A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1562 จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬ

“ต่อให้ลงมือ แต่ก็ไม่ใช่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง พลังยุทธ์ของพวกเราสองคนเท่ากับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง แต่ตอนที่บรรลุระดับได้อาศัยเคล็ดวิชาลับของเหล่าอาวุโสสิบกว่าคนผลัดกันบรรจุเข้าร่าง ถึงได้โชคดีทะลวงจุดคอขวดได้ แต่ในด้านจิตสัมผัสและเคล็ดวิชานั้นกลับสู้ไม่ได้ หากไม่ตั้งใจฝึกฝนสักสองสามพันปี ก็ไม่อาจเทียบกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงได้ ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะพวกเรามีกำลังพลไม่พอ แต่คิดดูแล้วเหล่าอาวุโสคงไม่ย้ายพวกเรามาอย่างเร่งด่วนหรอก” ชายชราสั่นศีรษะ

 

 

“นั่นมันก็ใช่ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเราสองคนร่วมมือกันต่อให้เป็นเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงระดับสอง คิดดูแล้วก็มีกำลังต้านทาน ส่วนโอกาสที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวในเมืองแสงมรกตนั้น ช่างน้อยนิดนัก” ชายวัยกลางคนพยักหน้าขณะเอ่ย

 

 

“ทว่า เจ้าเด็กหงเมี่ยนั้นช่างน่าเสียดายจริงๆ!” ชายชราไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ ก็เผยสีหน้าเสียดายออกมา

 

 

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กนั้นมีเลือดเนื้อของเผ่าเพลิงจันทราและเผ่าหนอนมีเขาในเวลาเดียวกัน และยิ่งไปกว่านั้นเลือดเนื้อของเผ่าหนอนมีเขา หรือว่าเกี่ยวข้องกับเผ่าเพลิงของพวกเจ้า หรือว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่ถู?” ชายวัยกลางคนได้ยินพลันฉีกยิ้ม

 

 

“ผู้แซ่ถูทำให้พี่หนิงเห็นเรื่องขบขันแล้ว จะว่าไปแล้วเจ้าเด็กนั่นเป็นชนรุ่นหลังของผู้กับญาติห่างๆ ของข้า ตอนแรกนั้นตามหาเขาพบได้โดยความบังเอิญ จึงให้เขาคอยแอบอยู่ในเหล่าอาวุโสเมฆาสวรรค์ ทว่าพลังยุทธ์ของเขาสูงส่งเกินไป อาจจะมีสักวันที่ขึ้นมาอยู่ในระดับของข้า และอาวุโสตระกูลเพลิงของพวกเราก็เตรียมการเอาไว้แล้ว รอให้เขาทำภารกิจสายลับเสร็จ กลับมาจะล้างไขกระดูกโลหิตให้เขา เปลี่ยนกายเนื้อให้กลายเป็นเผ่าหนอนมีเขาของพวกเรา แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในขณะที่ภารกิจกำลังจะสำเร็จแล้ว” ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“หึๆ พี่ถูไม่ต้องเสียดาย อีกเดี๋ยวเราไปสับฆาตกรที่ฆ่าเขาเป็นหมื่นๆ ชิ้นก็ได้แล้ว น่าเสียดายเพราะกลัวว่าเขาจะถูกคนจับได้ พวกเราจึงไม่ได้ลงอาคมไว้บนร่างของเขา มิเช่นนั้นก็สามารถตามหาฆาตกรที่ฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย ทว่าไม่เป็นไรพวกเราส่งกำลังพลบนเรือสงครามกว่าครึ่งไปแล้ว พวกเขาไม่มีทางหนีออกจากที่นี่ได้แน่” ชายวัยกลางคนหัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย

 

 

“มีจานตาข่ายสวรรค์ทมิฬที่เหล่าอาวุโสมอบให้กับมือ แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่พวกเขาจะหนีไป ปัญหาเดียวก็คือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียวและยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าอยู่ในมือของเผ่าหมื่นโบราณหรือไม่ พวกเราก็ไม่อาจทำให้พวกเขาร้อนใจจนสูญเสียของเหล่านี้ไป เหล่าอาวุโสมอบหมายมาอย่างชัดเจนแล้วว่าต้องนำของเหล่านั้นกลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ” ชายชราขบคิดแล้วเอ่ย

 

 

“จุดนี้ข้าย่อมรู้ดี มิเช่นนั้นเราสองคนจะหลบอยู่ในเรือสงครามเพื่ออันใด ก็แค่อย่ายืนยันเป้าหมายก่อนค่อยลงมือแย่งชิงอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยโอกาสให้พวกเขาได้รู้สึกตัว! ตามแผนเดิมคือให้หงเมี่ยว่าของอยู่ในมือของผู้ใดจากนั้นค่อยทำเครื่องหมายเอาไว้ รายงานให้พวกเราลงมือ ตอนนี้หงเมี่ยเพลี่ยงพล้ำไปแล้วของสิ่งนั้นอยู่ในมือของผู้ใดก็ไม่แน่ชัด มันยุ่งยากไปหน่อยจริงๆ!” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วมุ่น

 

 

“จัดการยากจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ของสิ่งนั้นสำคัญขนาดนั้น คิดดูแล้วภายใต้สถานการณ์ที่กองทัพของพวกเราเข้าประชิดเขตแดนเช่นนี้คงไม่มีทางมอบให้ผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยแน่ ถึงอย่างไรเสียพวกเราก็เคลื่อนไหวจำนวนมากขนาดนี้ ก็เพราะต้องการทอดแหใส่ผู้บำเพ็ญเพียรในเมืองแสงมรกตทุกคน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำล้วนไม่มีโอกาสหนี หากคนผู้นั้นโง่เขลานำของสิ่งนี้ไปมอบให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเก็บรักษาพวกเราก็ได้เปรียบแล้ว เช่นนี้ขอบเขตที่กว้างใหญ่ก็หดเล็กลงแล้ว ข้าเดาว่าน่าจะอยู่ในมือของชนชั้นสูงของเผ่า แน่นอนว่าหากมีเผ่าศักดิ์สิทธิ์อยู่จริงๆ ของก็ต้องอยู่ในมือของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย” ชายชราวิเคราะห์อย่างเนิบช้า

 

 

“กล่าวเช่นนี้ก็ถูก หากขอบเขตเช่นนี้จริงๆ เป้าหมายก็ลดลงเป็นอย่างมากระดับชนชั้นกลางของเผ่ามอบให้อวี่เจียวจัดการก็แล้วกัน ส่วนชนชั้นสูงเหล่านั้นพวกเราต้องออกโรงเอง ให้คนอื่นๆ มาช่วยประสาน” ชายวัยกลางคนพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

“หัวหน้าหกคนเหลือสองคนเอาไว้เฝ้าเรือสงครามคนอื่นๆ ส่งออกไปให้หมดเถิด คำนวณเวลาดูพวกระดับต่ำที่อยู่ด้านนอกคงจัดการไปพอสมควรแล้ว ไม่มีพวกชั้นต่ำมาคอยรบกวนใช้จานตาข่ายสวรรค์ทมิฬที่อาวุโสประทานให้ ก็น่าจะหาตำแหน่งที่แม่นยำของชนชั้นสูงเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย” สุดท้ายชายชราพลันเอ่ยพึมพำ

 

 

ชายวัยกลางคนได้ยินก็ไม่ได้ตอบรับ แต่แววตากลับเปล่งประกายเผยสีหน้ามีแผนการออกมา

 

 

……

 

 

ยามนี้รอบๆ เมืองแสงมรกต หลังจากถูกเหล่าอินทรีย์ยักษ์และนักรบชุดเกราะสีเงินบนเรือไม้ค้นหาไปสองสามครั้งก็ดึงผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าออกมาจากในเมืองมาสังหารบ้างหรือเป็นเชลยบ้างได้แปดเก้าส่วนแล้ว มีเพียงผู้ที่มีเคล็ดวิชาอำพรางสูงส่งจำนวนเล็กน้อยที่ยังซ่อนตัวอยู่และหวังว่าจะหนีรอดได้

 

 

นอกจากนี้ผู้ที่ระดับสูงกว่าสองสามคนก็อาศัยพลังลมปราณที่ลึกล้ำหนีออกไปอย่างไร้ร่องรอย แต่มังกรวารีติดปีกเหล่านั้นกลับไล่ตามไปด้านหลังอย่างไม่ลดละ ส่วนจะตามทันหรือไม่ก็มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้

 

 

ทว่าเมื่อเห็นว่านักรบชุดเกราะและอินทรีย์สองหัวยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ไม่มีเจตนาจะเรียกใช้อสูรวิญญาณเหล่านั้นเป็นทัพเสริม ก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘มังกรวารีขนนก’ น่ากลัวแค่ไหน

 

 

ส่วนอินทรีย์สองหัวเหล่านั้นและนักรบชุดเกราะต่างก็ตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมาทุกตารางนิ้วบนยอดเขาใกล้เคียงไม่ก็ในป่าทึบ บางครั้งก็มีลำแสงหลีกหนีสายสองสายบินออกมาจากแดนลับ จากนั้นอินทรีย์สองหัวฝูงใหญ่หรือเรือไม้สองสามลำก็กรูกันเข้าไปในทันที เสียงร้องน่าอนาถดังขึ้น การโจมตีต่างๆ กลืนกินลำแสงหลีกหนีไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ส่วนหานลี่ในยามนี้ก็หนีออกมาจากเมืองแสงมรกตได้เจ็ดสิบแปดสิบลี้แล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาได้ต่อสู้กับกบฏเผ่าเพลิงจันทราไปรอบหนึ่ง ดูเหมือนรุนแรงมากและส่งเสียงดังสนั่น แต่ความจริงแล้วเมื่อวางเขตอาคมกระบี่หลากวสันต์ ระลอกคลื่นไอวิญญาณสักนิดก็ไม่เล็ดลอดออกมาจากเขตอาคมกระบี่

 

 

แม้กระทั่งสุดท้ายที่ชาวเพลิงจันทราใช้ระฆังสัมฤทธิ์ปล่อยคลื่นเสียงออกมาก็ถูกอานุภาพลึกลับของเขตอาคมหลากวสันต์ดูดซับเอาไว้อย่างง่ายดาย

 

 

ดังนั้นแม้ว่าการต่อสู้ของทั้งสองจะอยู่ใกล้กับเมืองแสงมรกตแค่คืบ ชาวเผ่าหนอนมีเขาเหล่านั้นกลับไม่พบร่องรอยเลยสักกระผีก

 

 

และหลังจากที่หานลี่ทำลายจิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวเผ่าเพลิงจันทราไปแล้วก็ค้นหากล่องหยกอีกใบและยาลูกกลอนโลหิตสีทองเม็ดนั้นบนร่างของเขาทันที

 

 

จากนั้นก็เผาร่างจนเป็นจุณ

 

 

จากอานุภาพของยันต์ชำระพิสุทธิ์ แม้ว่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับหานลี่ก็ยังพบร่องรอยได้ยาก

 

 

ดังนั้นทหารไล่ล่าของเผ่าหนอนมีเขาที่ค้นหาไปทั่วทั้งสารทิศย่อมไม่อาจทำลายประสิทธิภาพของยันต์วิเศษชนิดนี้ได้

 

 

ผลคือหานลี่จึงบินผ่านอินทรีย์สองหัวและเรือไม้อย่างทะนงองอาจไปหลายครั้ง

 

 

ทหารไล่ล่าของเผ่าหนอนมีเขาเหล่านี้กลับไม่รู้ตัวเลยสักกระผีก

 

 

ส่วนชายหัวโตและชายผิวสีเขียวก็ไม่รู้ว่าหนีไปที่ใดแล้วในตอนที่หานลี่เสียเวลาไป

 

 

ทว่าในเมื่อต้องอำพรางกายความเร็วของพวกเขาจึงไม่อาจรวดเร็วนัก กว่าครึ่งคงอยู่ในรัศมีสองสามร้อยลี้

 

 

หานลี่ครุ่นคิดในใจคนกลับไม่หยุดพักเลยสักนิด ตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบไปพลาง บินไปทางที่มีทหารไล่ล่าน้อยที่สุดไปพลาง

 

 

ชั่วครู่หานลี่พลันบินออกห่างเมืองแสงมรกตไปสองสามร้อยลี้ ตาเนื้อมองเห็นว่าในบริเวณรอบไม่มีเงาของศัตรูใดๆ อีก

 

 

เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แต่ยังคงไม่กล้าหยุดใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ ผู้ใดจะรู้ว่าคนของเผ่าหนอนมีเขาจะมีเคล็ดวิชาลับหรือใช้สมบัติลับอะไรที่สามารถตรวจสอบในระยะพันลี้ได้หรือไม่

 

 

หานลี่กลับไม่รู้ว่าการระมัดระวังตัวเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เปล่าประโยชน์

 

 

ในยามที่เขาเห็นเมืองแสงมรกตห่างออกไปมากเท่าไหร่ เกาะยักษ์สีเขียวเงินกลางอากาศก็มีเงาสีดำหกสายลอยอยู่

 

 

สองคนในนั้นคือชายชราและชายวัยกลางคนที่พูดคุยกันในวิหารบนเกาะก่อนหน้า

 

 

อีกสี่คนที่เหลือกลับเป็นผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่ผอมบางแตกต่างกัน ดูเหมือนว่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา

 

 

และยามนั้นตรงใจกลางที่ทั้งหกล้อมรอบอยู่ สมบัติสีทองรูปร่างคล้ายจานตาข่ายก็ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังหมุนวนไปมาไม่หยุด

 

 

ตรงกลางสมบัติชิ้นนั้นมีหัวศรขนาดสองสามชุ่นยืดและหดไปมาไม่หยุด บนจานสลักลวดลายประหลาดคล้ายขีดบอกทิศทางเป็นวงกลมอยู่ ในเวลาเดียวกันก็มีอักขระสีทองทะลักออกมาจากจานลอยพลิ้วไหวไปมา

 

 

ทั้งหกคนจ้องเขม็งไปด้วยตาไม่กะพริบ หัวศรหมุนวนสองสามรอบ ฉับพลันนั้นพลันสั่นเทาแล้วหยุดลง

 

 

หัวศรยืดและหดแล้วพลันหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างขีดประหลาดสองขีด และกะพริบวาบเรืองๆ

 

 

“เอาล่ะ ชี้เป้าผู้แข็งแกร่งทั้งสี่แล้ว พวกเจ้าสี่คนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มไปค้นหาสองตำแหน่งนี้ที่บอกพวกเจ้า ส่วนที่เหลืออีกสองคนมอบให้พวกเราสองคนก็แล้วกัน จากระดับความแข็งแกร่งแล้วพวกเขาน่าจะเป็นชนชั้นสูงระดับสาม ทว่าหลังจากพวกเจ้าหาตัวพบแล้วก็พยายามอย่าเพิ่งลงมือ รอให้พวกเราจัดการที่เหลืออีกสองคนก่อนค่อยมารวมตัวกับพวกเจ้า จำเอาไว้ หากพวกเจ้าคิดจะทำลายอะไรจะต้องไม่เสียดายของมีค่าอะไร พวกเจ้าสี่คนเอามังกรวารีขนนกไปคนละสองตัว เช่นนั้นก็จะไม่เป็นไรแล้ว” ชายชราเลื่อนสายตาออกมาจากจานตาข่ายแล้วสำทับอย่างเยือกเย็น

 

 

“ขอรับ!” คนทั้งสี่รีบค้อมกายตอบรับอย่างพร้อมเพรียงด้วยสีหน้านอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“อืม ในเมื่อจำเป้าหมายของตนเองได้แล้วก็ลงมือเถิด แม้ว่าคนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างไปสองสามร้อยลี้” ชายวัยกลางคนเองก็สำทับอยู่ด้านข้าง

 

 

แน่นอนว่าสี่คนนั้นพลันพยักหน้าพัลวัน จากนั้นเห็นชายชราผิวปาก ชั่วขณะนั้นเกราะสีเงินยักษ์ด้านหน้าพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ มังกรวารีขนนกสีทองบินออกมาทีเดียวสิบกว่าตัว หลังจากกะพริบวาบก็มาอยู่เหนือหัวคนทั้งหกแล้ว พลันบินฉวัดเฉวียนไปมา

 

 

ชายชราใช้มือหนึ่งโบกไปมาด้วยสีหน้าราบเรียบ ชั่วขณะนั้นเงาร่างสี่สายด้านข้างพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสี่สายพุ่งออกไป มังกรวารีขนนกแปดในสิบตัวนั้นพลันตามคนทั้งสี่ไป

 

 

ที่เดิมจึงเหลือเพียงมังกรวารีสองตัวลอยนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง

 

 

เมื่อเห็นลูกน้องของตัวเองลงมือแล้ว สายตาของชายชราพลันกวาดไปที่จานตาข่ายแวบหนึ่งใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคมปล่อยลำแสงสีแดงสายหนึ่งออกไป

 

 

ผลคืออาคมสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในจานตาข่ายเข็มตรงกลางหมุนวนอีกครั้ง แต่สมบัตินี้หมุนวนอย่างช้าๆ สองครั้งเข็มก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

 

 

จุดที่หัวศรชี้ไปนั้นนั่นก็คือตำแหน่งที่หานลี่หลบหนีไป!

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset