ้อน

               “Perdere (คาถาทำลายสสาร) ”

               เลวอนร่ายคาถา เพื่อให้อัญมณีทั้งหกชิ้นสลายตัวกลายเป็นละอองแสง ก่อนจะถูกดูดซับด้วยศัสตราวุธเพื่อผสานพลังเข้าด้วยกัน จากตัวคมดาบซึ่งเคยเป็นสีทองอร่ามได้แปรเปลี่ยนเป็นสีรุ้งส่องประกายแวววาวเจิดจ้า แสดงให้เห็นลวดลายคล้ายแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์อย่างชัดเจนไปเสียแล้ว

               ——ครืนนนน ซูมมมม!!

               ระหว่างนั้นเองพยัคฆ์ขาวได้แผดเสียงคำรามดังกึกก้อง พร้อมปลดปล่อยคลื่นพลังเวทสีฟ้าลูกใหญ่ซัดใส่อีกครั้งหมายจะข่มขู่ให้เหยื่อเสียสมาธิ โมนิก้าตัวสั่นเทาหวั่นสะพรึงกลัวต่อแรงกดดันดังกล่าว แต่ถึงกระนั้นแล้วเลวอนกลับไม่สะทกสะท้านและยังคงไว้ซึ่งพลังมนตรามหาศาลที่สถิตอยู่ในตัวคมดาบ เตรียมพร้อมลงมือประหัตประหารศัตรูได้ทุกเมื่อ

               ราชันแห่งสัตว์ป่าตัดสินใจเปิดฉากโจมตีก่อน มันเร่งฝีเท้ากระโจนตัวพุ่งเข้าหาศัตรูหลังจากที่ต่างฝ่ายต่างจ้องเขม็งกันมาเป็นเวลาสักพักหนึ่ง บุรุษวัยเยาว์ไม่รีรอช้ารีบเหยียดแขนชูคาตานะขึ้นเหนือศีรษะ แล้วเรียกขานนามแห่งคาถาด้วยน้ำเสียงดุดันเพื่อสำแดงฤทธิ์เดชทันที

               “จงกวาดล้างอริศัตรูให้สิ้นซาก Lux spiraliso! (ลำแสงวายุสังหาร) ”

               สิ้นเสียงถ้อยคำ คาตานะจึงพลันส่องสว่างวูบวาบ ลวดลายแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์บนตัวดาบจำนวนนับร้อยเส้นถูกปลดปล่อยออกมาเป็นลำแสงหลากสีดูสลับซับซ้อน หมุนเกลียวรอบอาวุธทวนเข็มนาฬิกาขยายรัศมีกระจายไปออกเป็นวงกว้าง กวาดล้างทุกสรรพสิ่งซึ่งอยู่ภายในพื้นที่เสมือนดั่งพายุอันบ้าคลั่ง จนเหล่าบรรดาต้นไม้ต่างถูกโค่นล้มพินาศสิ้น

               ฉึบ ฉัวะฉัวะฉัวะ!!

               “โฮกกกกกก!!”

               ไม่ทันที่พยัคฆ์ขาวจะเข้ามาประชิดตัวหรือใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายตำแหน่งเพื่อหลบหนี ร่างของมันก็ถูกเส้นลำแสงอันคมกริบตัดขาดสะบั้นเป็นเศษเนื้อชิ้นเล็กภายใต้รัศมีของเกลียวมรณะเพียงไม่กี่อึดใจ อีกทั้งยังหยุดยั้งความสามารถในการฟื้นฟูตนเองไปในตัว จนยากที่จะรักษาบาดแผลหรือสมานตัวได้ตามปกติ

               กลุ่มลำแสงแห่งวายุเริ่มอ่อนกำลังลง ก่อนจะสลายหายตัวไปกลางอากาศท่ามกลางฝุ่นควัน และกลับคืนสู่ความเงียบสงัดตามปกติ เนื่องด้วยมนตราเมื่อสักครู่ส่งผลทำให้พื้นที่ภายในรัศมีห้าสิบเมตรได้รับความเสียหาย เกลื่อนกลาดไปด้วยซากเศษต่าง ๆ นานา จนเหล่าบรรดาต้นไม้ถูกโค่นล้มลงและเบิกทางให้แสงแห่งอัสดงได้สาดส่องลงมา ณ ที่แห่งนี้

               ร่างของราชันแห่งสัตว์ป่าซึ่งถูกสับขาดเป็นชิ้น ๆ เริ่มสูญสลายกลายเป็นละอองแสงลอยขึ้นสู่อากาศ คริสตัลสีน้ำเงินแวววาวขนาดเท่ากำปั้นที่เคยฝังอยู่ภายในตัวของเสือโคร่ง ถูกพัดปลิวตกไปยังพื้นที่อีกจุดหนึ่งโดยห่างจากบริเวณนี้ราวสิบเมตร บัดนี้การประจันหน้าระหว่างเลวอนกับพยัคฆ์ขาวได้ถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว

               เลวอนลดศัสตราวุธลงพื้น แสงสีรุ้งจากตัวดาบคาตานะได้มอดดับลงกลายเป็นสีทองสันดำดังเดิม โมนิก้าผู้ซึ่งยืนเฝ้ามองดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบก็รีบหันไปพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงทันที

               “บ… บ้าพลังเกินไปแล้วนะคะ ดูสิต้นไม้แถบนี้พังพินาศหมดเลย มีหวังโดนศาสตราจารย์ยาโรสลาฟลากตัวให้มาร่วมกิจกรรมปลูกป่าตลอดทั้งเดือนแน่ ๆ”

               “ฮะฮะฮะ อย่าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเล่าให้ศาสตราจารย์ฟังเชียวล่ะ… อึ๊ก!”

               เลวอนรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นกะทันหันจนเผยสีหน้าคิ้วขมวด เขารีบนำดาบคาตานะปกลงพื้นเพื่อค้ำยันร่างไม่ให้ทรุดตัวลง พลางยกมืออีกข้างกุมบริเวณกลางอกจนเสื้อเชิ้ตเกิดรอยยับ โมนิก้าเห็นท่าไม่ดีจึงเร่งเข้าไปประคองตัวด้วยความเป็นห่วง

               “คุณเลวอน!”

               “แย่จังเลยแฮะ ดูเหมือนร่างกายผมจะถึงขีดจำกัดแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ตอนที่ฝึกซ้อมวิชาคาถา “ลำแสงวายุสังหาร” กับออเดรย์เองก็ร่ายเวทติดต่อกันถึงห้าหกครั้งด้วย… คิดถูกจริง ๆ ที่ตัดสินใจเลือกต่อสู้แบบไม่ยืดเยื้อ ไม่งั้นล่ะก็…”

               “อ-อะไรกัน บอกแล้วไงคะว่าอย่าหักโหมกับการฝึกซ้อมมากเกินไป ออเดรย์ก็อีกคน ทำไมถึงปล่อยให้คุณเลวอนทำเรื่องฝืนตัวเองแบบนี้…!”

               แม่มดสาวร่างอรชรเผยสีหน้าหวั่นวิตก พ่อมดหนุ่มจึงพยายามข่มอาการเจ็บปวดเอาไว้พลางแย้มสรวลจาง ๆ เพื่อให้คู่สนทนาคลายความกังวลทั้งที่มีเม็ดเหงื่อไหลอาบแก้ม แต่ถึงกระนั้นตัวเธอก็ไม่อาจฉีกยิ้มตอบกลับและยืนสลดนิ่งเงียบไปสักพัก เนื่องจากตนยังคงรู้สึกผิดที่ปิดบังความจริงต่ออีกฝ่าย

               “ขอโทษนะคะที่ฉันโกหกคุณเรื่องเควส แถมยังทำให้คุณต้องเดือดร้อนเพียงเพราะความเอาแต่ใจของฉันอีกด้วย ทั้งที่ตั้งใจจะปิดบังเอาไว้ไม่ให้ใครรู้แล้วแท้ ๆ”

               โมนิก้าตัดสินใจสารภาพบาป เลวอนจึงซักถามข้อสงสัยเธอ

               “ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ อย่างน้อยก็น่าจะเรียกผมให้มาช่วยเธอทำเควสด้วยสิ”

               “……ก็เพราะว่าฉันไม่อยากจะสูญเสียคุณเลวอนไปอีกคนยังไงล่ะคะ”

               “เอ๊ะ?”

               เด็กหนุ่มถึงกับฉงนใจ ในขณะที่เด็กสาวก้มใบหน้าหลบสายตาเล็กน้อยด้วยท่าทีสลด แล้วเริ่มบรรยายความรู้สึกขุ่นมัวซึ่งเก็บซ่อนอยู่ภายในใจให้อีกฝ่ายได้สดับรับฟังด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสงัดวังเวง

               “เมื่อวันก่อนฉันฝันเห็นถึงพี่ชายที่กำลังเดินจากไป ฉันเลยพยายามวิ่งตามหลังเพื่อรั้งเขาเอาไว้ แต่ในตอนที่เขากำลังหันหน้ามาทางนี้ ภาพซ้อนทับของคุณเลวอนก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุดท้าย ก่อนที่จะถูกเงาของปีศาจชั่วร้ายกลืนกินและหายตัวไปในหมอกควันมืด โดยที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรคุณได้เลย…

               ฉันรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพนิมิต แต่สำหรับฉันแล้วมันคือลางบอกเหตุสำคัญ และกลัวว่าคุณเลวอนอาจได้รับอันตรายจากการต่อสู้ในครั้งนี้ เลยตัดสินใจปิดบังเพื่อไม่ให้คุณกับสเตฟก้าเข้าร่วมปาร์ตี้ปราบพยัคฆ์ขาว แล้วค่อยออกล่าหาเป้าหมายเองตามลำพัง… เพราะถ้าต้องทนเห็นคุณเลวอนได้รับบาดเจ็บปางตายเหมือนอย่างที่พี่ชายฉันเคยเป็นล่ะก็ ฉันขอเสี่ยงตายลุยเดี่ยวแทนยังจะดีเสียกว่า

               พักหลังมานี้เวลาที่ฉันอยู่ใกล้คุณเลวอน บางครั้งก็มักจะมองเห็นภาพซ้อนทับของพี่ชาย ทำให้ฉันอดหวั่นใจไม่ได้เลยว่าสักวันหนึ่งเหตุการณ์ในความฝันนั้นอาจกลายเป็นจริงขึ้นมา เพราะงั้นฉันถึงได้…”

               ——เพียะ!

               “ว้าย!?”

               โมนิก้าร้องเสียงหลง เมื่อเลวอนยกนิ้วขึ้นดีดหน้าผากเธอเพื่อเตือนสติ แม่มดวัยใสพลันยกมือขึ้นกุมบริเวณดังกล่าวทั้งน้ำตาคลอด้วยความเจ็บแปลบ ทำให้บทสนทนาถูกขัดจังหวะไปโดยปริยาย ถัดมาพ่อมดหนุ่มได้เผยสีหน้าคิ้วขมวดใส่พร้อมทั้งกล่าวตำหนิอีกฝ่าย

               “โธ่เอ๊ยเด็กโง่ ก็แค่ความฝันไม่ใช่เหรอ อย่าเก็บมาคิดมากให้หนักใจสิ”

               “พูดอะไรแบบนั้นคะ จะแน่ใจได้ยังไงกันว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริง!?”

               “ท… ที่โมนิก้าพูดมามันก็ถูกแฮะ” บุรุษวัยเยาว์ออกอาการกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “งั้น… ถ้าเกิดว่าผมโดนเจ้าพวกปีศาจเข้ามายึดร่างจริง ๆ ถึงตอนนั้นรบกวนช่วยตบหน้าผมแรง ๆ เพื่อเรียกสติให้ทีนะ”

               “ล… เล่นตัดบทขอร้องกันแบบนี้ขี้โกงนี่นา…”

               โมนิก้าแสดงกิริยาท่าทีแง่งอนพลางพองแก้มใส่ เลวอนกระหยิ่มยิ้มย่องหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงกลับมาอยู่ในอาการสำรวมสุขุมตามปกติ แล้วเกริ่นน้ำเสียงละมุนเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกผิดไปมากกว่านี้

               “ผมเองก็ไม่อยากสูญเสียโมนิก้าไปเหมือนกัน เพราะงั้นถ้าไม่อยากให้ผมต้องเป็นอะไรไปล่ะก็ คราวหน้าอย่าทำเรื่องเสี่ยงตายตามลำพังโดยเด็ดขาด ผมเป็นห่วงเธอมากเลยนะรู้บ้างไหม?”

               “…แต่ฉันกลัว กลัวว่าคุณเลวอนจะเป็นอะไรไปเข้าสักวันหนึ่ง แถมฉันเองก็เป็นผู้หญิงที่ขี้ขลาดอ่อนแอ ไม่เหมือนพวกคุณฮิคาริ ไม่เหมือนกับสเตฟก้าที่ทั้งเก่งกาจ เฉลียวฉลาด และกล้าหาญ เพราะงั้นฉันถึงต้องฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ จนกว่าตัวฉันจะสามารถยืนอยู่เคียงข้างคุณได้โดยไม่กังวลว่าจะต้องสูญเสียใครไปอีก ฉันน่ะ…”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้ากล่าวตัดพ้อตัวเองอย่างสลด บุรุษหนุ่มผู้จึงคว้าร่างบางอีกฝ่ายให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตน จนเธอแก้มแดงระเรื่อสะดุ้งตกใจเล็กน้อย แล้วเงยหน้าสบสายตาเขาด้วยความประหลาดใจ

               “…!!”

               “ผมน่ะทั้งยอมรับและภาคภูมิใจในตัวโมนิก้ามากเลยนะ แน่นอนว่าคุณมิคาอิล… พี่ชายของเธอเองก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน อีกอย่างถ้าหากตัวเองเป็นผู้หญิงขี้ขลาดอ่อนแอเหมือนอย่างที่พูดมา ทั้งผมกับคุณอาเธอเรียเองก็คงได้ตายไปตั้งแต่ตอนที่พวกเราต่อสู้กับ Aka Manah แล้วล่ะ เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

               เลวอนกล่าวเท้าความถึงเหตุการณ์ซึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้โมนิก้านึกถึงตอนที่ตัวเองได้พุ่งกระโจนตัวเข้าไปปกป้องเขาและอาเธอเรียจากการโจมตีของ Aka Manah ด้วยคาถาส่งสะท้อนขึ้นมา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะความกล้าหาญและความรู้สึกที่ไม่อยากจะสูญเสียพวกพ้องของเธอนั่นเอง

               แม่มดสาวน้ำตาคลออีกครั้ง เมื่อได้รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คอยเอาใจใส่และให้ความสำคัญแก่เธอมากเพียงใด

               “ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับมาจากโมนิก้าล้วนมีความสำคัญต่อผมเสมอ ขอบคุณมากนะโมนิก้า แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว ขอสัญญาว่านับจากนี้ไปผมจะไม่ยอมปล่อยให้เธอต้องเผชิญหน้ากับความอ้างว้างอีก ผมขอสัญญาเลย…”

               “ฮึ้ก… คุณเลวอน… ขอโทษนะคะ ฉันขอโทษ”

               ประโยคสุดท้ายของเลวอนทำให้โมนิก้าถึงกับส่งเสียงสะอึกสะอื้น เธอซบใบหน้าพลางใช้สองมือขยำเสื้อเชิ้ตบนกลางอกร่างสูงโปร่งเอาไว้แน่น จนหมวกแม่มดที่สวมใส่อยู่หลุดออกจากศีรษะและตกหล่นสู่พื้นดิน ส่วนบุรุษหนุ่มผู้แสนสุภาพได้ยกมือลูบสางเส้นผมของเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมกอดตนอย่างเอ็นดู เพื่อปลอบประโลมและบรรเทาความเจ็บช้ำลง

               ความรู้สึกของโมนิก้าได้ส่งผ่านถึงเลวอนแล้ว โดยที่อีกฝ่ายยินดีตอบสนองให้เธออย่างเต็มใจ

Options

not work with dark mode
Reset