Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย – ตอนที่ 519

หยางหลินที่เข้ามาในที่พักของกองทัพเขี้ยวมหมาป่ากระตุ้นความสนใจของทั้ง 300 ได้ในทันที พวกเขาใช้วิธีการสบตากันสื่อสาร คนที่อยู่ใกล้ประตูทางเข้ามากที่สุดหันกลับมาส่งสายตา จากนั้นทุกคนที่เหลือก็ขยับตัวชิดสองฝั่งเปิดทางไปถึงโต๊ะยาวที่จัดขึ้นมาเพื่อให้หยางหลินได้มองเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างในและก็ทำให้คนที่อยู่ข้างในได้เห็นหยางหลินและพวกของเขาเช่นกัน

 

การกระทำต่อเนื่องเป็นลำดับขั้นตอนที่เป็นไปอย่างธรรมชาติและไหลลื่น อีกทั้งไม่มีการส่งเสียงใดๆเลยสักคำตลอกกระบวนการ ทำให้การเข้าใจกันโดยปริยายนี่ไม่ต่างอะไรกับผีสิงในสายตาของคนนอก

 

ทั้ง 300 คนที่กระจายตัวและยืนนิ่งเงียบหลังตรง สายตาจับจ้องไปที่ประตู ภาพที่เกิดขึ้นนี่ยิ่งทำให้หัวใจของหยางหลินและคนของเขาเต้นตุ๊มๆต่อมๆจนแทบจะหลุดจากอก

 

นี่มันสถานการณ์บ้าบอะไร?! ในเวลานี้ เหล่าคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะยาวอยู่มีกูเหลียงเฉิน ชูเซี่ยจากแผนกเจ้าหน้าที่ ติงเซวจากแผนกโลจิสติกส์ หลิวยู่ติงจากแผนกกฏระเบียบทหาร แม้แต่พลโทเฉินช่าวเย่ยังได้แค่เพียงยืนตัวตรงอยู่ในแถวแรกด้วยกันกับเหล่าทหารคนอื่นๆ

 

ทั้ง 4 คนที่นั่งอยู่ต่างหันหน้ามามองหยางหลินพร้อมกัน ทว่าสายตาของทั้งสี่คนกลับค่อนข้างแปลก พวกเขานิ่วหน้าหากไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา สายตาดูเบี่ยงเบน แม้พวกเขาจะมองมาที่หยางหลินทว่ามันเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขากำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ในหัว

 

หยางหลินและกลุ่มคนข้างหลังต่างทำตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ก่อนหน้าที่พวกเขาจะเคาะประตู พวกเขาได้ปรับสภาพจิตใจและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไว้แล้ว แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นน่าตกใจและโจมตีใส่พวกเขาอย่างจังจนตั้งตัวไม่ถูก

 

ทั้ง 300 คนจงใจมองแบบนี้เพื่อทำให้พวกเขาไขว้เขวใช่มั้ย?!

 

ในเวลานี้หยางหลินคิดได้แต่เพียงสาเหตุเดียว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หยางหลินก็สูดลมหายใจเข้าลึกและเอ่ยขึ้น “ฉันคือพลตรีหยางหลินของค่ายแห่งนี้ มื้อค่ำกำลังจะเริ่มแล้ว แล้วฉันจะประกาศเรียกอีกที”

 

ท่านพลตรีและผู้นำของค่ายเจียนอี๋มาถึงที่พักของกองทัพเขี้ยวหมาป่าเพื่อแจ้งเตือนเรื่องมื้อค่ำด้วยตัวเอง มันเป็นการให้เกียรติกันเกินไปรึเปล่า? นี่มันมากเกินไป!

 

นี่คือการใช้กลยุทธ์ทางด้านจิตวิทยาของหยางหลิน

 

ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะยาวในที่สุดก็ได้สติจากคำพูดของหยางหลิน ทั้งสี่คนนิ่วหน้าพร้อมกัน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่

 

หลิวยู่ติง ในฐานะที่เป็นพลตรีมองไปรอบๆวงโต๊ะและหลังจากได้รับการอนุญาตจากทั้งสามคนในโต๊ะ เขาก็เป็นตัวแทนของทั้ง 300 พูดขึ้น “แล้วท่านพลเอกชูฮันบอกว่าอะไร?”

 

สีหน้าของหยางหลินเริ่มควบคุมไม่อยู่ขึ้นเรื่อยๆ เขาพลตรีและมียศเท่ากันกับหลิวยู่ติง แต่เห็นได้ชัดว่าหลิวยู่ติงกลับทำตัวเทียบเท่ากับผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเองซึ่งมันทำให้หยางหลินทนไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือทั้งสี่คนนั้นไม่แม้แต่จะลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งอยู่เมื่อเห็นเขาด้วยซ้ำ พวกมันไม่ให้เกียรติเขาเลยสักนิด!

 

“ท่านยังไม่พร้อม” หยางหลินกัดฟันตอบอย่างอดกลั้นเต็มที่ และเหล่าพรรคพวกของหยางหลินทั้งหลายที่อยู่ด้านหลังก็รีบดึงตัวหยางหลินเอาไว้ เป็นการเตือนไม่ให้หยางหลินลืมตัว

 

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 300 คนในห้องพักดูเหมือนจะไม่สนใจอารมณ์ของหยางหลินเลยสักนิด ทุกคนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอารมณ์เกรี้ยวกราดและไม่พอใจของหยางหลิน นอกจากทั้ง 300 คนจะไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแล้ว แม้แต่สีหน้าการแสดงออกของทุกคนก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิดอีก

 

หลิวยู่ติงที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะยาวเอามือแตะคางและเอ่ยถามต่อ “แล้วอีกนานมั้ยกว่ามื้อเย็นจะเริ่ม?”

 

ในตอนนั้น หยางหลินพยายามระงับอารมณ์โกรธในอกอยู่และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่สนใจอะไรเลย กลับกันอีกฝ่ายกลับตั้งคำถามต่ออีก หยางหลินจึงรู้สึกว่านี่มันไม่ถูกต้องแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะตอบคำถามไป “ประมาณครึ่งชั่วโมง พวกคุณจะต้องเตรียมพร้อมและห้ามสายกว่าท่านพลเอกชูฮันและเจ้าบ้าน”

 

ประโยคซึ่งแฝงไปด้วยคำเตือน…

 

ทั้ง 300 คนยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ในสายตาของพวกหยางหลินแล้วคนพวกนี้ดูเหมือนสูญเสียความรู้สึกและความคิดไปแล้ว ซึ่งยิ่งทำให้หยางหลินและพรรคพวกแทบทนไม่ไหวอีกครั้ง คนพวกนี้มีปัญหากับสมองหรือไง?

 

หลังจากรอให้คนพวกนี้คิดอยู่นาน หลิวยู่ติงซึ่งเป็นตัวแทนของทุกคนจึงตอบคำถาม หากครั้งนี้น้ำเสียงและทัศนคตินั้นค่อนข้างแข็งกระด้าง “พวกเรารู้ ไม่จำเป็นต้องบอก”

 

กล้า?!

 

หยางหลินเบิกตาถลนใส่หลิวยู่ติงที่พูดประโยคนี้ออกมาด้วยไม่อยากจะเชื่อหู สีหน้าของหยางหลินดูตลกอย่างมาก นี่มันบอกให้พวกเขาอย่ายุ่ง? ใครให้อำนาจมันกล้าทำตัวสูงส่งขนาดนี้!

 

หลังจากที่ทุกคนยังไม่ได้สติจากอาการตกใจและยังไม่ทันที่อารมณ์จะพุ่งไปถึงจุดสูงสุด——

 

“ปัง!” ทหารของกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุดปิดประตูกระแทกดังลั่นโดยไม่ไว้หน้าพวกหยางหลินเลย

 

เมื่อมองไปที่ประตูที่ปิดลง หยางหยินและพรรคพวกก็เกิดความสับสน ไอ้พวกนี้มันอยากขุดหลุมฝังตัวเองหรือไง?

 

“มีแต่พวกหน้าโง่! ไอ้พวกนอกคอก!” หยางหลินกระซิบอย่างดูถูก จากนั้นก็จากไปพร้อมกับคนของเขา พวกเขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่อีกนาทีเดียว

 

ในตอนนั้นทั้ง 300 คนในที่พักยังคงอยู่ในภาวะนิ่งสงบอย่างใช้ความคิดหลังจากประตูปิดลง มันเหมือนกับว่าการมาของกลุ่มหยางหลินนั้นเป็นแค่ตอนที่ไม่จำเป็นและไม่ส่งผลอะไรกับพวกเขา

 

หลิวยู่ติงและคนอื่นๆไม่เอาการปรากฏตัวของหยางหลินก่อนหน้านี้มาคิด ด้วยซ้ำ ทั้งสี่คนกลับไปนิ่วหน้าใช้ความคิดที่โต๊ะยาวต่อ

 

หลังจากความเงียบระยะอันยาวนาน ในที่สุดติงเซวก็ทำลายความเงียบและมองหน้ากูเหลียงเฉินด้วยสีหน้าหมดหนทาง “ฉันไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าท่านพลเอกต้องการอะไรจากบททดสอบที่แสนจะลึกลับครั้งนี้ คุณคุ้นเคยกับกลยุทธ์ของท่านพลเอกชูฮันมากที่สุดแล้ว คุณคิดยังไงเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้?”

 

กูเหลียงเฉินที่แทบไม่เคยแสดงอารมณ์ให้เห็น นิ่วหน้าเล็กน้อย เขาส่ายหัวอย่างจนปัญญา “ฉันไม่สามารถอนุมานได้ มันไม่มีเบาะแสเลยครั้งนี้”

 

หลิวยู่ติงกุมหัวด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะอย่างใจร้อน “มันเป็นไปได้มั้ยว่าเราคิดมากกันเกินไป? หรือเป็นไปได้ว่านี่จะคือการมาผ่อนคลายจริงๆ?”

 

“ไม่มีทาง?” เสียงของคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้นอย่างฉับพลัน

 

ซูเฟิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนก็พูดขึ้นเป็นครั้งแรก “มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะเป็นการผ่อนคลายอย่างแท้จริง พวกคุณลืมบทเรียนทั้งหลายจากครั้งก่อนไปแล้วเหรอไง? พวกเราเสียพลังงานกันไปมากแค่ไหนหลังจากทำภารกิจปลอมๆไปตั้งเท่าไหร่  ภารกิจลับก็คือภารกิจลับ มันจะหาเจอได้ง่ายๆได้ยังไง?”

 

หลายคนเริ่มพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย ภารกิจครั้งนั้นทำให้ความทรงจำของพวกเขาตื่นขึ้นมาทันที การฝึกโดยภารกิจลับเป็นการทำตามอำเภอใจของชูฮัน สาเหตุก็เพราะว่าทุกคนรู้แต่วิธีทำตามคำสั่งโดยไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นชูฮันจึงมีภารกิจลับขึ้นมาเพื่อฝึกฝนทักษะการวิเคราะห์

 

จากจุดเริ่มต้นที่ทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆไปจนถึงการเข้าใจผิดหลายสิบจุด คนที่เคยประสบกับสถานการณ์นี้มาแล้วหลายครั้งทำให้ตอนนี้ทักษะในการคิดวิเคราะห์จึงพุ่งทะลุฟ้า โดยเฉพาะเมื่อทีมเข้าสู่โหมดการร่วมมือกัน ระดมสมองใช้ความคิดด้วยกัน เมื่อร่วมมือกันแล้วมันแทบจะไม่มีปัญหาไหนที่ยากเกินกว่าพวกเขาจะแก้ไขได้เลย

 

กองทัพเขี้ยวหมาป่านั้นมีความอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อคำสั่งของพลเอกชูฮันและพวกเขาถึงกับสำรวจกฏระเบียบทุกครั้งที่ไปสถานที่ใหม่ๆว่ามันจะมีความเป็นไปได้ที่ชูฮันจะปล่อยภารกิจลับหรือไม่ ซึ่งปรากฏการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอีกเลยตั้งแต่การฝึกเอาชีวิตรอดที่เมืองหลิงเฉิง

Apocalypse Meltdown

Apocalypse Meltdown

มันเป็นโลกที่ซอมบี้และมนุษย์อาศัยอยู่ด้วยความสิ้นหวัง สนามแม่เหล็กของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงและทุกอย่างได้ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น วันหนึ่ง วีรบุรุษของพวกเรา…ชูฮัน ได้เดินทางย้อนเวลากลับมาสิบปีก่อนโดยไม่รู้ตัว เขาได้ย้อนกลับมาก่อนจุดจบของโลกจะเริ่มต้นขึ้น (โลกาวินาศ) เขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงดังในหอพักในมหาวิทยาลัยหมิงชิว ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ชูฮันต่อสู้กับเหล่าซอมบี้นับสิบๆตัวก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถเพื่อขโมยรถยนต์เมอร์ซิเดซ-เบนซ์G55ออกมา เขาตัดสินใจที่จะตามหาพ่อแม่และพี่น้องของเขาด้วยG55คันนี้ ซึ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาเสียใจที่ไม่ได้ทำในชาติที่แล้ว ระหว่างทางชูฮันได้พบปะกับคนกลุ่มหนึ่งที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนที่ติดอันดับ 20 ของโลกาวินาศรวมอยู่ด้วย…เฉินช่าวเย่ พวกเขาพบกับซอมบี้จำนวนมากระหว่างทางบนทางหลวง ซึ่งชูฮันได้ใช้รถ G55 พุ่งชนเหล่าซอมบี้จนเละ และในตอนนั้นเอง ชูฮันถึงตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้คือระบบล่มสลาย และเขาสามารถได้คะแนนจากการฆ่าซอมบี้ทั้งหลาย ซึ่งเขาสามารถเอาคะแนนพวกนี้ไปแลกเปลี่ยนเป็นความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ และในตอนนั้นเอง การเดินทางของชูฮันก็ได้เริ่มต้นขึ้นไปพร้อมๆกับระบบล่มสลาย นี่เป็นเรื่องราวของระบบล่มสลาย โดยมีเขา…ชูฮัน เป็นคนดำเนินเรื่องราว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset