แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 59: ความแค้นของวลาด

               “โฮ่… โดนคำสาปน้ำแข็งเข้าไปขนาดนั้น ยังมีลมหายใจอยู่อีกเรอะนังหนู?”

               เจ้าชายแห่งวาลาเคียเกริ่นอย่างประทับใจพลางก้าวเท้ามุ่งไปยังคู่ต่อสู้ แม่มดสาวผู้ปราชัยพยายามใช้ศิลานักปราชญ์รักษาอาการบาดเจ็บให้บรรเทาลง เมื่อแผลที่ได้รับเริ่มหายสนิทจึงค่อย ๆ ประคองตัวลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีกระโซกระเซ แม้ว่าจะยังมีความเจ็บปวดแสนสาหัสแอบแฝงอยู่ก็ตาม

               “ส… ส่งคริสตัล… คืนมา”

               น้ำเสียงของสลาติก้าแผ่วอ่อนลงด้วยสภาพร่างกายที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงตอบโต้ สวนทางกับพลังใจอันแกร่งกล้าโดยสิ้นเชิง วลาดเห็นดังนั้นจึงเริ่มซักถามอีกฝ่ายอย่างฉงน

               “ทำไมเจ้าถึงฝืนลุกขึ้นมาต่อสู้อีก อัญมณีที่เจ้าหนุ่มนี่แย่งชิงไปนั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตัวเองรึยังไงกัน?”

               “ส… สำคัญสิ! คนที่มีจิตใจโหดร้ายเย็นชาอย่างคุณน่ะ… อย่างคุณน่ะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปหรอก!” ยุวสตรีผมสีเลือดตอบกลับด้วยใบหน้าเคืองขุ่นทั้งน้ำตา

               “ที่แท้ก็อยากได้อัญมณีไปใช้ในพิธีกรรมฟื้นคืนชีพให้กับคนสำคัญของเจ้านี่เอง… คิดหรือว่าเจ้าจะมีสิทธิ์ได้ใช้งานมันด้วยน้ำมือของเจ้า หารู้ไม่ว่ากำลังโดนจอมมารไซตอนหลอกใช้อยู่?”

               “…ว่าไงนะ?” คราวนี้สลาติก้าเริ่มคิ้วขมวด

               “เจ้านั่นก็ช่างชั่วช้าสารเลวเสียจริง ที่ยื่นข้อเสนอให้กับเด็กมีปมผู้ไม่รู้จักประสีประสา ทั้งที่ตัวมันเองก็อยากได้อัญมณีมาครอบครองเพื่อฟื้นฟูพลังเวทเหมือนกัน… นังหนูเอ๋ย ข้าจะบอกให้เจ้าตาสว่างสักทีว่าคนอย่างจอมมารไซตอนน่ะ ไม่เคยนึกเห็นใจผู้อื่นนอกเสียจากตัวมันเองเท่านั้น แม้แต่พระผู้เป็นเจ้ามันก็ยังทรยศท่านได้ลงคอ!”

               “เงียบนะ! ท่านพ่อไม่มีวันหลอกใช้ฉัน ไม่งั้นท่านคงไม่ยอมมอบศิลานักปราชญ์ให้ฉันได้ใช้ต่อสู้ หรือใช้เพื่อฟื้นคืนชีพให้กับคุณแม่แน่ อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะทำตัวชั่วช้าเหมือนแกสิ! …แกน่ะมันไม่ใช่วิญญาณวีรชน แต่เป็นไอ้ผีดูดเลือดโสโครก!”

               “…!!”

               สิ้นเสียงคำตวาดจากสลาติก้า วลาดนักเสียบก็ถึงกับจ้องเขม็งเล็งใส่เธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พร้อมนำคาตานะเก็บใส่ลงในฝักดาบด้วยอากัปกิริยาเยือกเย็น แม้นว่าภายในใจจะรู้สึกเดือดดาลจนแทบระเบิดออกมาเสียให้ได้ก็ตาม

               เจ้าชายแห่งวาลาเคียก้าวเท้าเข้าใกล้แม่มดสาว จนกระทั่งถึงระยะห่างต่ำกว่าสิบเมตรลงมาจึงยืนหยุดอยู่กับที่ ยกมือขวาเล็งไปยังต้นคอของเป้าหมาย ก่อนจะโต้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

               “เจ้า… บังอาจพูดจาหยามเกียรติข้าถึงเพียง ถ้าเช่นนั้นก็จงตายตามคนสำคัญของเจ้าไปซะ!”

               ——ปึ้ด…!

               “อ-อึ้ก อ๊อก!?”

               สลาติก้ารีบยกมือกุมคอตนในลักษณะเชิดศีรษะเล็กน้อยด้วยสีหน้าทรมาน รับรู้ได้ถึงแรงบีบที่กดทับเข้ามาตรงบริเวณดังกล่าวจนหายใจลำบาก ทั้งที่ราชันแวมไพร์ยืนอยู่ห่างจากจุดนี้หาได้สัมผัสแตะต้องโดนตัวเธอเลย

               “นังเด็กเมื่อวานซืน เจ้าบอกว่าคนอย่างข้าไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกงั้นเรอะ งั้นเจ้าเองก็คงไม่รู้เช่นกันสินะ ว่าการที่ต้องสูญเสียสหายร่วมรบในสงครามน่ะมันโหดร้ายมากแค่ไหน!?”

               วลาดระบายความอัดอั้นตันใจพลางขยับมือขวาบีบเข้าหากัน จนแม่มดสาวเริ่มออกแรงดิ้นขัดขืนหมายจะยกแขนร่ายคาถาคำสาปพิฆาตโจมตีใส่ ทว่าเนื่องด้วยอาการบาดเจ็บที่ยังตกค้างอยู่ทำให้ร่างกายไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึก ซ้ำร้ายเรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งหมดค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะ

               “เสียใจด้วย ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าลงมือฆ่าเธออย่างเด็ดขาด วลาด เทเปสแห่งวาลาเคียเอ๋ย”

               ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงอันราบเรียบนุ่มลึกของบุรุษรายหนึ่งพลันดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า ก่อนที่ร่างของชายปริศนาผู้สวมใส่หน้ากากกะโหลกปีศาจในชุดแต่งกายสีดำ จะปรากฏขึ้นจากทางเบื้องหลังของแม่มดสาว พร้อมด้วยละอองแสงสีแดงระยิบระยิบตระการตา

               พ่อมดจอมขมังเวทยกมือขวาขึ้นดีดนิ้ว เพื่อคลายมนตร์สะกดระยะไกลจากแวมไพร์หนุ่ม ทำให้สลาติก้าหลุดพ้นจากพันธนาการ ก่อนที่เธอจะทรุดเข่าลงด้วยความอ่อนเพลียพลางส่งเสียงไอ หลังจากขาดอากาศหายใจมาเป็นเวลาเกือบครึ่งนาที

               เมื่อวลาดพบรูปลักษณ์อันคุ้นตาของศัตรูที่เพิ่งปรากฏตัว ภาพความทรงจำในอดีตเมื่อช่วงห้าร้อยกว่าปีก่อนก็พลันผุดขึ้นมาภายในหัว เป็นเหตุการณ์ตอนที่ตนได้ต่อกรกับบุรุษหน้ากากกะโหลกปีศาจด้วยคาถาเวทมนตร์ ณ สมรภูมิอันโล่งกว้างในแคว้นวาลาเคียจนพบกับความปราชัย เขาเสียท่าให้แก่อีกฝ่ายด้วยคำสาปสุดอัปยศ พร้อมทั้งสูญสิ้นความเป็นมนุษย์

               ด้วยเหตุนี้เองราชันผีดูดเลือดจึงรีบสะบัดนิ้วชี้ขวา ร่ายคาถาคำสาปร้ายแรงโจมตีใส่เป้าหมายทันที

               “Factisunt cadaverisa! (คำสาปพิฆาต) ”

               เปรี้ยง!!

               เกิดลำแสงสีเขียวสว่างวูบวาบกลางอากาศตรงเบื้องหน้าของทั้งสองคน อีกฝ่ายเองได้เนรมิตคาถาคำสาปพิฆาตชนิดเดียวกัน เพื่อหักล้างการโจมตีจนสิ้นฤทธิ์เพียงแค่ตวัดปลายนิ้วมือเท่านั้น

               “ไซตอน——!!”

               วลาดแผดเสียงร้องเรียกขานนามของคู่ต่อสู้โดยปราศจากความเกรงกลัว ท่ามกลางสายฝนซึ่งโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่สีหน้าน้ำเสียงพร้อมด้วยอากัปกิริยาอันเดือดดาล ก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขานั้นโกรธแค้นชิงชังต่อราชันจอมมารมากเพียงใด ในระหว่างที่สลาติก้าพยายามประคองตนเองให้ลุกขึ้นยืน โดยมีไซตอนคอยช่วยฉุดดึงแขนเธอ

               “สลาติก้า เจ้าน่ะถูกวลาดหลอกใช้เป็นเหยื่อล่อเพื่อให้ข้าปรากฏตัว” จอมมารกล่าวตำหนิแก่ยุวสตรีผมสีเลือด “ดังนั้นมันถึงไม่ยอมลงมือฆ่าเจ้าในทันที ทั้งที่เจ้าควรหลบหนีไป และมันก็ทำสำเร็จเสียด้วย… จงยืนหลบอยู่หลังข้าเสีย จากนี้ไปข้าจะเป็นคนลงมือจัดการมันเอง”

               “ข… ขออภัยที่ฉันประมาทเลินเล่อเกินไปค่ะ ท่านพ่อ”

               สลาติก้ากล่าวน้ำเสียงสลดด้วยสีหน้าท่าทีสำนึกผิด ก่อนจะรีบก้าวเท้าหลบอยู่ทางเบื้องหลังของไซตอนอย่างว่านอนสอนง่าย ถัดมาจอมมารปีศาจจึงเริ่มต้นบทสนทนาต่อบุรุษหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำทะเล ซึ่งยืนอยู่ห่างจากตนไม่ไกลมากนักด้วยกิริยาแน่นิ่งสุขุม

               “ไม่ได้เจอกันเสียนาน ยังจำข้าได้หรือไม่…? ยินดีด้วยที่เจ้าได้ครอบครองร่างสถิตโดยบังเอิญ แถมยังเป็นร่างลูกศิษย์คนโปรดของยาโรสลาฟอีกด้วย เจ้านี่ช่างโชคดีเสียจริง”

               “ใครมันจะไปลืมได้ลง คนที่เล่นลูกไม้สกปรกทำให้ข้าต้องคำสาปกลายเป็นผีดูดเลือดจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ชาติข้าก็ยังคงจดจำและรอคอยวันที่จะได้พบเจอเจ้ามาโดยตลอด คราวนี้แหละข้าจะลงมือสะสางความแค้นทั้งหมดด้วยการฆ่าเจ้าทิ้งซะ ไอ้สารเลว!!”

               วลาดระบายความคับแค้นใจออกมา พลางง้างมือขวาหมายจะร่ายเวทมนตร์อะไรบางอย่างเพื่อโจมตีใส่ศัตรู นัยน์ตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานตามลักษณะเด่นของแวมไพร์เลือดแท้โดยพลัน ไซตอนไม่มัวทำตัวรีรอชักช้า เตรียมตั้งท่าร่ายคาถาด้วยปลายนิ้วชี้ขวาแทนไม้กายสิทธิ์เช่นเดียวกัน พร้อมทั้งกล่าวน้ำเสียงราบเรียบใจเย็น

               “ถือโอกาสสู้ตอนที่ร่างกายข้ายังอ่อนแออยู่งั้นรึ… ย่อมได้”

               จากนั้นราชันแห่งผีดูดเลือด และจ้าวแห่งจอมมารปีศาจทั้งมวลจึงวาดสะบัดปลายนิ้วชี้ขวา เรียกขานนามแห่งมนตราออกมาอย่างพร้อมเพรียง

               “Septema auroratium!! (เจ็ดแสงอรุโณทัย/เจ็ดแสงทมิฬ) ”

               วูมมมม ซูมซูม ครืนนนนนนนน!!

               เบื้องหน้าของสองจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่พลันเกิดลมกรรโชกพัดแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง ตามด้วยแสงสว่างสีขาวเจิดจรัสพุ่งสาดปะทะเข้าใส่กันราวกับอสนีบาต สายฝนซึ่งตกลงมาได้กระจายตัวกลายเป็นละอองน้ำกลุ่มใหญ่ถูกพัดไปตามกระแสของพายุ มิหนำซ้ำท้องฟ้าที่เคยหมองหม่นกลับย้อมไปด้วยสรรพสี โดยแบ่งออกเป็นสองรูปแบบอย่างชัดเจน

               ทางด้านวลาด ห้วงนภาเหนือศีรษะของเขาหรือซีกหนึ่งถูกย้อมไปด้วยสีอำพันแก่ ฟ้าคราม น้ำเงิน ม่วงอ่อน ม่วงแก่ และม่วงเข้ม ดูผสมกลมกลืนกันอย่างงดงามตระการตา อันเป็นลักษณะเด่นของวิชา “เจ็ดแสงอรุโณทัย” มองแล้วให้ความรู้สึกงดงาม อบอุ่น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบริสุทธิ์โดยปราศจากความชั่วร้ายเจือปน

               ในขณะที่ทางฝั่งไซตอนหรือท้องฟ้าอีกฟากฝั่งหนึ่ง กลับย้อมไปด้วยสีโทนมืดอย่างเขียวเข้ม กรมท่า ม่วงเข้ม แดงเลือด และดำทมิฬ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของวิชา “เจ็ดแสงทมิฬ” มองแล้วชวนเกิดความรู้สึกหดหู่ เศร้าหมอง เย็นยะเยือกน่าหวั่นเกรง อัดแน่นไปด้วยพลังอันชั่วร้ายพร้อมทั้งความรู้สึกต้องการเข่นฆ่า

               เวทมนตร์มหาศาลของทั้งสองบุรุษได้ปะทะเข้าหากันอย่างรุนแรง ต่างฝ่ายต่างพรั่งพรูจิตสังหารออกมา ทำให้สลาติก้าซึ่งกำลังยืนสังเกตการณ์อยู่ทางเบื้องหลังของไซตอนนั้น ถึงกับแสดงสีหน้าอากัปกิริยาหวั่นสะพรึงกลัวต่อสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น พลางตาโตขนลุกซู่ด้วยความประหลาดใจ ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอได้เห็นพลังอำนาจอันแท้จริงของสองพ่อมดผู้เก่งกาจ

               น… นี่น่ะเหรอ พลังของเหล่าผู้ที่ทัดเทียมจอมเวทระดับชั้นพาลาดิน…!?

               และนี่ก็คือการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์อย่างเต็มรูปแบบ ระหว่างเจ้าชายแห่งวาลาเคียกับราชันจอมมาร ซึ่งต้องวัดกันด้วยพลังทั้งหมดที่ต่างฝ่ายต่างมีอยู่ หากฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำไปเสียก่อนนั่นอาจหมายถึงความตาย ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่การฟาดฟันกันตามลำพังสองคน แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อโลกอย่างใหญ่หลวง

               โชคดีที่สภาพร่างกายของวลาดจอมเสียบกับไซตอนนั้นยังไม่แข็งแรงมากพอ หาไม่แล้วแผ่นดินนี้คงต้องหมดสิ้นเหล่ามนุษย์และบรรดาสรรพสัตว์ลงจนเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เป็นแน่ แต่ถึงกระนั้นแล้วมันก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้ผืนป่าและหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานแห่งนี้ต้องสูญสลายหายไป

               ราชันแวมไพร์เปล่งเสียงซักถามไซตอน ทั้งที่ตนยังคงรีดเร้นพลังเวทเพื่อประชันฝีมือกับอีกฝ่าย

               “ทำไมคนที่เคยสวามิภักดิ์ต่อพระบิดาอย่างเจ้าถึงได้ชิงชังพระองค์เสียเอง!?”

               “ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่เคยแม้แต่จะมองเห็นถึงคุณงามความดีของข้าเลยน่ะสิ…! ว่าแต่เจ้าเถอะ เป็นถึงผีดูดเลือดแต่กลับยังเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวพระองค์ คิดว่าท่านจะหันมาเหลียวแลปีศาจชั้นต่ำอย่างเจ้านอกเหนือจากมวลมนุษย์รึไง!?” ซาตานจอมขมังเวทพูดจายอกย้อนกลับคืนไป

               “หุบปาก ที่ข้าต้องกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะใครกัน!? ที่ผ่านมาข้าคอยทำหน้าที่ปกครองแคว้นและดูแลเหล่าประชาชนมาโดยตลอด แต่เจ้ากลับทำลายมันเพียงเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของเจ้า อภัยให้ไม่ได้!”

               “เจ้ากับข้าล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน ในเมื่อเจ้าต้องการชักจูงให้เหล่ามวลมนุษย์เดินไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง ก็แล้วทำไมถึงไม่ยอมร่วมมือกับข้า เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะลงมือถอนคำสาปเจ้าให้กลายเป็นอิสระเอง!”

               “ให้ตายข้าก็ไม่มีวันยอมร่วมมือกับคนชั่วช้าอย่างเจ้า… ไม่มีวัน!”

               ไซตอนกล่าวเชิญชวน ทว่าวลาดกลับตอบปฏิเสธทันควัน ถึงแม้การปะทะคารมจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ทั้งคู่ยังคงถาโถมพลังเวทเพื่อกดดันอีกฝ่ายต่อไป ไม่อาจคาดเดาได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะลงเอยในรูปแบบใด

Options

not work with dark mode
Reset