Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1058 ฝนวิญญาณเทพโปรยปราย

ชิงเหวินเจวี้ยนคับแค้นอับอายจนอยากตาย หน้าเขียวไปหมด
เขาคือบุตรเทพคนปัจจุบันของเผ่าหงส์เขียว ฐานะสูงส่ง ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ ถูกเลี้ยงดูให้เป็นผู้นำในอนาคต ไหนเลยจะเคยประสบความอัปยศเช่นนี้มาก่อน
ภายใต้สายตาที่จับจ้อง ต่อหน้าผู้กล้ารุ่นเดียวกันนับไม่ถ้วน กลับถูกคนใช้เท้าเหยียบติดพื้น ถอนขนปีกบนร่างจนโล่งโจ้งทั้งตัว นี่ทำให้เขาเลือกจะฆ่าตัวตาย
ใช่ ฆ่าตัวตาย!
ถึงอย่างไรบนภูเขาเทพไร้มรณะก็ไม่มีทางตายจริง หากต้องถูกคนหยามเหยียดและทรมาน สู้ใช้ ‘ความตาย’ ลงจากลานประลองก่อนยังดีกว่า
สำหรับการชิงโชควาสนา การจัดอันดับอะไรนั่น ชิงเหวินเจวี้ยนไม่มีอารมณ์ใส่ใจแล้ว
ความอัปยศตอนนี้หากดำเนินต่อไป แม้ภายหลังรอดชีวิตก็ต้องกลายเป็นรอยด่างในชีวิต เป็นที่เย้ยหยันของคนอื่น ไม่อาจเงยหน้าขึ้นอีก
ทว่าชิงเหวินเจวี้ยนเพิ่งเตรียมดำเนินการ ก็พลันพบว่าทั่วทั้งตัวถูกพลังเร้นลับพันธนาการ อย่าว่าแต่ฆ่าตัวตาย แม้แต่นิ้วมือหนึ่งยังยกไม่ขึ้น
นี่คือพลังของผนึกป้าเซี่ย!
ก่อนหน้านี้เซียวชิงเหอแพ้ทั้งที่ถูกหยามเหยียดทรมานทั้งเป็น คราวนี้มีหรือหลินสวินจะให้ชิงเหวินเจวี้ยนหนีเอาตัวรอดไปก่อน
ต่อให้จะฆ่าตัวตาย ก็ไม่ได้!
“เทพมารหลิน เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับข้าจริงหรือ เจ้าน่าจะรู้ดี บนภูเขาเทพไร้มรณะไม่มีความตาย หากเจ้าทำเกินงาม วันหน้าไม่ห่วงว่าข้าจะเอาคืนสิบเท่ารึ”
ใบหน้างามดึงดูดของชิงเหวินเจวี้ยนบิดเบี้ยวและเหี้ยมเกรียม ส่งเสียงข่มขู่
ปึง!
ท้ายทอยเขาพลันถูกฟาดเข้าทีหนึ่ง ถูกซัดจนเบื้องหน้าสับสนมึนงง หัวสมองปวดจนวิงเวียน
จากนั้นก็ได้ยินเสียงราบเรียบของหลินสวิน…
“ข้ายังไม่เคยกินปีกหงส์เขียวย่างมาก่อน วันนี้ต้องลองชิมให้ได้”
ชิงเหวินเจวี้ยนแข็งทื่อไปทั้งตัว โกรธจนแทบกระอักเลือด แม้เขาวิปริตก็แค่ทรมานคู่ต่อสู้ แต่เทพมารหลินนี่…
ถึงกับเห็นเขาเป็นอาหาร!
หลินสวินไม่ลังเลแม้แต่น้อย บอกจะทำก็ทำ ถือดาบหักตัดปีกหงส์เขียวที่ใหญ่โตสิบกว่าจั้งทั้งสองข้าง
ปีกคู่นี้เหี้ยนเตียน ขาวกระจ่างดุจหิมะ เนื้อแน่นเต็มสัมผัส
หลินสวินใช้พลังมหามรรคธาตุน้ำควบรวมเป็นกระแสวารีล้างคราบเลือดบนปีกรอบหนึ่งก่อน จากนั้นจึงหยิบทวนสำริดเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของแล้วเสียบลงบนปีก
ในกระบวนการนี้ชิงเหวินเจวี้ยนเจ็บจนแทบเป็นลมตาย แต่เทียบกันแล้วความอัปยศและความคั่งแค้นในใจเขากลับมากยิ่งกว่า!
ทุกคนนอกสนามประลองมึนงง นี่เทพมารหลินกำลังทำอะไร คงไม่คิดย่างปีกหงส์เขียวกินจริงๆ กระมัง
ในหัวพวกเขาเบลอไปหมด รู้สึกราวไม่เป็นความจริง
ตูม!
ภายใต้สายตาตื่นตะลึงที่จับจ้อง กลางฝ่ามือหลินสวินปล่อยเปลวเพลิงปกคลุมปีกหงส์เขียวที่เสียบไว้ ย่างไฟอย่างช่ำชอง ยังหมุนทวนสำริดเล็กน้อยตลอดเวลาเลี่ยงไม่ให้สุกเกินไป…
“สวรรค์! บุตรเทพเผ่าหงส์เขียวของข้าถูกเห็นเป็นอาหารไปแล้วรึ ช่างน่าอัปยศ!”
บริเวณเชิงเขา ดวงตาของคนในเผ่าหงส์เขียวส่วนหนึ่งแดงไปหมด แทบอยากจะพุ่งขึ้นไปสู้ตายกับหลินสวิน ชิงเหวินเจวี้ยนถูกสบประมาทเช่นนี้ ทำให้พวกเขาต่างโกรธจนควันออกหู
คนอื่นๆ กลับขนพองสยองเกล้า ดวงตาแทบถลน เผ่าหงส์เขียวเก่าแก่น่ากลัวเพียงใด โดยเฉพาะชิงเหวินเจวี้ยนบุตรเทพรุ่นเยาว์ของเผ่าที่ฐานะสูงส่ง กลับกลายเป็นอาหารอย่างคาดไม่ถึง
หลินสวินเคลื่อนไหวเร็วมาก ซ้ำเขายังใช้ยอดวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิงมาย่าง ผลลัพธ์นั้นเรียกได้ว่าน่าตกตะลึง
เพียงชั่วขณะปีกหงส์เขียวทั้งคู่ก็ถูกย่างจนทองอร่ามมันวาว กลิ่นหอมอบอวล ไขมันหยดลงบนเปลวไฟส่งเสียงดังซู่ๆ
ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือบนปีกยังมีหมอกมงคลเปล่งประกายจรัส กลิ่นเนื้อหอมยั่วยวนแผ่กระจายทั่วสนามประลองโชควาสนา
“คุณภาพเนื้อนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
หลินสวินสูดหายใจลึก เกินคาดอยู่บ้าง กลิ่นหอมของปีกหงส์เขียวย่างถึงขั้นวิเศษเหนือการคาดเดา
สำหรับปุถุชนทั่วไป กินหนึ่งคำล้วนสามารถยืดเวลาต่ออายุ นับเป็นสิ่งบำรุงล้ำค่าอย่างดี
แต่สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว หากสามารถกินเนื้อหงส์เขียวเลือดบริสุทธิ์ได้คำหนึ่ง ก็ไม่ต่างอะไรกับการกลืนลูกกลอนวิญญาณอัศจรรย์
ในสมัยแรกเริ่มยามผู้ฝึกปราณบำเพ็ญเพียร มักจะนำเลือดเนื้อของปักษาเทพ สัตว์ปีศาจหลากชนิดมาหล่อหลอมพลังกายและรากฐาน!
กลิ่นหอมขจรขจาย บนปีกหงส์เขียวยังมีประกายแสงเจิดจรัสเอ่อล้นแผ่อวล ทำให้ผู้ฝึกปราณอื่นต่างอดกลืนน้ำลายไม่ได้
‘วัตถุดิบ’ เช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งบำรุงอย่างดีระดับสมบัติจากธรรมชาติ!
เวลานี้ชิงเหวินเจวี้ยนโกรธจนกระอักเลือด คลุ้มคลั่งโดยสิ้นเชิงแล้ว จิตมรรคแทบจะพังทลาย เขาหวีดร้องคำรามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่หลินสวินกลับไม่ใส่ใจสักนิด ก้มหน้าก้มตาย่างเนื้อต่อ
ปีกหงส์เขียวเพิ่งย่างเสร็จ เขาก็ลงมือรวดเร็วสับกรงเล็บหงส์เขียวคู่หนึ่งออกอย่างชำนาญ ล้างจนสะอาดแล้วเริ่มย่างต่อ
“เทพมารหลิน เจ้าต้องไม่ตายดี!”
ณ เชิงเขา ผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์เขียวล้วนโกรธจนตะโกนลั่นแทบเป็นบ้า
ผู้ชมการประลองคนอื่นที่มาจากต่างขุมอำนาจล้วนหมดคำพูดทันที การประลองแห่งยุคฉากหนึ่ง ถึงตอนท้ายกลับกลายเป็นงานเลี้ยงปิ้งย่าง
ทั้งยังเกิดขึ้นบนสนามประลองโชควาสนานั่น ไม่ว่าใครเห็นต่างต้องตกตะลึงตาค้าง
‘ช่างเป็นเทพมารที่ไม่เลือกวิธีการ!’
ผู้ฝึกปราณที่เห็นหลินสวินเป็นศัตรูพลันหวาดผวา ขนพองสยองเกล้า นำผู้กล้าที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎคนหนึ่งมาเป็นอาหาร ไม่กลัวทำตัวเองตายหรืออย่างไร
ส่วนเหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์นั้นสีหน้าล้วนต่างกันไป ถูกภาพนี้ทำให้ตระหนก
ชิงเหวินเจวี้ยนน่าอนาถเกินไป เดิมคิดว่าเทพมารหลินเจอเขาแล้วจะโชคร้าย ใครจะคิดว่าการที่เขาเจอเทพมารหลินต่างหากที่เป็นความซวยขนานแท้
หากสิ่งนี้แพร่ออกไปยังโลกภายนอก แม้ชิงเหวินเจวี้ยนยังรอดชีวิต ภายหน้ามีหรือจะสามารถเงยหน้าขึ้นได้อีก ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องนึกถึงว่าเขาเคยกลายเป็นอาหารของเทพมารหลิน สภาพเช่นนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าน่าอัปยศมากแค่ไหน
พรูด!
ชิงเหวินเจวี้ยนโทสะจู่โจมจิตใจ หลังเจอความอัปยศและทรมานเช่นนี้ก็อดไม่อยู่กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ตาเหลือกลนหมดสติไป
ผู้กล้าขอบเขตมกุฎที่สง่างามน่าเกรงขาม สภาวะจิตแข็งแกร่งเพียงใด แต่กลับโกรธจนเป็นลมล้มทั้งยืน หากไม่เห็นกับตาคงไม่มีคนกล้าเชื่อ
ซ่า…
หลังชิงเหวินเจวี้ยนหมดสติ พลังกฎระเบียบพลันปรากฏ นำเขาออกจากสนามประลองโชควาสนา
แม้แต่ปีกหงส์เขียวและกรงเล็บหงส์เขียวที่เพิ่งถูกหลินสวินย่างสุกนั้นก็ล้วนถูกนำไปด้วย ทำให้หลินสวินที่เดิมคิดกินมื้อใหญ่ตะลึงงัน รู้สึกเสียดายถอนใจกล่าว “ทำไมต้องแย่งอาหารข้า ข้ายังไม่ได้ชิมสักคำเลย…”
ทุกคนนอกสนามต่างหมดคำพูด หรือเทพมารหลินนี่ยังเป็นนักกินด้วยหรือ
ความจริงแล้วหลินสวินไม่มีความคิดจะกินชิงเหวินเจวี้ยน เขาแค่แก้แค้นแทนเซียวชิงเหอผ่านวิธีการนี้เท่านั้น
ฟุ่บ!
หลินสวินหวนคืนสู่แท่นมรรคบนยอดเขา ศิลามังกรขดของเขาขณะนี้เพิ่มพลังโชควาสนามหามรรคสองสาย
สายหนึ่งมาจากศิลามังกรขดของชิงเหวินเจวี้ยน
อีกสายมาจากรางวัลของเขตหวงห้ามไร้มรณะ
สามารถมองเห็นได้ชัดเจน บนศิลามังกรขด ‘กรงเล็บมังกร’ ทั้งสี่เวลานี้ปรากฏแสงสีทองราวมายา สะท้อนเชื่อมกับส่วนหางมังกร
ขณะนี้สายตายอดมกุฎรุ่นเยาว์บนยอดเขาอื่นที่มองหลินสวินล้วนแฝงความหวาดกลัวอยู่รางๆ
ก่อนหน้านี้ชิงเหวินเจวี้ยนได้แสดงพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งให้เห็น ทำให้ยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไม่น้อยในใจต่างตึงเครียด แอบยินดีที่การประลองรอบแรกไม่เจอคนผู้นี้
มียอดมกุฎรุ่นเยาว์บางคนยิ่งแน่ใจว่าหากพวกเขาเจอชิงเหวินเจวี้ยน ถึงแม้สู้เต็มกำลังมากสุดก็บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย หมายเอาชนะนั้นยากนัก
เคราะห์ดีที่เป็นเทพมารหลินจึงกำราบชิงเหวินเจวี้ยนได้!
เพียงแต่เมื่อชิงเหวินเจวี้ยนถูกคัดออก ที่เหลืออยู่กลับเป็นเทพมารหลินที่น่ากลัวยิ่งกว่า!
‘อย่าฝืนปะทะกับหลินสวินเด็ดขาด ควรใช้จุดแข็งของข้าเอาชนะจุดอ่อนของศัตรู’
‘ยามนี้เทพมารหลินสำแดงพลังมหามรรคน้ำและไฟสองอย่างออกมาแล้ว วิชาหมัด ท่าร่าง และวิชาฝ่ามือของเขาก็มีความอัศจรรย์ต่างกันไป พลานุภาพเป็นเลิศ คิดเอาชนะเขาต้อง…’
‘ที่น่ากลัวคือเขายังไม่ใช้ดาบหักเล่มนั้น ไพ่ตายเขามีแค่นี้จริงหรือ’
เหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์ต่างคนต่างกำลังใคร่ครวญในใจ นึกถึงรายละเอียดของการประลองเมื่อครู่เงียบๆ อาศัยสิ่งนี้มาพิสูจน์และเทียบเคียง
ดังคำกล่าวที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
แม้หลินสวินจะทรงพลัง แต่พวกเขาก็ต่างมีวิธีการและไพ่ตายของตัวเองเช่นกัน ที่ต้องพิจารณาตอนนี้คือหากเจอหลินสวินควรกำราบเขาให้ได้ผลอย่างไร!
‘การต่อสู้นี้ เหตุไม่คาดฝันอยู่ที่เทพมารหลินสลายการโจมตีของเข็มร้อยสวรรค์นั่น เขาดูเหมือนได้รับบาดเจ็บ แต่ความจริงแล้วไม่ได้รับผลกระทบโดยสิ้นเชิง’
เหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์อย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน จินมู่อวิ๋น อวี่หลิงคงกลับใคร่ครวญมากกว่า
หากศักยภาพอยู่ในสถานการณ์ที่สูสี ปัจจัยที่ส่งผลต่อการแพ้ชนะจะตกอยู่ที่ด้านอื่น
ทว่ายามนึกถึงตอนที่ชิงเหวินเจวี้ยนสำแดงการโจมตีแปดยอดหงส์เขียวจนได้เปรียบ แต่กลับยังถูกหลินสวินตอบโต้กำราบ พวกเขาก็คิดไม่ออกอยู่บ้าง
ตอนนั้นพลังต่อสู้หลินสวินทะยานถึงขั้นเป็นประวัติการณ์ในชั่วพริบตา เขาเจตนาเก็บงำศักยภาพไว้ก่อน หรือใช้วิชาลับกระตุ้นศักยภาพแฝงบางอย่าง?
‘เจ้านี่ต้องมีไพ่ตายอีกแน่!’ สุดท้ายพวกเขาก็ได้ข้อสรุป นี่ทำให้แววตาพวกเขาที่มองหลินสวินลุ่มลึกยิ่งกว่าเดิม
คู่ต่อสู้แข็งแกร่งไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือมองตื้นลึกหนาบางคู่แข่งไม่ออก!
ไม่จำเป็นต้องสงสัย ในสายตายอดบุคคลแห่งยุครุ่นเยาว์เหล่านี้ ศักยภาพที่หลินสวินสำแดงก่อนหน้า ได้ทำให้พวกเขาเกิดความระวังตัวและกริ่งเกรง
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ความหวาดกลัว พวกเขาเองต่างก็มีความสามารถและไพ่ตายเป็นของตน ยามประลองกันจริงใช่ว่าจะกำราบหลินสวินไม่ได้เสมอไป!

การประลองรอบที่สิบแปดเริ่มต้น ผู้ที่ขึ้นสนามประลองคืออาหลู่
ใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งถ้วยชาคู่แข่งของเขาก็ถูกกำราบ อัดจนกระดูกทั้งตัวหักเกือบหมด ไม่อาจไม่ยอมแพ้
ฝีมือต่อสู้ดุดันดั่งเทพเถื่อน เคลื่อนกวาดศัตรูอย่างแข็งกร้าวนั่นของอาหลู่ก็น่าตระหนกจนกรามค้าง
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง เจ้าคนเถื่อนที่ไม่รู้ว่าวิ่งออกมาจากเขากันดารลูกไหนนี่ ถึงกับเป็นพวกป่าเถื่อนที่ก้าวเดินบนมรรคา ‘กายหยาบบรรลุอริยะ’
นี่คือการประลองสุดท้ายของรอบแรก
บุคคลแห่งยุคที่จัดอยู่ในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์รวมสามสิบหกคน หลังผ่านการประลองรอบแรก ผู้ชนะมีสิบแปดคน ผู้ถูกคัดออกก็มีสิบแปดคนเช่นกัน
อันดับของผู้ถูกคัดออกจะยึดตามโชควาสนามหามรรคบนศิลามังกรขดที่พวกเขาอยู่ว่าได้เท่าไหร่ รวมถึงนำความสามารถที่แสดงออกในสนามประลองโชควาสนามาประเมิน
ผู้ชนะ ต่อจากนี้ต้องเริ่มทำการประลองรอบที่สอง
ซ่า…
ทว่าก่อนการประลองรอบที่สองเริ่มต้น ท้องฟ้าเหนือศีรษะหลินสวินและเหล่ายอดมกุฎรุ่นเยาว์สิบแปดคนต่างปรากฏหยาดพิรุณหลากสีสัน งามตระการส่องประกาย อาบไล้เงาร่างพวกเขาไว้ภายใน
นี่คือ ‘ฝนวิญญาณเทพ’ ที่มีเฉพาะภูเขาเทพไร้มรณะ!
…………………..

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset