A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1510 สถานการณ์ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

“อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว สิ่งที่ชนรุ่นหลังนำมาไม่ใช่สมบัติศักดิ์สิทธิ์ในเผ่า แต่เป็นของลอกเลียนชนิดหนึ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่ไม่กี่คนได้หลอมออกมาก่อนหน้านี้ไม่นอน ที่จริงแล้วจะเรียกว่า “รังเทวะเล็ก” ก็ได้ แมลงสวรรค์ที่สมบัตินี้สามารถกลายร่างได้ก็มีแค่ชนิดเดียวเท่านั้น และเป็นชนิดที่ระดับต่ำมากๆ อีกด้วย อีกทั้งของลอกเลียนชนิดนี้ สามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น หลังใช้เสร็จก็กลายเป็น”

 

 

“รังเทวะเล็ก! ดูน่าสนใจ ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงรังเทวะของเผ่าแมงเม่ามานานแล้ว แต่เสียดายที่ไม่เคยได้เห็นมาโดยตลอด ในเมื่อไม่สามารถเห็นของจริงได้ ได้ดูของลอกเลียนแบบก็ไม่เลว ข้าสามารถช่วยเจ้าเรียกร่างจริงมาได้โดยไม่คิดเงื่อนไข แต่หากคิดจะยืมกรรไกรห้ามังกร จะไม่เสนอข้อแลกเปลี่ยนสักหน่อยก็คงจะไม่ได้” อาวุโสเจียงผู้นี้กล่าวอย่างช้าๆ

 

 

“แต่ชนรุ่นหลังพกวารีทมิฬแก่นทานตะวันติดตัวมาแค่หนึ่งขวดขอรับ” ดวงตาของหุ่นเชิดเกราะโลหิตเปล่งแสงโลหิตวูบหนึ่ง พลันเกิดความลังเลขึ้นมา

 

 

“ไม่เป็นไร รอให้เจ้าใช้รังเทวะเล็กนั่นเสร็จแล้ว มอบของเดิมที่ใช้ทิ้งไปแล้วมาให้ข้าก็ได้ การแลกเปลี่ยนเช่นนี้คงไม่ถือว่าเกินไปกระมัง” อาวุโสเจียงพูดอย่างไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว

 

 

“อาวุโสต้องการรังเทวะเล็ก!” ได้ยินคำนี้ หุ่นเชิดเกราะโลหิตก็น้ำเสียงเปลี่ยน พลันเกิดความลังเลขึ้นมา

 

 

“หึๆ เจ้าไม่ยินดีก็ไม่เป็นไร สาเหตุที่ข้าอยากได้ของสิ่งนี้ ก็แค่อยากจะเปิดหูเปิดตาเล็กน้อยเท่านั้น หรือว่าข้าจะสามารถเข้าใจเคล็ดลับของรังเทวะของพวกเจ้าโดยอาศัยเพียงของที่เสียไปแล้วชิ้นเดียวจริงๆ แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ยินดีจะแลกเปลี่ยนก็ไม่เป็นไร” อาวุโสเจียงพูดอย่างไม่หนักหนาอะไร

 

 

“ได้ขอรับ ชนรุ่นหลังยินดีแลกเปลี่ยน แต่ชนรุ่นหลังมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง หลังจากใช้รังเทวะเสร็จแล้ว อาวุโสสามารถศึกษาค้นคว้าได้แค่เดือนกว่าเท่านั้น ถึงเวลาจะต้องคืนของเดิมกลับมาให้ ไม่เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็ไม่สามารถอธิบายกับอาวุโสในเผ่าได้ขอรับ” หุ่นเชิดเกราะโลหิตคิดแล้วคิดอีก รู้สึกว่าอาศัยเพียงพลังของรังเทวะอย่างเดียวยังไม่มั่นใจเต็มที่ว่าจะรับมือกับพวกลิ่วจู๋ได้ จึงกัดฟันกล่าวตกลง

 

 

“ฮ่าๆ! แค่มีคำตกลงของเจ้าก็ได้แล้ว! ข้าจะช่วยเจ้าร่ายคาถาเรียกร่างจริงของเจ้ามาที่นี่ นี่ยังโชคดีที่เจ้ายังมีจิตแยกเสี้ยวหนึ่งอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นคิดจะทะลวงดินแดนพาคนเข้ามาโดยไม่อาศัยอะไรเลย แม้แต่ผู้เฒ่าเองก็ไม่สามารถทำได้” ภายในถ้ำมีเสียงหัวเราะบ้าคลั่งดังออกมาระลอกหนึ่ง!

 

 

เกิดเสียงโครมดังอื้ออึงขึ้นคราหนึ่ง เส้นไหม้สีเงินหนึ่งเส้นพวยพุ่งออกมา พันรอบหุ่นเชิดเกราะโลหิตไว้ภายในแล้วพุ่งทยานกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง

 

 

หลังจากพุ่งฉวัดเฉวียนสองสามหน ร่องรอยของหุ่นเชิดเกราะโลหิตก็หายไปทั้งหมด

 

 

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา จู่ๆ ภายในชีพจรภูเขาสีขาวก็เกิดแรงกดวิญญาณอันแข็งแกร่งสุดๆ ทยานขึ้นสู่ฟ้า ตามด้วยลำแสงสีเหลืองทองหนาๆ สายหนึ่งพุ่งออกมาจากเบื้องล่าง ตรงไปยังชั้นบรรยากาศสูง

 

 

ทันใดนั้น พายุทมิฬก็มารวมกันที่บริเวณลำแสงอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับเกิดเสียงระเบิดดังก้อง ปรากฏปราณสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาทั่วทุกสารทิศ

 

 

ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ได้บดบังพื้นที่ว่างในบริเวณใกล้เคียงอย่างมิดชิด มองสถานการณ์ที่อยู่ในนั้นไม่ออกแม้แต่น้อย…

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ภายในปราณสีดำก็มีสายฟ้ารูปร่างคล้ายมังกรเส้นหนึ่งพุ่งปราดออกมาแล้วหายวับไปในพริบตา ก่อนที่จะแผดเสียงร้องแสบแก้วหูออกมาจากด้านใน

 

 

เสียงร้องแหลมนี้ดูเหมือนจะอาฆาตแค้นเป็นอย่างยิ่ง และยังเต็มไปด้วยจิตสังหาร

 

 

 

 

หานลี่ถอนหายใจยาวคราหนึ่ง พลันลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ

 

 

“สหายหาน สัญลักษณ์สุดท้ายถูกหลอมออกไปแล้ว” เสียงอันไพเราะของหยวนเหยาดังมาจากทางด้านหลัง

 

 

“ขอบคุณสหายทั้งสองที่ยื่นมือช่วยเหลือเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าสัญลักษณ์สุดท้ายจะดื้อด้านเช่นนี้ ราวกับฝังรากไว้ในร่าง ไม่สามารถขจัดออกไปได้แม้แต่น้อย จึงต้องทุ่มเทใช้ลูกไม้พลิกแพลง หลอมภายในร่างโดยตรง ตอนนี้สัญลักษณ์ทั้งสี่ก็ถูกทำลายหมดแล้ว ในที่สุดก็จัดการภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในตัวได้เสียที” หานลี่ยืนขึ้น พลันหมุนกายผสานมือคารวะหญิงสาวทั้งสองทีหนึ่งด้วยสีหน้านอบน้อมและจริงใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“เหอะๆ ไยพี่หานต้องเกรงใจเช่นนี้ด้วย ก่อนหน้านี้พี่หานก็เป็นคนช่วยชีวิตเราสองคนไว้!” หยวนเหยาเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนเพลียออกมาเล็กน้อย

 

 

เหยียนลี่ก็ยิ้มอ่อนๆ เช่นกัน สีหน้าดูซีดเซียวเล็กน้อย

 

 

เรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่แปลก ไม่ว่าใครที่ควบคุมเขตอาคมใหญ่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวัน พลังยุทธ์ที่สูญเสียไปย่อมไม่ใช่น้อยๆ อย่างแน่นอน

 

 

หานลี่เห็นเช่นนี้ก็สั่นแขนคราหนึ่งโดยไม่พูดจา ขวดเล็กสีเขียวมรกตสองใบพลันพวยพุ่งออกมา แล้วแยกกันร่วงลงมาตรงหน้าหญิงสาวทั้งสอง ก่อนที่จะลอยคว้างไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น

 

 

“สองขวดนี้คือ “ยาทมิฬเขียว” เป็นธาตุเย็น น่าจะมีประโยชน์กับสหายทั้งสองเป็นอย่างมาก” หานลี่เอ่ยปากพูดอธิบาย

 

 

“ข้ากับศิษย์น้องจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้จริงๆ เช่นนั้นก็ไม่เกรงใจพี่หานแล้ว” เหยียนลี่ยิ้มหวานคราหนึ่ง พลันตวัดแขนเสื้อพันรอบขวดยา ฉับพลันก็มาปรากฏในมือข้างหนึ่งแล้วคว่ำปากขวดไปทางด้านนอก

 

 

ทันใดนั้น ยาลูกกลอนสีเขียวดำเม็ดหนึ่งก็กลิ้งออกมา แผ่ไอเย็นเฉียบตลบอบอวลออกมา

 

 

เหยียนลี่สัมผัสได้ถึงพลังของยาเม็ดนี้ ดวงตาทั้งสองพลันเปล่งประกาย พลางใช้นิ้วเรียวงามสองนิ้วคีบยาลูกกลอนขึ้นมา ครั้นจ้องมองอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก็ใส่เข้าไปในปากแล้วกลืนลงท้อง

 

 

จากนั้นนางจึงค่อยหลับตาลง ขับเคลื่อนพลังยุทธ์เพื่อเสริมการดูดซับพลังของยาให้ดียิ่งขึ้น

 

 

หยวนเหยาที่อยู่ข้างๆ เห็นดังนี้ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยกล่าวขอบคุณกับหานลี่ เก็บยาที่อยู่เบื้องหน้าแล้วกินยาลูกกลอนเข้าไปเช่นกัน

 

 

หานลี่รอหญิงสาวทั้งสองอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

 

 

ตอนนี้ระลอกคลื่นกลางอากาศได้สลายหายไปแล้ว ส่วนก้อนกลมสีดำลูกนั้นก็หดเล็กลงจนมีขนาดเหลือเพียงจั้งกว่า เนื่องจากเขตอาคมรอบๆ ได้หยุดการทำงานลง ม่านหมอกกำลังจางหายไปอย่างช้าๆ ดูเหมือนไม่นานก็จะหายไปจนหมดแล้ว

 

 

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร หญิงสาวทั้งสองก็ลืมตาขึ้นทีละคน สีหน้าทั้งคู่ต่างก็ดูดีขึ้นมาก

 

 

“พี่หาน เกรงว่ายาลูกกลอนเม็ดนี้ของท่านจะมีมูลค่าไม่เบากระมัง! พลังทมิฬที่ข้ากับศิษย์น้องสูญเสียไป แค่ครู่เดียวก็ฟื้นฟูกลับมากว่าครึ่งแล้ว” เหยียนลี่พูดด้วยความดีใจ

 

 

“สามารถเป็นประโยชน์กับสหายทั้งสองได้ ย่อมเป็นการดีที่สุดแล้ว” หานลี่กล่าวพร้อมกับยิ้มจางๆ

 

 

“พี่หาน! ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่นาน ต่อจากนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี? ตามแผนที่หารือกันก่อนหน้านี้ ก็แค่วางแผนกันว่าจะหลุดพ้นจากพวกแม่เฒ่าภูตอย่างไรเท่านั้น” หยวนเหยากัดฟันเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยความกลุ้มใจ

 

 

“คำพูดของแม่นางหยวนจริงสุดๆ สถานที่แห่งนี้ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้จริงๆ จะต้องออกจากที่นี่โดยเร็ว พริบตาที่ทำลายสัญลักษณ์ พวกราชาปีศาจเหล่านั้นยังสามารถรับรู้ถึงทิศทางที่ข้าอยู่คร่าวๆ ได้ สำหรับต่อจากนี้จะทำอย่างไร ย่อมต้องหาทางทะลวงช่องว่างมิติของที่แห่งนี้เพื่อกลับไปยังแดนวิญญาณอยู่แล้ว แน่นอนว่าเรื่องนี้ยุ่งยากเลยทีเดียว แม้ว่าข้าจะมีแผนอยู่บ้าง แต่จำเป็นต้องค่อยๆ ปรึกษาหารือกัน พวกเราเดินทางแล้วหารือกันไปพลางเถอะ” หานลี่มองดูรอบๆ ครู่หนึ่ง ท่าทีก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา

 

 

“ดี ตามอย่างที่พี่หานว่า พวกเราเก็บเขตอาคมกันก่อน จากนั้นก็ออกเดินทางกันทันที” ในสามคนนี้มีหานลี่ที่ระดับพลังยุทธ์สูงที่สุด หญิงสาวทั้งสองย่อมให้เขาเป็นคนตัดสินใจอยู่แล้ว

 

 

ดังนั้นร่างของหญิงสาวทั้งสองก็พลิ้วไหว กลายเป็นรุ้งสีดำทมึนสองสายเริ่มเก็บเครื่องมือจัดวางเขตอาคมในบริเวณใกล้เคียงทีละชิ้น

 

 

ส่วนหานลี่เงยหน้าขึ้นทีหนึ่ง แล้วเปล่งเสียงร้องลากยาวออกมา เสียงที่เหมือนกับฟ้าร้องก็ดังก้องออกไปไกล

 

 

ทันใดนั้น อสูรวิญญาณครวญและอสูรกิเลนเสือดาวที่กำลังเที่ยวเตร่อยู่บริเวณใกล้เคียง ตนหนึ่งก็ส่งเสียงแหลมคร่ำครวญ ส่วนอีกตนหนึ่งแผดเสียงคำรามต่ำไม่หยุด เพื่อเป็นการส่งเสียงขานรับ ก่อนที่จะพุ่งทยานกลับมาหาหานลี่

 

 

ลำแสงสีดำทมึนสายหนึ่งกับเงาสีทองภาพหนึ่งพุ่งออกมาพร้อมกัน แล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่ อสูรทั้งสองถูกหานลี่เก็บเข้าไปในแหวนอสูรวิญญาณ

 

 

ครู่ต่อมา หลังจากรอหญิงสาวทั้งสองทำงานเสร็จสิ้น ทั้งสามคนเลือกทิศทางที่แน่นอนได้แล้วก็รีบกระตุ้นลำแสงหลีกหนีย้ายออกจากที่นี่ในทันที

 

 

ทว่าหลังจากที่พวกหานลี่จากเนินเขาแห่งนี้ได้ไม่ถึงครึ่งวัน กลางอากาศบริเวณใกล้เคียงก็เกิดแสงสีเขียวสว่างวาบ แสงสีเขียวดวงหนึ่งพุ่งทะลวงอากาศมายังที่แห่งนี้ แล้วปรากฏตัวกลางอากาศสูงในบริเวณใกล้เคียง

 

 

ท่ามกลางแสงสีเขียวมีเงาร่างอ้อนแอ้นอรชรปรากฏอยู่ลางๆ!

 

 

หลังจากที่เงาคนนี้เหาะวนรอบบริเวณใกล้เคียงรอบหนึ่ง ก่อนร่อนลงบนยอดเขาที่พวกหานลี่เคยอยู่ก่อนหน้า พลันปรากฏกายออกมา

 

 

ที่แท้ก็คือมู่ชิง สตรีผู้นี้นั่นเอง

 

 

มู่ชิงใช้สายตากวาดมองบริเวณรอบๆ อย่างรวดเร็ว สีหน้าก็ค่อยๆ หม่นหมองลง

 

 

ดูเหมือนในมุมมองของคนอื่นจะเป็นแค่ทิวทัศน์ที่เป็นปกติทุกอย่าง แต่ในสายตาของนางกลับมองเห็นร่องรอยจำนวนมาก

 

 

นางสามารถมองเห็นร่องรอยที่หลงเหลือแต่ละอย่างของเขตอาคมมหึมาในที่แห่งนี้อย่างง่ายดาย รวมทั้งคลื่นอาคมต้องห้ามที่ยังไม่สลายทั้งหมดและปราณทมิฬบริสุทธิ์ที่เหนือธรรมดา

 

 

“ดูเหมือนข้าจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง หนีไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ที่แท้ก็ยืมพลังของเขตอาคมมาใช้กำจัดสัญลักษณ์ แต่ในเมื่อออกไปจากที่นี่แล้ว จะหาเขาอีกก็ลำบากยากยิ่ง” มู่ชิงพูดพึมพำสองสามประโยค ใบหน้าปรากฏสีหน้าลังเลออกมา ดูเหมือนมีเรื่องบางอย่างที่นางยังตัดสินใจไม่ได้

 

 

“ช่างเถอะ! เพื่อของสิ่งนั้นที่อยู่ในสุสานมาร ข้าจะลองทุ่มสุดตัวดูสักครั้ง! ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนแรกควรจะวางอาคมต้องห้ามไว้ในร่างเจ้าเด็กแซ่หานเพิ่มอีกสักหน่อย” มู่ชิงกระทืบเท้าทีหนึ่ง หลังจากพูดอย่างเด็ดเดี่ยว ใบหน้าเนียนๆ ของนางก็ปรากฏสีหน้าเฉียบขาดออกมา

 

 

ร่างของนางลอยขึ้น กลายเป็นแสงสีเขียวดวงหนึ่งแล้วทะลวงอากาศจากไป

 

 

แค่ครานี้ ลำแสงหลีกหนีของหญิงผู้นี้ไม่ได้ทยานไปไกลมากนัก

 

 

หลังจากผ่านไปค่อนชั่วยาม แสงสีเขียวก็ร่วงลงมายังชีพจรภูเขาขนาดเล็กที่ดูธรรมดาไม่แปลกตาแห่งหนึ่ง แล้วเข้าไปในหุบเขาเปล่าเปลี่ยว

 

 

หุบเขาแห่งนี้มีปราณทมิฬเบาบาง ถึงขนาดเทียบกับพื้นที่ธรรมดานอกชีพจรภูเขาด้านบนไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่มีภูตผีแม้แต่ตนเดียว

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ กลับเป็นสิ่งที่มู่ชิงคาดหวัง

 

 

หลังจากที่นางตรวจค้นหุบเขารอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าบริเวณใกล้เคียงไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ จึงค่อยสั่นแขนเสื้อสองข้างคราหนึ่ง

 

 

ภายในแขนเสื้อมีแสงสีเขียวเปล่งประกายวูบหนึ่ง พร้อมส่งเสียง “พึ่บพั่บ” ดังสนั่น

 

 

ดวงแสงขนาดเท่ากำปั้นสีเขียวสลัวๆ จำนวนนับไม่ถ้วน พวยพุ่งกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางอย่างหนาแน่น

 

 

ดวงแสงทั้งหมดพากันร่วงพรูเข้าไปในที่ต่างๆ ของหุบเขา ภายในชั่วพริบตาก็หายวับไปในพื้นดินอย่างไร้ร่องรอย

 

 

มู่ชิงใช้ขาข้างหนึ่งย่ำลงบนพื้น

 

 

ลำตัวตั้งแต่ช่วงเอวลงมีเปล่งแสงวิญญาณวาบหนึ่ง กลายเป็นร่างพฤกษาสีเขียวอย่างน่าอัศจรรย์ รากไม้สีขาวนวลจำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มแทงลงไปในพื้นดิน แผ่ขยายเข้าไปในส่วนลึกทั่วทุกสารทิศ

 

 

หญิงผู้นี้เปล่งคำร่ายจากปาก พลางตั้งท่าร่ายคาถาสองมือ พื้นดินทั้งหุบเขาก็สั่นสะเทือนกึกก้องอย่างฉับพลัน

 

 

ใต้ดินโคลนส่วนหนึ่งตรงบริเวณที่ดวงแสงสีเขียวจมหายเข้าไป มีต้นอ่อนสีเขียวขจีทะลวงออกมาจากพื้นดินทีละต้น แล้วเติบโตอย่างรวดเร็วทันตาเห็น

 

 

แทบจะภายในเวลาชั่วอึดใจ คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงหลายสิบจั้ง

 

 

ไม่นานทั้งหุบเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวขจี แผ่ปราณวิญญาณพฤกษาหนาแน่นผิดปกติ

 

 

ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือ หมู่ไม้ที่มู่ชิงใช้คาถากระตุ้นทั้งหมดนั้น คาดไม่ถึงว่าแต่ละต้นจะมารวมกันราวกับโล่ดินโดยที่ไม่ได้รับการจำกัดพื้นที่ของดินโคลนแม้แต่น้อย แต่ละต้นโยกโงนเงนไปมา พากันเปลี่ยนตำแหน่งกันอย่างน่าอัศจรรย์

 

 

ครู่ต่อมา เขตอาคมมหึมาแปลกประหลาดก็ก่อรูปร่างขึ้นโดยมีมู่ชิงเป็นศูนย์กลาง แทบจะปูแผ่ไปทั่วทั้งหุบเขา

 

 

ป้องกันสถานที่นี้ไว้อย่างหนาแน่นสุดๆ แทบจะไร้ช่องว่างแม้แต่ลมฝนก็แทรกเข้าไปไม่ได้

 

 

หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น มู่ชิงก็อ้าปากอย่างฉับพลัน แล้วพ่นของสิ่งหนึ่งออกมา

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นลูกแก้วสีขาวนวลหนึ่งลูก ขนาดเท่าไข่ไก่ พื้นผิวเต็มไปด้วยลวดลายแปลกประหลาดสีทอง โปร่งใสเล็กน้อย

 

 

ลูกแก้วอยู่ไกลจากเบื้องหน้าของมู่ชิงประมาณจั้งกว่า กำลังหมุนโคจรอย่างช้าๆ ไม่หยุดนิ่ง!

 

 

มู่ชิงจ้องมองลูกแก้วนี้อยู่นานสองนาน จึงค่อยถอนหายใจคราหนึ่ง พลันเหยียดนิ้วเรียวเล็กออกแล้วแตะของสิ่งนี้เบาๆ ทีหนึ่ง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset