Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 993 ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว

สวบๆๆ!
เงาร่างแต่ละเงาราวกับสายฟ้าที่คดเคี้ยว ขับเคลื่อนแสงเคลื่อนไหวงดงาม ห้อทะยานบินอยู่กลางอากาศ
“หนานกงหั่วผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!”
“กู้อวิ๋นถิงผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!”
“สวรรค์ ทำไมถึงเป็นผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ทั้งหมด พวกเขาจะทำอะไร ดูเป็นสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่นัก!”
บนถนนเมืองเพลิงมรกตอันคึกคักมีผู้ฝึกปราณมากมายนับไม่ถ้วน แต่พอสังเกตเห็นแสงเคลื่อนงดงามที่พุ่งทะยานราวกับกระแสน้ำ ต่างก็ตกตะลึง
“ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่!”
ในใจผู้ฝึกปราณหลายคนหวาดหวั่น ตระหนักได้ว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติมาก
“เร็ว รีบไปแจ้งผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทโย พวกนั้นข่าวไวที่สุด ย่อมต้องสืบได้แน่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”
แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เป็นสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นกู่ชาง รากฐานเก่าแก่มั่นคง
วันนี้ผู้สืบทอดหลายคนของสำนักนี้กลับเคลื่อนไหวพร้อมกัน เกิดสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไม่อยากดึงดูดความสนใจยังยาก
วู้ม!
ขณะเดียวกันในมือหนานกงหั่วปรากฏคันฉ่องสำริดเก่าแก่บานหนึ่ง ตัวคันฉ่องกลมมน ด้านหน้าขาวเจิดจ้าราวหิมะ ด้านหลังกลับดำเหมือนหมึก
นี่คือสมบัติเก่าแก่ชิ้นหนึ่ง นามว่า ‘คันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์’ ขอเพียงจับกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้เสี้ยวเดียว เมื่อใส่เข้าไปในสมบัตินี้ก็จะจับกุมเอาไว้ได้อย่างแน่นหนา
แม้จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ อำพรางร่องรอย ก็ถูกคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี้จับได้!
“ตอนที่เด็กนี่ประเมินหินได้ทิ้งกลิ่นอายไว้ไม่น้อย ตามการคาดเดาของศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่ มีคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี้ แม้เขาจะใช้เคล็ดวิชามหาไร้รูปก็ไม่สามารถหนีการตามล่าของพวกเราได้!”
หนานกงหั่วย่ามใจอย่างมาก มุมปากเผยยิ้มเยาะ “แคว้นกู่ชางเป็นอาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ครั้งนี้หากเขาหนีไปได้ ให้ข้าหนานกงหั่วตัดหัวตัวเองยังได้!”
“สมบัตินี่ใช้อย่างไร” กู้อวิ๋นถิงที่อยู่ข้างๆ ถาม
หนานกงหั่วยิ้มพูด “ศิษย์น้องกู้ เจ้าเพียงช่วยข้าตามจับเด็กนี่ก็พอแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้ในใจกู้อวิ๋นถิงตระหนักได้ว่า ไม่เพียงแค่ฉู่เป่ยไห่ หนานกงหั่วเองก็ระแวงตน!
“เท่าที่ข้ารู้ หลินสวินไม่ใช่ธรรมดาเลย ศิษย์พี่หนานกงระวังหน่อยจะดีกว่า ตอนที่อยู่นครต้องห้ามในโลกชั้นล่าง ศิษย์พี่เองก็เคยสัมผัสความแข็งแกร่งของคนผู้นี้แล้ว” กู้อวิ๋นถิงพูดเรียบๆ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หนานกงหั่วสีหน้าอึมครึมลง คำพูดของกู้อวิ๋นถิงทำให้เขานึกถึงความอับอายที่ถูกหลินสวินเตะก้น
“ไม่มีอะไร ข้าเป็นผู้รับผิดชอบการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ข้ามีหน้าที่เตือนศิษย์พี่ให้ระวัง อย่าประมาทเพราะมีคันฉ่องกักวิญญาณสองลักษณ์นี่ หากเกิดความผิดพลาดอะไร ความรับผิดชอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านกับข้าจะรับไหว” กู้อวิ๋นถิงพูดเรียบๆ
“หึ! เจ้าวางใจ ครั้งนี้หากข้าไม่ได้จัดการเจ้าหลินสวินจนร้องขอชีวิต ข้าจะไปให้ศิษย์พี่ฉู่ลงโทษด้วยตัวเอง” หนานกงหั่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันประกาศ
วู้ม!
ในเวลานั้นเองคันฉ่องสำริดโบราณที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็พริบไหวส่งเสียงขึ้นมา ไอหยินหยางแปรเป็นสัญลักษณ์อันคลุมเครือ
“จับกลิ่นอายของเหยื่อได้แล้ว อยู่ทางนั้น ตาม!” หนานกงหั่วตื่นเต้นขึ้นมา สายตาสาดประกายเย็นเยียบพลางออกคำสั่ง
ฮูม
กลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ราวกับพิรุณแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ตามติดพวกหนานกงหั่วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของเมืองเพลิงมรกต
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้มีศิษย์สืบทอดแท้จริงสิบห้าคน ศิษย์สายในสามสิบสามคน
นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตาม ผู้ดูแลข้างกายลูกศิษย์เหล่านั้น รวมกันมีจำนวนนับร้อย เป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมไร้ที่เปรียบอย่างแน่นอน
อย่างน้อยในแคว้นกู่ชางก็สามารถวางอํานาจบาตรใหญ่ได้แล้ว!
อีกอย่างถ้าจำเป็น ด้วยฐานะของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ พวกหนานกงหั่วยังสามารถเคลื่อนกำลังขุมอำนาจผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในแต่ละเมืองให้ช่วยเหลือ นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่ากลัว
พูดได้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็คือเจ้าเหนือหัวของแคว้นกู่ชาง คำสั่งเดียวขุมอำนาจฝึกปราณที่กระจายอยู่ในแคว้นกู่ชางก็จำต้องทำตามโดยดีแล้ว!
นี่ก็คืออิทธิพลของสำนักโบราณ เป็นเหมือนจักรพรรดิแห่งแดนฝึกปราณ ปกครองฝั่งหนึ่ง ไม่มีใครกล้าไม่ทำตาม
……
พระอาทิตย์ตกราวกับเปลวเพลิง กำแพงเมืองที่เก่าแก่และสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้ว
‘ในแคว้นกู่ชางมีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณสามแห่ง แห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ อีกแห่งตั้งอยู่ที่เมืองวายุทราย และแห่งสุดท้ายตั้งอยู่ที่เมืองรุกขดิถี’
‘เมืองวายุทรายอยู่ใกล้กับเมืองเพลิงมรกตแห่งนี้ที่สุด ใช้เวลาประมาณครึ่งวันก็ถึงแล้ว…’
หลินสวินพิจารณาเส้นทางออกจากแคว้นกู่ชางในหัว พลางเดินออกประตูเมืองไป
“หืม?”
แต่ตอนนี้เองเขาชะงักฝีเท้าโดยพลัน หันไปมอง
พลันเห็นว่าตรงขอบฟ้าไกลโพ้น แสงสุริยันในยามสายัณห์ราวกับเพลิง มีแสงเคลื่อนไหวงดงามมากมายกำลังห้อทะยานเข้ามา แน่นขนัดราวกับสายฝนมืดฟ้ามัวดิน อานุภาพเปี่ยมล้น
‘หนานกงหั่วกับกู้อวิ๋นถิง!’
จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ออกไปก็เห็นรูปลักษณ์ของผู้นำสองคนนั้นทันที พลันหรี่ตาลงทันใด ตระหนักได้ว่าตนถูกเปิดโปงอย่างสมบูรณ์แล้ว
อีกทั้งต่อให้โคจรไอซวนหนีปกปิดกลิ่นอายก็ไม่มีประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายครอบครองวิชาลับหรือสมบัติที่ใช้ติดตามบางอย่าง สามารถระบุตำแหน่งตนได้อย่างแม่นยำ
มิฉะนั้นไม่มีทางตามมาภายในเวลาอันสั้นเพียงนี้
ฟุ่บ!
หลินสวินพลันพุ่งออกนอกเมืองอย่างไม่ลังเล
เสียงและรูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย กลับคืนสู่รูปร่างแท้จริงของตน
การโคจรเคล็ดวิชามหาไร้รูปแม้จะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ แต่หากต่อสู้เข่นฆ่าขึ้นมาจริงๆ วิชานี้ก็จะสูญเสียประสิทธิผล
เหตุผลง่ายมาก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ลูกหลานเผ่าจิ้งจอกสวรรค์บรรพตเขียว ไม่สามารถใช้ความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของเคล็ดวิชามหาไร้รูปได้
นอกเมืองเป็นผืนป่าเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันไม่สิ้นสุด เชื่อมต่อกับท้องฟ้า
หลินสวินเองก็ไม่ได้รีบหนี เขาอยากรู้นักว่าเพื่อเล่นงานตนแล้ว ครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เคลื่อนกำลังบุคคลแข็งแกร่งมาเท่าไหร่กัน
บนยอดเขาสูงชันอันตรายลูกหนึ่ง เขาทะยานตัวไปหยุดอยู่บนนั้น หันไปมองและรอเงียบๆ เสื้อคลุมพัดโบกไปตามสายลม บุคลิกโดดเด่น
“หลินสวิน เป็นไอ้คนซ่อนหัวโผล่หางอย่างเจ้าจริงๆ ด้วย!”
ไม่นานพวกหนานกงหั่วก็ตามมาถึง แสงเคลื่อนไหวพร่างพราว ย้อมห้วงอากาศบริเวณนั้นเป็นสีสันงดงาม อานุภาพน่ากลัวอย่างที่สุด
“หลินสวิน เป็นเจ้าจริงๆ” สายตาของกู้อวิ๋นถิงซับซ้อนไม่น้อย ไม่เจอหลายปี เด็กหนุ่มที่มาจากชนบทในจักรวรรดิคนนั้นเปลี่ยนไปมากเช่นกัน
พลังปราณแข็งแกร่งกว่าเดิม กลิ่นอายก็มั่นคงและนิ่งสงบขึ้น มีความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง
“นี่ก็คือหลินสวินที่ฆ่าอสูรเฒ่าแรดดำหรือ ดูแล้วก็เท่านั้น!” ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ต่างกำลังสังเกตหลินสวิน สีหน้าล้วนแฝงความเย่อหยิ่งและดูถูก
ตอนที่พวกเขาอยู่ระหว่างทางก็เคยได้ยินมาแล้วว่า หลินสวินนี่เป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่มาจากโลกชั้นล่าง เจ้าเล่ห์ ยโสโอหัง จัดการยากมาก
แต่ตอนนี้ดูแล้ว ก็เพียงแค่คนหนุ่มที่ร่างกายผอมแห้ง หัวเดียวกระเทียมลีบเท่านั้น ดูไม่ออกว่ามีอะไรน่ากลัว
“พวกเจ้ามากันแค่นี้หรือ” แม้ถูกกลุ่มผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ล้อมเอาไว้ หลินสวินกลับดูนิ่งสงบและผ่อนคลายมาก
แวบเดียวเขาก็ดูออกว่า ศัตรูในที่นี้แม้จะมาก แต่กลับมีไม่กี่คนที่พอจะสู้ตนได้
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้ศักยภาพและรากฐานพลังของตนอย่างแท้จริง!
“ยังอวดดีเหมือนเมื่อก่อน!”
หนานกงหั่วโกรธจัดจนยิ้มแล้ว “ที่นี่คือแคว้นกู่ชาง คืออาณาเขตของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ความตายมาเยือนแล้วเจ้ายังไม่รู้ตัว ข้าควรจะบอกว่าเจ้าอวดดีหรือบอกว่าเจ้าโง่ดีเล่า”
“หลินสวิน หยุดเถอะ ครั้งนี้เจ้ายากจะหนีพ้นแล้วจริงๆ หากเจ้ายอมก้มหัวก่อน ข้าจะพยายามขอความเห็นใจให้เจ้าเต็มที่ ถึงอย่างไรเจ้าก็มาจากสำนักศึกษามฤคมรกต รากฐานและศักยภาพล้วนเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ข้าเชื่อว่าขอเพียงแค่เจ้าสำนึกด้วยตัวเอง ศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่ที่ให้โอกาสผู้มีพรสวรรค์มาโดยตลอดย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่”
กู้อวิ๋นถิงถอนหายใจเบาๆ พูดอย่างจริงจัง หมายจะให้หลินสวินยอมจำนน
เพราะเขารู้ดีว่าในแคว้นกู่ชางแห่งนี้ อย่าว่าแต่หลินสวินเลย แม้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชัน ถ้าถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หมายตาเข้าก็ยากจะหนีพ้น!
“ผายลม! เจ้านี่ก่อความผิดมหันต์ จะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
หนานกงหั่วเดือดดาล “กู้อวิ๋นถิง ศิษย์พี่ฉู่ให้เจ้ามาสังหารศัตรู ไม่ได้ให้เจ้ามาลบล้างความผิดให้ศัตรู!”
“ที่ศิษย์พี่หนานกงพูดไม่ผิด ศิษย์พี่กู้ท่านทำเช่นนี้เห็นจะไม่ถูก” ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ เองก็ขมวดคิ้ว แสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของกู้อวิ๋นถิง
“ข้าแค่ไม่อยากให้ทุกคนเปิดศึกใหญ่โต ต้องฆ่ากันให้ได้เลยหรือ” กู้อวิ๋นถิงพูดเสียงขรึม
หลินสวินประหลาดใจไม่น้อย อดมองกู้อวิ๋นถิงอีกครั้งไม่ได้
“หุบปาก!” หนานกงหั่วสีหน้าเหี้ยมโหด “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่จึงให้เจ้าควบคุมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ก็เพื่อจะทดสอบความซื่อสัตย์ของเจ้าต่อสำนัก! ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีปัญหามาก!”
“ท่านจะใส่ร้ายป้ายสีกันหรือ” กู้อวิ๋นถิงเองก็เดือดดาลแล้ว
“หยุดพูดไร้สาระ ตอนนี้เจ้าไปยืนข้างๆ ซะ ศิษย์น้องคนอื่นๆ ฟังคำสั่ง หากเด็กนี่ไม่จำนนก็ฆ่าเสีย!” หนานกงหั่วออกคำสั่งโดยตรง
ในขณะที่พูดเขาก็จ้องหลินสวินด้วยสายตาเหี้ยมโหด พลันพูดว่า “เจ้าดูสิ ตอนนี้กู้อวิ๋นถิงช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้ายังจะพูดอะไรได้อีก”
เขาได้ใจมาก คิดเองเออเองว่าได้ควบคุมสถานการณ์ไว้แล้ว
“เจ้าคิดว่าที่ข้ารออยู่ที่นี่เพราะคิดจะยอมจำนนงั้นหรือ” หลินสวินเองก็หัวเราะ หนานกงหั่วยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงไม่มีสมองเหมือนตอนนั้น
“เจ้านี่แม่ง… โง่หรือเปล่าเนี่ย” หนานกงหั่วสีหน้าตกตะลึง
ครั้งนี้พวกเขาระดมพลเคลื่อนกำลังผู้แข็งแกร่งมากมาย ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินกลับยังคงอวดดีเหมือนที่ผ่านมา เขาไม่รู้ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไรจริงๆ หรือ
หากเป็นผู้ฝึกปราณที่ปกติสักหน่อย ในสถานการณ์เช่นนี้คงสงบเสงี่ยมลง หากไม่สิ้นหวังก็หวาดกลัว จะหน้าด้านหน้าทนเหมือนเจ้าหมอนี่ซะที่ไหน
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ เองก็พูดไม่ออก ในแคว้นกู่ชาง พวกเขาเพียงแค่เปิดเผยฐานะก็เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณมากมายตกใจจนขวัญหนีแล้ว
แต่เจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้กลับผิดปกติมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอคนที่รนหาที่ตายเช่นนี้
“ก็จริง เจ้าก็แค่คนบ้านนอกที่มาจากโลกชั้นล่าง ไม่รู้ว่าฟ้าสูงแค่ไหนแผ่นดินหนาเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องปกติ ข้าประเมินเจ้าสูงไป” หนานกงหั่วหัวเราะเยาะ ท่าทางดูเหมือนกระจ่างแจ้งแล้วอย่างไรอย่างนั้น
คำอธิบายนี้ถือว่าสมเหตุสมผล ผู้ไม่รู้ย่อมไม่มีอะไรต้องกลัว ก็หมายความถึงคนประเภทนี้มิใช่หรือ
“อย่าลืมว่าศิษย์พี่ฉู่เตือนว่าหลินสวินไม่ใช่คนธรรมดา พวกเจ้าคิดว่าเขาไม่รู้ความจริงๆ หรือ” กู้อวิ๋นถิงขมวดคิ้วเตือนอยู่ข้างๆ
เขาทนดูไม่ไหวแล้วจริงๆ ผู้แข็งแกร่งที่สามารถใช้กระบวนราชันกังขังสังหารอสูรเฒ่าแรดดำได้ จะเป็นคนไม่รู้ความได้อย่างไร
“ไอ้คนทรยศ จนขนาดนี้แล้วยังจะพูดเข้าข้างเจ้าหมอนั่น รีบหุบปากไปเสีย!” หนานกงหั่วสีหน้าอึมครึม ตะเบ็งเสียงออกมา
จากนั้นหนานกงหั่วก็โบกฝ่ามือ “ทุกคน จะให้เจ้าโง่ไม่รู้ความคนนี้ยอมจำนนไปเองนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ลงมือเถอะ!”
——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset