โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 – ตอนที่ 507 – กลั่นแกล้งรุ่นเยาว์

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.507 – กลั่นแกล้งรุ่นเยาว์

 

 

 

 

 

งานประลองกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

 

 

 

 

 

รุ่นเยาว์กว่า 160 คน ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนฮั่นจุน ซึ่งมีบิดาเป็นผู้ใช้พลังเลเวล A

 

 

 

 

 

ส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมงานประลองนี้ ต่างรู้จักประมาณตน ตระหนักดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะรับสิทธิ์เดินทางสู่เมืองหลวงมังกร

 

 

 

 

 

“ฉันจะต้องสำแดงฝีมือให้ดีที่สุด อย่างน้อยคนดูจะได้เอ่ยปากชม”

 

 

 

 

 

“จ้าวพรมแดนซางฮันยังไม่ปรากฏตัว ฉันอยากจะรู้จัง ว่าท่านจะมาดูงานประลองในวันนี้ไหม เพราะนี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ทำให้ท่านรู้สึกประทับใจ”

 

 

 

 

 

“ชนะ … ฉันจะต้องชนะให้จงได้ ทรัพยากรฝึกฝนต้องตกเป็นของฉัน”

 

 

 

 

 

สีหน้าท่าทีของพวกรุ่นเยาว์ ต่างเขม็งเกร็ง ฟุ้งไปด้วยความตึงเครียด

 

 

 

 

 

และแน่นอน ว่าขณะเดียวกัน ก็ยังมีตัวแทนรุ่นเยาว์บางคน ที่ไม่คาดหวังอะไรเลย หรืออาจเรียกได้ว่ามาเข้าร่วมในฐานะผู้ชมก็ได้

 

 

 

 

 

ตัวอย่างเช่นรัฐสามเฉิง เพราะนอกจากผู้ใช้พลังเลเวล E3 ที่มีเพียงคนเดียวแล้ว คนอื่นๆทั้งหมดที่เหลือ ล้วนเป็นเลเวล F8 F9 ถือเป็นกำลังรบที่น่าสงสารมาก

 

 

 

 

 

และเลเวล E เพียงคนเดียวอย่างลู่เหมิง สุดท้ายแม้ตัดสินใจลงแข่งขัน แต่กลับย้ายไปยังรัฐทะเลเหนือ และตกรอบไปในที่สุด แต่ทั้งหมดนี้คงโทษใครไม่ได้ 

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน ในอดีตที่ผ่านมา มีหลายแห่งที่กล่าวได้ว่าขาดแคลนทรัพยากรคล้ายๆกับรัฐทะเลเหนือ มีชื่อเรียกว่ารัฐที่ราบหิมะ มีเมืองใหญ่อยู่เพียงสองเมือง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุด มีหิมะตกตลอดทั้งปี สภาพอากาศหนาวเย็น ส่งผลให้มีทรัพยากรไม่มากนัก

 

 

 

 

 

ในทีมนี้ ผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในเลเวล E แต่ไม่มีใครเหนือกว่าเลเวล E3 ความแข็งแกร่งด้อยกว่ารัฐทะเลเหนือ แต่ผลงานดีกว่าทะเลเหนือในปีที่แล้ว ดังนั้นในปีนี้ พวกเขาจึงได้ก้าวขึ้นสู่เวทีประลองก่อนรัฐทะเลเหนือ

 

 

 

 

 

“ทางรัฐทะเลเหนือปีนี้มันยังไงกัน? ทำไมรุ่นเยาว์จากตระกูลวรยทุธโบราณถึงมาน้อยกว่าเดิม?”

 

 

 

 

 

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เลยเป็นธรรมดาที่หลายคนจะไปศึกษาข้อมูลของคู่ต่อสู้มาก่อน

 

 

 

 

 

และข้อมูลสำคัญที่สุดที่ได้มาก็คือ ในบรรดาสามอันดับล่างอย่างรัฐทะเลเหนือ จู่ๆก็ปรากฏผู้นำเลเวล C ขึ้นอีกคนหนึ่ง นี่เป็นข่าวที่น่าประหลาดใจนัก

 

 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว สถานะของเลเวล C ในรัฐทะเลเหนือ อาจกล่าวได้ว่าเทียบเท่ากับการดำรงอยู่ของผู้คนทั้งหมด เนื่องจากกว่า 5/10ส่วนของรัฐ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ใช้พลังเลเวล D

 

 

 

 

 

ในครั้งนี้ ผู้คนต่างมองมาทางรัฐทะเลเหนือ รู้สึกบังเกิดความเสียใจอยู่บ้าง ที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้รวบรวมข้อมูลของฉินเฟิงและคนอื่นๆ

 

 

 

 

 

เพราะรุ่นเยาว์ที่ถูกส่งตัวมาเข้าร่วมงานประลอง ล้วนได้รับทรัพยากรมาจากผู้การรัฐ และทรัพยากรทีได้รับมาจากเลเวล C มิใช่สิ่งที่สามารถประมาทได้

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาตัดสินใจรวบรวมข้อมูลล่ะก็ เกรงว่าผลลัพธ์ของมัน คงถูกเล่นงานจิตใจจนสิ้นหวัง!

 

 

 

 

 

“ตอนนี้ งานประลองได้เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!”

 

 

 

 

 

ในวันแรกของงานประลอง เป็นการต่อสู้ทั้งสิ้น 80 คู่จาก 160 คน สามารถต่อสู้ได้นานที่สุดหนึ่งชั่วโมง และต้องต่อสู้บนสนามประลองต่างๆ ที่แยกกันออกไปกว่า 10 สนามในเวลาเดียวกัน

 

 

 

 

 

แบ่งเป็นสี่ชั่วโมงในช่วงเช้า และสี่ชั่วโมงในช่วงบ่าย

 

 

 

 

 

5 นาทีก่อนขึ้นสู่สนามประลอง ชื่อของ 20 คนที่ถูกสุ่มให้ขึ้นไปสู้ ได้ปรากฏขึ้น

 

 

 

 

 

ในช่วงต้นๆ โดยปกติแล้ว จะไม่มีรุ่นเยาว์ถูกสุ่มให้ต่อสู้กับคนจากรัฐของตน

 

 

 

 

 

“หืม … บางทีฉันน่าจะลองเปิดตัวแบบอลังการตั้งแต่รอบแรกเลยจะดีไหมนะ?” ฉินเฟิงกล่าวพลางก้าวขึ้นสู่สนามประลอง

 

 

 

 

 

เมื่อเข้าก้าวขึ้นไป อีกคนหนึ่ง ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาเช่นกัน อีกฝ่ายมีอายุมากกว่าฉินเฟิงอย่างเห็นได้ชัด อาจมากกว่าฉินเฟิงถึงหนึ่งหรือสองปี แต่สุดท้ายมันก็แค่อายุเท่านั้น

 

 

 

 

 

เพราะความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ต่อให้อีกฝ่ายมีอายุมากกว่าเป็นสิบปี ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

 

 

 

 

 

“คู่ต่อสู้ของฉัน เป็นคนจากรัฐทะเลเหนืองั้นหรอ?” ชายคนนั้น พอเห็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ของฉินเฟิง ความหนักอึ้งในหัวใจสลายไปทันที บนใบหน้าผุดรอยยิ้มน้อยๆ

 

 

 

 

 

“ไอหย๋า โชคดีจริงๆ ที่ได้เจอกับคู่ประลองไม่ค่อยแข็งแกร่ง หลังจากโค่นนาย ฉันจะไปหลับให้สบาย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับคู่ต่อสู้ในวันพรุ่งนี้”

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงรู้สึกขบขันเล็กน้อย เอ่ยปากกล่าว “อืม รีบจบการต่อสู้ แล้วไปหลับให้สบายเถอะ”

 

 

 

 

 

แต่หลับให้สบายที่ว่า จะเป็นบนเตียงโรงแรม หรือโรงพยาบาลก็ไม่รู้ด้วยนะ!

 

 

 

 

 

อีกฝ่ายพอได้ยินคำของฉินเฟิง ก็พาลคิดว่าฉินเฟิงคงนึกเหมือนตน เลยโล่งใจยิ่งกว่าเดิม

 

 

 

 

 

แต่กระนั้น อีกฝั่งหนึ่งก็อดสำรวจตามร่างของฉินเฟิงด้วยความสงสัยไม่ได้

 

 

 

 

 

“ทำไมนายถึงไม่สวมตราผู้ใช้พลังล่ะ?”

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงไม่คิดเอ่ยปากพูด เพราะช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

 

 

 

 

“โอ้ ฉันว่าฉันเดาได้แล้ว อย่าบอกนะว่านายเป็นแค่ผู้ใช้พลังเลเวล F เพราะฝั่งทะเลเหนือในคราวก่อน ก็มีเลเวล F มาเข้าร่วมงานประลองเช่นกัน แบบนั้นมันคงน่าสงสารเกินไปที่จะหยิบตราขึ้นมาติด แต่ไม่ได้นา ดูอย่างรุ่นเยาว์จากรัฐสามเฉิงสิ แม้จะเป็นแค่ขยะ แต่ก็ยังกล้าที่จะสวมตราอย่างเปิดเผย!”

 

 

 

 

 

ระหว่างที่ชายคนนั้นเอาแต่พล่าม เขาไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย ว่าสีหน้าของฉินเฟิง เริ่มหม่นหมองลง

 

 

 

 

 

เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นตัวแทนของรัฐสามเฉิงในครั้งนี้ แต่รัฐสามเฉิงคือบ้านเกิดของเขา!

 

 

 

 

 

บางคน อาจไม่สามารถตัดสินได้จากตระกูล , อาจไม่สามารถตัดสินได้จากสภาพแวดล้อมก็จริง

 

 

 

 

 

ทว่าทุกวีรบุรุษที่แข็งแกร่ง ไม่มีผู้ใดไร้ที่มา!

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเองแม้ไม่ยึดติดกับบ้านเกิด แต่ก็ใช่ว่าจะชอบให้คนมาข่มเหงดูถูกมัน

 

 

 

 

 

แต๊ง แต๊ง แต๊ง

 

 

 

 

 

ระฆังยักษ์ส่งเสียงดังกระหึ่ม ให้สัญญาณว่าการประลองเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

 

 

 

 

 

“เอาล่ะไอ้หนู ฉันเข้าใจนะว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่นายจะปีนป่ายขึ้นมายืนบนเวทีแห่งนี้ เพราะงั้นฉันจะปล่อยให้นายเป็นฝ่ายโจมตีก่อน จัดมาเลยเต็มที่อย่าให้เสีย สุดท้ายยังไงนายก็แพ้ ฉะนั้นฉันจะให้โอกาสนายสักครั้ง”

 

 

 

 

 

“และฉันขอน้อมรับด้วยความเต็มใจ” ฉินเฟิงกล่าว

 

 

 

 

 

“ฮ่าๆ ด้วยความยิน–” 

 

 

 

 

 

ระหว่างกล่าว จู่ๆชายคนนั้นพลันกรีดร้องเสียงดัง ในดวงตาฟุ้งไปด้วยความตื่นตระหนก

 

 

 

 

 

เพราะเขายังพูดไม่ทันจบ ฉินเฟิงก็ลงมือซะแล้ว

 

 

 

 

 

แต่เป็นแค่การลงมืออย่างไม่ใส่ใจ เพียงวาดมือออกเบาๆ ปลดปล่อยมังกรตะปบ

 

 

 

 

 

แม้เขาจะใช้พลังเพียง 1/1000 ก็ตามที แต่เนื่องจากกำลังภายใน และเทคนิคต่อสู้ล้วนอยู่ในระดับสูง กระบวนท่านี้เลยยังคงปลดปล่อยกลิ่นอายและรูปลักษณ์อันน่าหวาดกลัวออกมาอยู่ดี

 

 

 

 

 

คู่ต่อสู้ของฉินเฟิงเป็นอัจฉริยะเช่นกัน อย่างน้อยก็ครอบครองสายตาที่ไม่เลว เพียงมอง ก็สามารถระบุได้ทันที ว่าการโจมตีของฉินเฟิง รุนแรงและดุร้ายเพียงใด

 

 

 

 

 

“จงหยุดมันให้ฉัน ว๊ากกกกกกก”

 

 

 

 

 

อีกฝ่ายเร่งเร้ากำลังภายในออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากำลังภายในเลเวล E แม้มีมากมาย แต่มิอาจต่อต้านกระบวนท่าวรยุทธที่เกิดจากปราณกำลังภายในได้

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงใช้ออกด้วยมังกรตะปบ คิดจู่โจมในคราวเดียว กรงเล็บมังกรโถมเข้าปกคลุมร่างศัตรูทันที

 

 

 

 

 

ตูม!

 

 

 

 

 

กระบวนท่าถึงเป้าหมาย ส่งตัวอัจฉริยะ ปลิวร่วงตกลงจากเวที

 

 

 

 

 

พรวดดด!

 

 

 

 

 

อีกฝ่ายกระอักเลือดคำโต เนื้อหนังตามร่างกายคล้ายถูกกระทำอย่างรุนแรง เกิดการฉีกขาด มิอาจลุกขึ้นมาได้อีกต่อไป

 

 

 

 

 

บนอัฒจันทร์นอกสังเวียน ผู้ตัดสินกลายเป็นนิ่งค้าง เพราะการต่อสู้นี้ เพิ่งเริ่มต้นได้แค่ 10 วินาที เท่านั้นเอง

 

 

 

 

 

“นับถอยหลัง 10 วินาที”

 

 

 

 

 

“10 , 9 …. ”

 

 

 

 

 

หากอัจฉริยะคนนี้ไม่สามารถลึกขึ้นมาได้ จะถือว่าแพ้งานประลองทันที

 

 

 

 

 

ดวงตาของอัจฉริยะสูญสิ้นความสดใส บังเกิดความเจ็บปวดตามตัว จนมิอาจเร่งเร้าพละกำลัง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

 

 

 

 

 

“นี่มัน .. เป็นไป … ไม่ได้ .. ฉันคืออัจฉริยะ ทำไมกัน? ทำไมนายถึงจงใจซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้?”

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มจาง “แล้วฉันบอกตอนไหนว่าฉันเป็นเลเวล F?” 

 

 

 

 

 

สีหน้าของอัจฉริยะหมองลง

 

 

 

 

 

“อ้อจริงสิ แล้วอีกอย่าง นายพูดมากเกินไป หลังจบงานนี้ เมื่อถึงคราวล่าสัตว์ร้าย อย่าลืมหุบปากลง จำคำฉันไว้ดีๆ พูดให้น้อย มิฉะนั้นนายอาจถูกสัตว์ร้ายฉวยโอกาสโจมตี กลายเป็นอาหารของพวกมันในคราวเดียว”

 

 

 

 

 

อัจฉริยะเช่นนี้ย่อมได้รับการปกป้องจากผู้คนเป็นอย่างดี ดังนั้นประสิทธิภาพยามต่อสู้จริง มิอาจสำแดงมันออกมาอย่างเต็มที่ หากประมาท อาจพลาดพลั้งและตกตายในทุ่งล่าได้

 

 

 

 

 

10 วินาทีสิ้นสุดลง

 

 

 

 

 

“ผู้ประลอง : ฉินเฟิง , ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป!”

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงคว้าชัยชนะมาได้อย่างง่ายดาย ก้าวลงจากเวทีไป

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆจากผู้ชม ‘นี่จบแล้วหรือ?’ บางคนยังมึนงงสงสัย

 

 

 

 

 

แต่เนื่องจากงานประลองในวันแรก จัดแข่งพร้อมกันถึงครั้งละ 10 สังเวียน หลายคนจึงไม่มีเวลาสนใจ เบนสายตาไปมองเวทีอื่นเพื่อเฝ้ามอง ศึกษาหาความรู้ต่อไป

 

 

 

 

 

“ช่างโหดร้าย!”

 

 

 

 

 

“รังแกกันชัดๆ!”

 

 

 

 

 

“เรื่องนี้ ต้องรายงานท่านจ้าวพรมแดน!”

 

 

 

 

 

“อย่าเลยดีกว่า บางทีฉินเฟิงชอบเล่นแบบนี้ก็ได้”

 

 

 

 

 

“นั่นสิ อีกอย่างเวทีประลองก็เปิดให้มีการเดิมพันไม่ใช่หรือ? แต่ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าฉินเฟิงได้เป็นแชมป์ คนวางเงินจะได้รับเดิมพันเท่าไหร่”

 

 

 

 

 

บรรดาเลเวล B หุบปากเงียบ จมลงสู่ห้วงความคิด สายตาสลับมองฉินเฟิง

 

 

 

 

 

เงินเดิมพันในการประลองแต่ละครั้ง อัตราต่อรองมันไม่ค่อยมากนักก็จริง ทว่าอัตราต่อรองในกรณีของแชมป์เปี้ยน มันเยอะมากๆ

 

 

 

 

 

หากตัดสินใจเดิมพันแชมป์ตั้งแต่วันแรก อัตราต่อรองเริ่มต้น จะมากถึง 64 เท่า!

 

 

 

 

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ดวงตาของผู้ใช้พลังเลเวล B พลันเปล่งประกายสดใส และลอบเดิมพันทันที

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】
Status: Ongoing
อ่านนิยายโคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】ภายในตัวอาคารที่ถูกเสริมแกร่งด้วยเหล็กกล้า พื้นโถงทางเดินราวกับกระจกใส ทั้งแพทย์และพยาบาลต่างเดินกันให้วุ่นไปตลอดเส้นทาง   ที่นี่คือสถาบันวิจัยเขตชานเมืองใหม่ของเมืองเฉิงหยาง   ณ หนึ่งในพื้นที่บริเวณของสถาบัน กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ทั้งตื่นเต้นระคนวิตกกังวล กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ   “กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง! หมายเลข 2318 ฉินเฟิง กรุณาไปเข้ารับการฉีดยากระตุ้นในแอเรียที่ 3 ด้วย!”   “ถึงตาของฉันแล้- โครม!”   วัยรุ่นชายผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จนเจ้าตัวเสียหลัก สะดุดขาตัวเองล้มคะมำลงกับพื้น   เพียงได้ยินเสียงกระแทก ทุกคนก็พอจะรับรู้ได้ว่าการล้มหน้าฟาดของอีกฝ่ายรุนแรงขนาดไหน   “อ๊า! ฉินเฟิง!” เห็นถึงฉากนี้ โจวฮ่าวก็กลายเป็นตื่นตระหนก เขาเร่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือสหายของตนอย่างร้อนรน   แล้วก็พบกับผลลัพธ์คาดไม่ถึง -ฉินเฟิงที่ล้มลงดันสลบไปซะอย่างงั้น!   “ชิบหายแล้ว ฉินเฟิง! นายคงไม่ได้หมดสติจริงๆหรอกใช่ไหม เล่นตลกอะไรในเวลาสำคัญแบบนี้เนี่ย? รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า! ถึงเวลาฉีดยา ‘กระตุ้นพลัง’ ของนายแล้วนะ!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset