A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1699 อิทธิฤทธิ์ใหม่

เขารอจนแรงดูดใต้ฝ่าเท้าอ่อนแรงลงระดับหนึ่ง จากนั้นถึงได้สาวเท้าออกไปอีกครั้ง แล้วหยุดลงชั่วครู่…

เช่นนั้นบันไดสิบขั้นสุดท้ายนั้นหานลี่นั้นใช้เวลาไปครึ่งเค่อ  ในที่สุดก็มาถึง

ในชั่วพริบตาที่สองเท้าเหยียบบนยอดเขา หานลี่ก็รู้สึกเพียงว่าแรงดูดใต้ฝ่าเท้าไม่อยู่อีกต่อไป ร่างกายเปลี่ยนเป็นเบาหวิว ราวกับว่าไม่ต้องใช้ลมปราณใดๆ ก็สามารถสาวเท้ายาวๆ ต่อเนื่องกันได้

หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เกราะสีทองบนร่างสลายหายไปในพริบตา

เมื่อหันหน้ามาก็มองไปยังด้านล่างภูเขาแวบหนึ่ง

เห็นเพียงสือคุนในยามนี้อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยขั้น มองมาทางหานลี่พร้อมกับหอบหายใจ สีหน้ากลัดกลุ้ม

ส่วนหลิวสุ่ยเอ๋อร์ยังอยู่ห่างออกไปอีกสองพันขั้น จึงเห็นเพียงจุดสีดำเล็กๆ เท่านั้น

โชคดีที่ทั้งสองคนรู้ว่าแม้หานลี่จะมาถึงก่อน แต่วิหารสีม่วงกว้างใหญ่เพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใดก็ไม่รู้ว่าด้านในมีเขตอาคมร้ายกาจอันใดกันแน่ จึงไม่กลัวว่าสมบัติทั้งหมดจะถูกอีกฝ่ายหอบไป

หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา รู้ว่ากว่าทั้งสองคนจะมาถึงยอดเขาก็ต้องใช้เวลาอีกนาน แล้วจึงหันกายไปโดยไม่พูดอันใด พลางมองไปทางวิหารสีม่วงเบื้องหน้า

ห่างจากเขาไปยี่สิบสามสิบจั้ง มีประตูวิหารสูงสิบจั้งเศษตั้งตระหง่านอยู่

ประตูนี้ปิดสนิท พื้นผิวของมันมีผลึกศิลาหลากสีสันยี่สิบสามก้อนสลักอยู่ ตรงขอบมีอักขระซับซ้อน เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลังจากที่หานลี่พิจารณาประตูวิหารอย่างละเอียดสองสามรอบ แววตาก็เปล่งประกายฉายแววตกตะลึง

เขาถึงได้พบว่าผลึกศิลาขนาดเท่ากำปั้นยี่สิบสามสิบก้อน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่หายากมาก แม้กระทั่งอยู่ในระดับที่บริสุทธิ์กว่า ‘ศิลาวิญญาณระดับสุดยอด’ ในแดนวิญญาณ

หานลี่ส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ ออกมาเบาๆ เลื่อนสายตาไปตกอยู่บนประตูวิหารด้านข้างกำแพงวิหารสีม่วง

กำแพงนี้ไม่รู้ว่าสร้างมาจากวัตถุดิบใด ทว่าสูงห้าหกจั้ง แต่ตัวกลับเปล่งลำแสงสีม่วงออกมา ผิวของมันยังมีอักขระสีเงินจำนวนน้อยใหญ่สลักอยู่

หานลี่หยักมุมปากขึ้น มองปราดเดียวก็มองอักขระที่เขาคุ้นเคยเหล่านั้นออกว่าคือ ‘อักษรลูกอ๊อดสีเงิน’

“ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเซียนในแดนเซียน!” ใบหน้าของหานลี่ดูเหมือนจะราบเรียบ แต่ในใจพลันคุกรุ่น สายตาที่มองไปยังวิหารค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น

แม้ว่าเขาจะมีสมบัติอยู่หลายชนิด และยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาสู่หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรก็พบความบังเอิญไม่หยุด แต่เมื่อคิดว่าวิหารแห่งนี้อาจจะมีสมบัติของเซียน ก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบไม่เป็นตัวเอง

มิน่าล่ะไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนจึงมั่นใจว่าที่นี่จะต้องมียาลูกกลอนที่จะช่วยให้พวกเขาทะลวงระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้

จากอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของเซียน การปรุงยาลูกกลอนที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่อยู่ในระดับต่ำลงมา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายแล้ว

ทว่าถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากตั้งสมาธิแล้ว ร่างทั้งร่างก็เงียบขรึมขึ้นอีกครั้ง แล้วมองไปที่กำแพงวิหารสีม่วงแวบหนึ่ง

ฉับพลันนั้นพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยื่นนิ้วออกมาชี้ไปกลางอากาศ

ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองอ่อนสายหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็โจมตีไปเหนือกำแพงวิหาร

ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!

เมื่อประจุไฟฟ้าสีทองพุ่งออกไปถึงกำแพงวิหารสีม่วง ฉับพลันนั้นเสียงไพเราะราวกับเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น จากนั้นลำแสงสีม่วงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีทองหายวับไปราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร

หานลี่พลันขมวดคิ้ว

แม้ว่าจะใช้เนตรวิญญาณวารีกระจ่างในพริบตา เขาก็ดูความมหัศจรรย์ของลำแสงสีม่วงนั้นไม่ออกเลยสักนิด

ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หานลี่ล้มเลิกความคิดที่จะอ้อมกำแพงนี้ไป เลื่อนสายตาไปอยู่บนประตูวิหารอีกครั้ง

เทียบกับเขตอาคมลึกลับบนกำแพงวิหารด้านข้างแล้ว แน่นอนว่าไปทางประตูหลักจะมั่นคงกว่า

ทว่าแม้ว่าเขาจะมองความผิดปกติบนประตูวิหารไม่ออก แต่ก็ไม่มีทางบุกเข้าไปเปิดประตูนี้ด้วยตัวเองแน่

หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย มือหนึ่งก็ตบไปบนกำไลบนข้อมือ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งก็บินออกมา แต่ทันใดนั้นก็ร่อนลงมาบนพื้นอย่างแรง

กลับเป็นหุ่นเชิดวานรยักษ์สูงสองจั้งตัวหนึ่ง แขนขาทั้งสี่หมอบอยู่กับพื้นดิน ดูเหมือนว่าจะถูกพลังจำกัดการเหาะเหินกดลงมาไม่น้อย

หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ส่งๆ ไปทางหุ่นเชิด

ครู่ต่อมาร่างของหุ่นเชิดวานรยักษ์พลันเปล่งเสียง “กึกๆ” ออกมา แล้วปีนขึ้นมาอย่างช้าๆ หันกายมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลางเดินไปที่ประตูวิหารที่อยู่ไกลออกไป

หานลี่เองก็ยืนนิ่งรออยู่ที่เดิม แต่สองตาอดที่จะหรี่ลงเล็กน้อยไม่ได้ จ้องเขม็งดูการเคลื่อนไหวของหุ่นเชิดวานรยักษ์ด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ

ผลคือเมื่อวานรยักษ์เดินไปถึงหน้าประตูวิหาร ก็ยกมือสองข้างขึ้นผลักประตูใหญ่สองฝั่งเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

หลังจากที่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบบนร่างของหุ่นเชิด ประตูวิหารก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวถูกผลักออก

หานลี่มีสีหน้าประหลาดใจราวกับว่าทั้งตกตะลึงระคนดีใจและไม่อยากจะเชื่อ

คาดไม่ถึงว่าประตูใหญ่บานนี้จะถูกเปิดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ มันจะง่ายดายเกินไปหน่อยกระมัง

เขาขบคิดเช่นนี้แล้วฝืนระงับความสงสัยใคร่รู้ในใจไป พลางกวาดสายตามองเข้าไปด้านในประตูวิหารอย่างรีบร้อน

เห็นเพียงด้านหลังประตูวิหารเป็นจัตุรัสที่สร้างขึ้นจากอิฐสีเขียว รอบข้างล้วนมีหยกสีขาวโปร่งใสล้อมรอบอยู่

ปลายอีกด้านของจัตุรัสเป็นวิหารหลักสูงใหญ่สีทองอมม่วง

มองจากไกลๆ รอบด้านของวิหารหลังนี้ยังมีวิหารข้างขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันอีกสามหลัง ล้อมรอบวิหารหลักเป็นคำว่า ผิ่น (品)

นอกจากนี้ด้านหลังวิหารหลักยังมีหอคอยเตี้ยๆ อยู่อีกหอหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะกินพื้นที่กว้างขวางมาก

หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยก็กระตุ้นหุ่นเชิด

วานรยักษ์ขยับกาย สาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในประตูวิหาร

หานลี่ยกเท้าขึ้น แล้วค่อยๆ เดินตามไปอย่างช้าๆ

หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาก็อยู่อีกด้านของประตูวิหาร ในที่สุดก็เข้าข้างในและไปถึงมุมหนึ่งของจัตุรัส

จัตุรัสนี้ไม่นับว่าเล็กมีขนาดถึงห้าหกร้อยจั้ง

หุ่นเชิดวานรยักษ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเดินตรงไปยังใจกลางของจัตุรัส หมายจะทะลุผ่านจัตุรัสตรงไปยังวิหารหลัก

หานลี่เดินตามหลังไป แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังรักษาระยะห่างจากหุ่นเชิดอยู่ยี่สิบจั้งเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงขึ้น

แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม พบอันใดที่ผิดปกติ

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจัตุรัสนี้มีความกว้างไม่ถึงสองสามร้อยจั้ง หุ่นเชิดวานรยักษ์และเขาเดินมานานแล้ว ก็ยังไม่ถึงใจกลางของจัตุรัสสักที

“เขตอาคมลวงตา!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงฉับพลันนั้นก็ให้หุ่นเชิดที่อยู่ด้านหน้าหยุดฝีเท้า จากนั้นก็หันหน้าไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง

เห็นเพียงเขาที่น่าจะเดินออกไปไกลสามสี่ร้อยจั้งแล้ว ด้านหลังห่างออกไปสิบกว่าจั้งยังเป็นหยกสีขาวโปร่งใสล้อมรอบอยู่ ราวกับว่าเขาไม่ได้ออกห่างจากมุมของจัตุรัสเลยตั้งแต่แรก

หานลี่รู้สึกตกตะลึง ทันใดนั้นแววตาพลันฉายแสงสีฟ้าวาววาบอย่างไม่ลังเลอีก เริ่มกวาดมองทั่วทั้งจัตุรัส

แต่ทุกแห่งที่เนตรวิญญาณกวาดผ่านไปกลับว่างเปล่า คาดไม่ถึงว่าจะมองไม่เห็นเลยสักนิด

หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสีรู้สึกตกตะลึง

จากอิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณคาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจมองทะลุผ่านเขตอาคมลวงตาเล็กๆ นี้ได้ นี่แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับเขา

ทว่าเมื่อคิดว่าผู้ที่วางเขตอาคมนี้อาจจะเป็นเซียนจากแดนเซียน ดูเหมือนว่าเขตอาคมลวงตาจะลึกลับเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกตะลึงอันใด

แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นหานลี่กลับไม่ได้คิดจะล้มเลิกความตั้งใจ

หลังจากที่เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง พลังปราณทั่วเรือนร่างก็พองขึ้น จากนั้นก็ไล่ไปตามชีพจรตรงไปยันหว่างคิ้ว

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นหว่างคิ้วของเขาพลันมีไอสีดำรวมตัวกันขึ้น จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบเนตรสีดำแวววาวปรากฏขึ้นท่ามกลางไอสีดำ

นั่นก็คือเนตรทำลายล้างที่หานลี่บ่มเพาะมาสองสามร้อยปี

เนตรวิญญาณนี้ถูกบ่มเพาะอยู่ในร่างของหานลี่มาตั้งแต่แดนมนุษย์ ยามนี้ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ก็มีอิทธิฤทธิ์ลึกลับเป็นธรรมดา

แม้ว่าเนตรนี้จะมีอิทธิฤทธิ์ด้านห้วงเวลาเป็นหลัก แต่ก็มีอิทธิฤทธิ์ด้านกำจัดเคล็ดวิชาลวงตาและเคล็ดวิชาหลงใหลเคลิบเคลิ้ม แต่แค่ประสิทธิภาพไม่บริสุทธิ์เท่าเนตรวิญญาณเท่านั้น

ยามที่หานลี่มาถึงแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีแล้วทำการกักตนฝึกบำเพ็ญเพียรครั้งแรกนั้น ก็บังเอิญผสมเนตรทำลายล้างและเนตรวิญญาณวารีกระจ่างเข้าด้วยกันครั้งหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าเมื่อผสมรวมกันแล้วจะได้อิทธิฤทธิ์ใหม่ อานุภาพเหนือกว่าเนตรวิญญาณสองชนิด

แต่แค่อิทธิฤทธิ์นี้ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุกครั้งที่สำแดงออกมาก็จะสูญเสียพลังปราณไปไม่ธรรมดา

ดังนั้นตั้งแต่ที่หานลี่รู้จักกับอิทธิฤทธิ์นี้ก็เพิ่งเอามาลองใช้จริงเป็นครั้งแรก

แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ทดลองใช้อิทธิฤทธิ์นี้เป็นครั้งแรก เขาก็มั่นใจว่าจะมองทะลุผ่านเขตอาคมลวงตาตรงหน้าได้

ทันใดนั้นก็เห็นเขาบริกรรมคาถา ลำแสงสีฟ้าในตาค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ส่วนลูกตาเนตรทำลายล้างสีดำก็เคลื่อนไหว ลำแสงสีดำหมุนโคจรไปมา ราวกับว่ามีผลึกสีดำสนิทฝังอยู่บนหน้าผากของเขา เผยท่าทีลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา

ฉับพลันนั้นลำแสงสีฟ้าสองสายและเสาลำแสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเนตรวิญญาณที่สามในเวลาเดียวกัน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป รวมตัวกันอยู่ด้านหน้าหานลี่ จากนั้นลำแสงวิญญาณพลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นดวงแสงสีดำฟ้า

ด้านนอกเป็นสีฟ้าด้านในเป็นสีดำ เปล่งแสงแวววาว ขนาดเท่ากำปั้น ราวกับลูกตายักษ์ลูกหนึ่ง

“ทำลาย”

หานลี่กับสะบัดแขนเสื้อไปทางดวงแสงอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

หมอกลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกระโจนไปหาดวงแสง ทันใดนั้นก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ผิวของดวงแสงเปล่งแสงสว่างวาบ อักขระสีดำและฟ้าสองสีขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังหมุนวนอย่างรวดเร็ว

ชั่วพริบตานั้นดวงแสงพลันเปล่งแสงเจิดจ้า เส้นไหมลำแสงสีดำและฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากด้านบนแล้วพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน

เส้นไหมลำแสงเหล่านี้ดูบางเบาดุจรวงข้าว แต่เมื่อพุ่งออกมากลับรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบ แทบจะกะพริบวาบ ก็พุ่งไปจุดต่างๆ  ของจัตุรัส คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีดำและฟ้าห่อหุ้มทั้งจัตุรัสเอาไว้

ครู่ต่อมาเสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากจุดต่างๆ ของจัตุรัสอย่างต่อเนื่อง ตาข่ายเส้นไหมร่อนลงมา ลำแสงหลากสีสันทยอยกันระเบิดออก

ฉับพลันนั้นระลอกคลื่นประหลาดๆ ก็พวยพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ตาข่ายเส้นไหมบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปอยู่กลางอากาศ จากนั้นทัศนียภาพตรงใจกลางของจัตุรัสก็เลือนราง ประตูลำแสงบานใหญ่สีขาวโพลนพลันปรากฏขึ้น

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

A Record of a Mortal s Journey to Immortality

Type: Author: ,
เจ้าบื้อที่สอง หานลี่ เด็กหนุ่มธรรมดาสามัญผู้ได้รับวาสนาให้ไปเข้าทดสอบเป็นศิษย์ในสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้รู้จักกับโลกใบใหม่ที่หนุ่มน้อยชนบทอย่างเขาใฝ่ฝันอยากสัมผัสกับมันมาโดยตลอด ในโลกแห่งเซียน เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรต่างฝึกฝนค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ ทว่าเส้นทางที่แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่กำเนิดยังต้องผ่านความยากลำบากเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดนั้น แล้วเด็กหนุ่มปุถุชนเช่นเขาจะทำได้หรือ? ด้วยความสามารถอันธรรมดาสามัญของเขาจะเอาตัวรอดในโลกแห่งเซียนนี้ไปได้อย่างไร? เส้นทางแห่งความสำเร็จช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน… คัมภีร์วิถีเซียนเป็นนิยายจีนย้อนยุคเล่าเรื่องการเดินทางอันน่าติดตามของหานลี่ ผู้ต้องใช้ทั้งไหวพริบและพลังยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว มาร่วมเดินทางไปกับหานลี่ ผู้เย้ยฟ้าท้านรกเพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการเป็นเซียนด้วยกันเถอะ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset