A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1423 โลหิตเที่ยงแท้เข้าร่าง

หญิงสาวเอ่ยคำสาปที่ไพเราะออกมา มือหนึ่งชี้ไปที่ขวดเล็กๆ เส้นไหมสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว โจมตีไปยังขวดใบเล็ก

 

 

ขวดใบเล็กสั่นเทา พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ตรงไปหาหานลี่

 

 

หานลี่เองก็ไม่ได้กล่าวอะไร ทันใดนั้นร่างกายพลันพลิ้วไหว นั่งสมาธิอยู่บนแท่นบูชาหยก

 

 

ในครานั้นชายชราแซ่ซวี่และหญิงงามพลันชูมือขึ้น ต่างมีของวิเศษบินออกมาชิ้นหนึ่ง

 

 

อันหนึ่งเป็นสีแดงสดดุจโลหิต อันหนึ่งเป็นสีเขียวมรกต คาดไม่ถึงว่าจะเป็นดอกบัวโลหิตขนาดเท่าฝ่ามือและใบตองสีเขียวมรกต

 

 

ดอกบัวสีโลหิตพลันหมุนติ้วๆ จนมีขนาดสองสามจั้ง แผ่กลิ่นหอมจางๆ ออกมา ส่วนใบตองที่อยู่ท่ามกลางลำแสงสีเขียวก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่าคนเช่นกัน และมีอักขระสีเขียวประหลาดๆ ปรากฏขึ้น เปล่งแสงระยิบระยับเจิดจ้าจนแสบตา

 

 

ไม่ทันได้มองเห็นว่าของสองสิ่งนี้มีประโยชน์อย่างไร ดอกบัวสีโลหิตดอกนั้นก็ร่อนลงมาจากเหนือศีรษะของเขา

 

 

หานลี่พลันตกตะลึงรู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบ คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกดอกบัวโลหิตดอกนั้นรองรับเอาไว้

 

 

ชั่วขณะนั้นระหว่างปากและจมูกพลันมีกลิ่นหอมจางๆ ของดอกบัวโชยมา ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ

 

 

หานลี่เองก็ไม่ได้ลนลาน หลับตาทั้งสองลงข้างลงท่ามกลางดอกบัว ดูเหมือนว่าหลับแต่ไม่ได้หลับ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังคงรักษาระดับความสุขุมนุ่มลึกเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ

 

 

ชายชราแซ่ซวี่คำรามเสียงต่ำๆ ออกมา กลีบดอกบัวสีโลหิตประกบเข้าที่ใจกลางอย่างคาดไม่ถึง

 

 

ชั่วพริบตาที่ดอกบัวทั้งหมดหุบลง ก็กลายเป็นดอกบัวตัวสีแดงสด

 

 

เมื่อเห็นฉากนี้หญิงสาวพลันร่ายนิ้วทั้งห้าไปทางขวดใบเล็กในเวลาเดียวกัน

 

 

หลังจากเสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้น เส้นไหมสีเขียวสองสามสายพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทยอยกันจมหายเข้าไปในขวด

 

 

ขวดเล็กๆ ระเบิดลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งออกมา ฝาขวดเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ

 

 

เสียงวิหคดังขึ้น ลำแสงหม่นแสงลง กลายเป็นวิหคสีเขียวขนาดสองสามชุ่น ปีกทั้งสองสยายออกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

 

หญิงสาวกลับเตรียมตัวเอาไว้นานแล้ว ปีกสีทองที่แผ่นหลังกระพรือออกกลางอากาศ

 

 

ชั่วขณะนั้นปีกลำแสงสีทองทั้งสองพลันเปล่งประกาย ลำแสงสีทองม้วนออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มวิหคสีเขียวเอาไว้ข้างใน

 

 

วิหคตัวนี้หมุนติ้วๆ ท่ามกลางลำแสง กลายเป็นของเหลวสีเขียวกลุ่มหนึ่ง มีลำแสงสีเงินกระพริบระยิบระยับ

 

 

สองมือของหญิงสาวพลันร่ายอาคม ชี้ไปทางของเหลวสีเขียวกลางอากาศอีกครั้ง

 

 

ลำแสงสีทองสั่นเทา จากนั้นก็ห่อหุ้มของเหลวสีเขียวเอาไว้แล้วตกลงมาบนดอกบัวตูมด้านข้าง

 

 

หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ของเหลวสีเขียวในลำแสงสีโลหิตและลำแสงสีทองพลันตัดสลับพัวพันกัน ชั่วครู่ก็จมหายเข้าไปในดอกบัวสีโลหิตอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ครานี้ชายชราแซ่ซวีที่อยู่ข้างกายพลันร่างกายพลิ้วไหว พลันปรากฎตัวที่ด้านข้างของดอกบัวสีโลหิต ยกมือหนึ่งขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานกลีบดอกบัวด้านหนึ่งเอาไว้

 

 

เสียงครืนดังขึ้น ปีกสีเงินที่แผ่นหลังของชายชราพลันสยายออก ลำแสงสีเงินที่อยู่ในมือพลันพุ่งเข้าไปในดอกบัวสีโลหิต

 

 

หญิงงามเองก็ลอยไปอยู่ที่อีกด้านของดอกบัวโลหิตเช่นกัน ตรงฝ่ามือกลับมีลำแสงสีขาวทะลักออกมา

 

 

ชั่วขณะนั้นดอกบัวสีโลหิตทั้งดอดพลันเปล่งเสียงร้องออกมา ลำแสงสีโลหิตที่ผิวเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด

 

 

และในตอนนั้นเอง กลางอากาพลันมีใบตองสีเขียวมรกตลอยอยู่ และร่อนลงมา แต่เมื่อสัมผัสกับดอกบัวโลหิตด้านล่างก็ระเบิดตัวออก ทันใดนั้นเส้นไหมสีเขียวเข้มจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากทั้งสี่ด้าน จากนั้นก็ทยอยกันจมหายเข้าไปในดอกบัวสีโลหิต เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

 

 

จากนั้นผิวของดอกบัวโลหิตพลันมีลวดลายสีเขียวเข้มเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น รูปทรงประหลาดๆ ครู่ต่อมาลำแสงสีโลหิตก็หม่นแสงลง เสียงหึ่งๆ ดังขึ้นแล้วเงียบกริบไป

 

 

ชายชราแซ่ซวีและหญิงงามทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น ทยอยกันหลับตาทั้งสองข้างลง แค่ใช้ใจใส่เข้าไปในลำแสงบริสุทธิ์ในดอกบัวโลหิต

 

 

หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างเห็นฉากนั้นกลับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยพึมพำกับตนเองว่า

 

 

“คิดไม่ผิด กลิ่นอายในร่างของคนผู้นี้เพียงพอที่จะรับโลหิตวิหคมัจฉาเที่ยงแท้ ที่สำคัญก็คือคนประหลาดจะกระตุ้นโลหิตของวิหคมัจฉาได้แค่ไหน”

 

 

เอ่ยจบหญิงสาวก็กวาดสายตาไปที่ชนชั้นสูงเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

 

 

“เรื่องนี้พวกเจ้าได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว คนผู้นี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตาของเผ่าเรา ดังนั้นทุกอย่างของคนผู้นี้จำเป็นต้องเก็บความลับ ฐานะของคนผู้นี้ตั้งแต่บัดนี้คือบุตรชายคนที่สามที่ถูกเผ่าเราส่งออกไปฝึกฝนฝึกฝนอย่างลับๆ ที่นอกมหาสมุทร พวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี”

 

 

“ท่านมหาอาวุโสโปรดวางใจ พวกเราไม่มีทางแพร่งพรายออกไปภายนอกแน่” ชาววิหคสวรรค์ระดับหลอมสูญเหล่านั้นพลันใจหายวาบ ทยอยกันเอ่ยรับประกัน

 

 

“ข้าเองก็เชื่อว่าทุกท่านจะไม่มีทางทำเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อเผ่าของเรา หลังจากนี้สองเดือนข้าจะพาบุตรชายที่พวกเจ้าเลือกไปเข้าร่วมการทดสอบหุบเหวในครั้งนี้” หญิงสาวพยักหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง

 

 

“สองเดือน! ทำไมถึงเร็วขนาดนั้น แต่เดิมยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีมิใช่หรือ?” ทันใดนั้นก็มีคนร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้งออกมา

 

 

“จากที่เผ่าแดงสด เผ่าอีกาและเผ่าอื่นๆ ร่วมมือกันเสนอให้จัดการทดสอบไวขึ้น แม้นว่าในอาวุโสของเผ่าเราจะแย้งเรื่องนี้ในกระประชุมร่วมกันของเหล่าอาวุโส แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเห็นด้วย”

 

 

“เหตุใดถึงเห็นด้วย น่าจะมีเหตุผลสินะ” อีกคนหนึ่งไม่พอใจขึ้นมา

 

 

“มีเหตุผลอยู่แล้ว พวกเขาบอกว่าช่วงนี้หุบเหวไม่ค่อยมั่นคง ทางที่ดีสุดคือเลื่อนการทดสอบขึ้นมาเร็วหน่อย จะได้ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น จนเกิดจนเรื่องที่คาดไม่ถึง” หญิงสาวเอ่ยอย่างราบเรียบ

 

 

“ปีศาจในหุบเขาและเผ่าวิญญาณเหาะเหินอย่างพวกเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน มันเคยมั่นคงตอนไหนหรือ แค่มุ่งเป้ามาที่สาขาที่อ่อนแออย่างพวกเราเท่านั้น” ชาววิหคสวรรค์ที่เอ่ยรู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก

 

 

“อย่าพูดไร้สาระอีก ในเมื่ออาวุโสส่วนใหญ่ในการประชุมเห็นด้วยกับการจัดการทดสอบให้ไวขึ้น เผ่าเราก็มีเพียงแต่ต้องยอมรับเรื่องนี้เท่านั้น นอกจากการทดสอบแล้ว ช่วงนี้ในเขตการดูแลของเผ่าเราก็มักจะมีคนของเผ่าอื่นปรากฎตัวขึ้นอยู่บ่อยๆ และทำการโจมตีพร้อมปลดทรัพย์อย่างโจ่งแจ้ง ส่วนหนึ่งของพวกเจ้าต้องนำทัพออกทันที สังหารเจ้าพวกที่ใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ[1]ให้หมดไม่ให้เหลือ สั่งสอนสาขาอื่นๆ ซะ ก่อนที่การทดสอบจะจบลงจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับเผ่าเราอีก” ครั้นเมื่อหญิงสาวเอ่ยสองสามประโยคสุดท้ายออกมา น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น

 

 

“ขอรับ!”

 

 

ชาววิหคสวรรค์เหล่านี้ทยอยกันก้มหน้าลงตอบรับ

 

 

จากนั้นหญิงสาวพลันเริ่มส่งมอบภารกิจอื่นๆ ให้ทุกคน ทุกคนจึงทยอยกันรับคำสั่งและพากันแยกย้ายไป

 

 

ชั่วพริบตาบนแท่นบูชาหยกพลันว่างเปล่า นอกจากหญิงสาวและพวกของชายชราแซ่ซวี่ทั้งสามคนที่กำลังโคจรพลังยุทธ์อยู่ รวมทั้งสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอยู่บนแท่นบูชาอีก

 

 

หญิงสาวเลื่อนสายตาไป ตกลงบนดอกบัวสีโลหิตที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง

 

 

ดอกบัวดอกนี้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมกว่าครึ่งด้วยเพราะมีสิ่งมีชีวิตระดับหลอมร่างสองคนคอยบรรจุลมปราณเข้าไปไม่หยุด ในเวลาเดียวกันอักขระสีเขียวเข้มบนผิวของดอกบัวก็เริ่มเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด ราวกับว่าฟื้นคืนชีพอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ฉับพลันนั้นหญิงสาวพลันตะปบมือไปกลางอากาศไปทางจานสีเงินที่อยู่บนฝ่ามือของสาวใช้ที่ด้านหลัง

 

 

เสียงแหวกผ่านอากาศดังขึ้น!

 

 

ไข่มุกกลมๆ สีขาวนวลเม็ดหนึ่งพุ่งออมกาจากจาน ถูกจินเย่ว์ตะปบเอาไว้ในมือ

 

 

สตรีผู้นี้ใช้นิ้วเรียวดังหยกสีเขียวมรกตคีบไข่มุกกลมๆ เอาไว้ วางไว้เบื้องหน้า เพ่งพินิจมองแวบหนึ่ง

 

 

นางเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา

 

 

“นี่คือพระสารีริกธาตุของมหาอาวุโสที่ละสังขารไปแล้วรุ่นใด” หญิงสาวเอ่ยปากถาม

 

 

“พระสารีริกธาตุของท่านมหาอาวุโสรุ่นที่เก้า ตามคำสั่งของท่านมหาอาวุโส นี่คือพระสารีริกธาตุที่เก็บไว้นานที่สุด พลังที่อยู่ด้านในน่าจะหายไปเกือบครึ่งแล้ว” สาวใช้ตอบกลับอย่างนอบน้อม

 

 

“รุ่นที่เก้า! คือมหาอาวุโสหงอวิ๋นที่ประดิษฐ์พลังตื่นจากจำศีลขึ้นมา สุดท้ายก็บ้าคลั่งจนตาย” หญิงสาวเอ่ยด้วยหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

 

 

“นี่คือพระสารีริกธาตุของท่านอาวุโสหงอวิ๋น เป็นเพราะท่านอาวุโสหงอวิ๋นตายอย่างแปลกประหลาด พระสารีริกธาตุที่เหลืออยู่นอกจากพลังของวิหคมัจฉาแล้ว ยังแฝงพลังจิตสัมผัสก่อนตายของเขาเอาไว้ด้วย หากดูดซับพวกเข้าไปในร่าง ก็อาจจะทิ้งภัยพิบัติให้ผู้ที่หลอม ดังนั้นพระสารีริกธาตุนี้จึงถูกเก็บเอาไว้ในห้องลับ ผู้ใดก็ไม่กล้าหลอมมันง่ายๆ หากท่านมหาอาวุโสคิดว่าไม่เหมาะ ข้าจะเอาไปเปลี่ยนให้ทันที” สาวใช้อธิบายอย่างรู้สึกไม่สบายใจ

 

 

“ไม่ต้องหรอก เม็ดนี้ก็ได้” หญิงสาวกวาดสายตาไปที่ดอกบัวสีแดงโลหิตแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

ครานี้อักขระบนผิวของดอกบัวเริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้น ดอกบัวโลหิตทั้งดอกเริ่มเว้านูน

 

 

……

 

 

สองวันต่อมา กลางอากาศเหนือแท่นบูชา

 

 

วิหคยักษ์สีเขียวตนหนึ่งกลายเป็นเงาไม่สมบูรณ์สายหนึ่งบินขึ้นลงอยู่กลางอากาศ ผิวของมันมีประจุไฟฟ้าสีทองและลำแสงสีเขียวปรากฎขึ้น ฉับพลันนั้นร่างของมันก็หยุดชะงักอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน กรงเล็บทั้งสองตะปบออกไปยังกลางอากาศที่ไกลออกไป

 

 

กรงเล็บลำแสงสีขาวสิบสายพุ่งออกมา วาดเป็นรอยสีขาวจางๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป

 

 

ปีกทั้งสองกระพือไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหมุนวนไปทางเบื้องหน้า ชั่วครู่ก็กลายเป็นมีดวายุขนาดเท่าฝ่ามือ ห่อหุ้มกลางอากาศในรัศมีร้อยจั้งเศษเอาไว้อย่างหนาแน่น

 

 

เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น วิหคสีเขียวพลันอ้าปากออก พ่นลูกบอลอัสนีสีทองเป็นกลุ่มๆ ออกมา ภายใต้การปะทะกันก็ทำให้เบื้องหน้ากลายเป็นลำแสงอัสนี

 

 

หลังาจกที่เสียงกรีดร้องแหลมสูงของวิหคดังขึ้นอีกครั้ง วิหคยักษ์สีเขียวก็สยายปีกทั้งสองข้างออก คาดไม่ถึงว่าจะหายวับไปท่ามกลางวายุที่บ้าคลั่ง

 

 

ครู่ต่อมากลางวายุที่บ้าคลั่งกลางอากาศที่สุงขึ้นยิ่งกว่าเดิม ร่างของวิหคสีเขียวปรากฎขึ้นอีกครั้ง แต่หมุนวนในลำแสงสีเขียว ร่างของวิหคขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นจากขนาดสองสามจั้งเป็นขนาดร้อยจั้งเศษ สยายปีกทั้งสองข้างออก ปกคลุมแท่นบูชาขนาดใหญ่ด้านหลังจนมืดดำ

 

 

ทั้งสามคนที่ยืนอยู่บนแท่นบูชามองร่างยักษ์ของวิหคกลางอากาศ หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

 

 

“มหาอาวุโส เจ้าให้เขากินพระสารีริกธาตุที่เสียหายของมหาอาวุโสรุ่นที่เก้าจริงๆ หรือ” ครั้นเมื่อจินเย่ว์มีสีหน้าบัดเดี๋ยวสดใสบัดเดี๋ยวเคร่งขรึม ข้างหูก็มีเสียงไม่อยากจะเชื่อของชายชราเคราแดงดังขึ้น

 

 

“อันใด ท่านอาวุโสซวี่สงสัยว่าข้าให้เผ่าประหลาดดินยาลูกกลอนชนิดอื่นหรือ” หญิงสาวมีีสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยตอบอย่างเย็นชา

 

 

“ผู้แซ่ซวีจะบังอาจคิดเช่นนั้นได้อย่างไร แต่แค่คนผู้นี้ควบคุมเคล็ดวิชาแปลงกายได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งไปกว่านั้นยังแปลงเป็นวิหคเที่ยงแท้ เกรงว่าระดับปรมาจารย์วิญญาณก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้ คนผู้นี้มีต้นกำเนิดในเผ่ามนุษย์จริงๆ หรือ” ชายชรารู้สึกฉงนสงสัยขึ้นมา

 

 

“เจ้าช่วยเขาผสมโลหิตวิหคมัจฉาด้วยตัวเอง คนผู้นี้ไม่ใช่คนของเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเรา เจ้ายังไม่แน่ใจอีกหรือ? ทว่าความสามารถที่ยิ่งใหญ่หลังจากที่คนผู้นี้แปลงกายนั้น ก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ อาจจะเป็นเนพราะว่าคนผู้นี้เคยหลอมขนนกวิหคมัจฉาเส้นนั้น โลหิตเที่ยงแท้ของวิหคมัจฉาที่แฝงอยู่ คงจะเปลี่ยนเป็นโครงสร้างของเขาตั้งนานแล้วกระมัง” หลังจากที่หญิงสาวขบคิดเล็กน้อย ถึงได้หาเหตุผลได้

 

 

“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ก็พอจะเข้าใจได้” หญิงงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย

 

 

ชายชรายังคงมีสีหน้าเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อถือเหตุผลของหญิงสาวนัก

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ หมายถึงหนึ่งในกลศึกสามก๊ก กลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการที่ศัตรูยังอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอและย่ำแย่ ควรรีบฉกฉวยโอกาสนำทัพเข้าโจมตีเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ หรือมอบหมายให้แม่ทัพหรือทหารที่มีความเข้มแข็งนำทัพเข้าโจมตี ซึ่งเป็นการฉกฉวยเอาผลประโยชน์จากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงและยุ่งเหยิง นำความดีความชอบมาเป็นของต

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset