Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 961 เหตุไฉนเรียกแก่นมรรค

สำหรับหลินสวิน ประสบการณ์ทั้งหมดก่อนหน้าราวข้ามผ่านวสันตสารทหลายครา กาลเวลาล่วงเลยไม่รู้กี่ย่ำสายัณห์
แต่สำหรับมู่เจิ้งที่อยู่นอกแท่นบัวหยกขาว เวลาเพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ
เขาหยัดปักหลักอยู่ตรงนั้น พร้อมจู่โจมทุกเมื่อ เห็นได้ว่ามีความอดทนยิ่ง
แขนขวาซึ่งเดิมโดนตัดขาดถูกเขาใช้วิชาลับต่อกลับนานแล้ว แม้ไม่อาจฟื้นคืนดังเคยชั่วคราว แต่หาได้กระทบต่อการต่อสู้
มู่เจิ้งนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เผชิญก่อนหน้า ในใจรู้สึกมีสุขบนความทุกข์คนอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มุ่งเน้นที่วาสนาชะตาลิขิต จากที่เห็นตอนนี้น่าจะเข้าทำนองหลักกรรมตามสนอง
บุญทำกรรมแต่ง ต่างเรียกว่าฟ้าลิขิต!
สิ่งที่เจ้าไม่ควรได้ แม้ทุ่มแรงใจก็ป่วยการ!
น่าเศร้าที่เด็กนี่ก็ถือเป็นเอกบุคคลรุ่นเยาว์แห่งยุคสมัย กลับต้องประสบเคราะห์เช่นนี้ บางทีก็อาจเป็นลิขิตสวรรค์เช่นกัน
มู่เจิ้งนึกถึงตรงนี้มุมปากพลันระบายยิ้มอย่างอดไม่อยู่
หลังจากเด็กนี่ประสบเคราะห์ รากโพธิ์แห้งเหี่ยวนั่น รวมถึงสมบัติอริยะในมือเขาล้วนต้องตกเป็นของตน นี่… ช่างเป็นมหาศุภโชคซึ่งหาได้ยากโดยแท้!
“หืม?”
แต่เวลานี้เองมู่เจิ้งพลันค้นพบว่า หลินสวินที่ถูกเขามองว่าต้องตายแน่กลับลืมตาขึ้น
เจ้าหมอนี่ยังไม่ตาย?
มู่เจิ้งเบิกตาโพลง ความคับแค้นเหลือจะเอ่ยจุกอก มันจะเป็นไปได้อย่างไร
แต่เมื่อเห็นมู่เจิ้ง หลินสวินพลันมึนงง อดไม่ได้ที่จะกล่าว “นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว”
มู่เจิ้งตะลึงงัน หมายความว่าอะไร นี่กำลังเหน็บแนมว่าตนไม่เคยพุ่งเข้าแท่นบัวหยกขาวหรือ
รังแกกันเกินไปแล้ว!
มู่เจิ้งสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาอึมครึม “เจ้านอกรีต อย่ามาเหิมเกริม แม้เจ้ารอดมาได้ คราวนี้ก็ยากพ้นเคราะห์!”
หลินสวินกลับไม่สนใจเขา นั่งบนแท่นบัวหยกขาวอย่างสบายอารมณ์ มองซากไม้ท่อนหนึ่งในมือพลางจมสู่ห้วงความคิด
ในหัวราวปรากฏฉากต่างๆ ที่เห็นเมื่อครู่อีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกคลุมเครือ
‘เมื่อก้าวถึงขั้นนั้น แม้อริยะล้วนต้องประสบ ที่แท้แล้วมันคืออะไรกันแน่’ หลินสวินพึมพำในใจ
เขาไม่อาจลืมทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่
ใต้ต้นโพธิ์ อริยะสองคนทำการอนุมานเนิ่นนาน ในที่สุดก็สรรค์สร้างคัมภีร์มรรคที่จะสืบทอดแก่ชนรุ่นหลังออกมาเล่มหนึ่ง ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด
เดิมนี่น่าจะเป็นผลงานที่เกริกก้องชั่วกาล แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่าในช่วงเวลานั้นเคราะห์สังหารก็มาเยือน…
หลินสวินแน่ใจว่าอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬล้วนสิ้นชีพ เสียชีวิตบนแท่นดอกบัวแห่งนี้ ถูกเงาร่างสีทองดุจเจ้าเหนือหัวร่างหนึ่งจู่โจมสังหาร!
นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้โดยไม่ต้องสงสัย สมัยบรรพกาลเป็นเพราะอริยะทั้งสองก้าวสู่สิ่งต้องห้าม จึงประสบเคราะห์!
แต่ความเป็นจริงช่างชวนรู้สึกหดหู่
“เจ้านอกรีต! เจ้าฟังที่ข้าพูดหรือเปล่า” เสียงตวาดดังลั่นปลุกหลินสวินจากห้วงความคิด
เขาเชยตาขึ้นก็เห็นมู่เจิ้งถลึงมองตนด้วยหน้าคล้ำเขียว ประหนึ่งอรหันต์เวทบันดาลโทสะ ท่าทางอยากสังหารตนเสียเต็มประดา
“ภิกษุ แม้แต่แท่นบัวนี้เจ้ายังขึ้นมาไม่ได้ มีสิทธิ์อะไรมาเอ็ดตะโร” หลินสวินตำหนิอย่างไม่ใส่ใจ
ขณะเดียวกันในใจเขารู้สึกประหลาดอยู่บ้าง สังเกตได้อย่างฉับไวว่าพลังแจ้งมรรคของตนเปลี่ยนไป เกิดการยกระดับอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน
มหามรรคธาตุไฟเลื่อนขั้น บรรลุระดับเจตจำนงแห่งมรรค!
มรรคดับดารากลืนกินเลื่อนขั้น ก้าวสู่ระดับท่วงทำนองแห่งมรรค!
ส่วนมหามรรคธาตุน้ำซึ่งเดิมบรรลุถึงระดับเจตจำนงแห่งมรรคขั้นสมบูรณ์ ก็ก้าวสู่ระดับแก่นมรรคในคราเดียว!
เหตุไฉนเรียกแก่นมรรค
คือแก่นจริงแท้แห่งมรรคอย่างไรเล่า
แก่นนั้น เดิมคือหลักแห่งแก่นแท้
แก่นมรรค ก็คือแก่นแท้จริงอันเป็นเนื้อแท้แห่งมหามรรคดั้งเดิม
สิ่งนี้คือระดับใหญ่ที่สามของการหยั่งรู้มหามรรค เมื่อบรรลุถึงระดับนี้จะทำให้ผู้ฝึกปราณเข้าใจพลังมหามรรคลึกซึ้งกว่าเดิม สังเกตแก่นอัศจรรย์แห่งเนื้อแท้ หยั่งถึงเจตจำนงตั้งต้น
หากใช้ในการต่อสู้ พลังของแก่นมรรคเรียกได้ว่าน่าพรั่นพรึง สามารถเผยธรรมลักษณ์แห่งมรรคหลากรูปแบบ อานุภาพทรงพลังกว่าระดับเจตจำนงแห่งมรรคเกินเท่าตัว!
โดยทั่วไปในระดับกระบวนแปรจุติแทบไร้คนหยั่งรู้พลังของแก่นมรรค เพราะระดับนี้เกี่ยวเนื่องถึงเนื้อแท้ดั้งเดิมของมหามรรค มีเพียงระดับราชันที่มองทะลุความเป็นความตายปรุโปร่งจึงจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้
แต่ปัจจุบันหลินสวินซึ่งมีปราณอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง ก็บรรลุมหามรรคธาตุน้ำถึงระดับ ‘แก่นมรรค’ แล้ว หากแพร่งพรายออกไปต้องสร้างความอึกทึกครึกโครมสุดคณนา
“เจ้านอกรีต! วาสนาเจ้าก็ได้ไปแล้ว เหตุใดล่าช้าไม่กล้าลงจากแท่นบัว หรือว่ากลัวจนหัวหด” ห่างไปเสียงมู่เจิ้งดั่งระฆัง หน้าคล้ำเขียวตวาดลั่น
ถูกมองข้ามอีกแล้ว!
เจ้าหมอนั่นท่าทางเหม่อลอย ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยใส่ใจมองตน ไม่เย่อหยิ่งไปหน่อยหรือ ช่างหลงระเริงเสียจริง!
ด้วยสภาวะจิตซึ่งแข็งแกร่งดั่งหินผาของมู่เจิ้ง บัดนี้กลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างอดไม่อยู่ สัมผัสถึงความเดือดดาลอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“หนวกหู! ภิกษุ เจ้าเงียบหน่อยเป็นไหม”
หลินสวินถูกขัดความคิดอีกครั้งจึงมุ่นคิ้วอย่างอดไม่ได้อยู่บ้าง รู้สึกว่าเจ้านี่ช่างน่ารำคาญ ด่าว่าตนนอกรีตอยู่นั่น คิดหรือว่าตนจะกลัว
ขณะกล่าวหลินสวินจมสู่ภวังค์อีกครั้ง เขาพลันสังเกตเห็นว่าการแปรสภาพรอบด้านของพลังมหามรรคซึ่งตนยึดกุมครานี้ น่าจะข้องเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่!
ยามตนนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ สดับฟังอริยะทั้งสองถกมรรคสนทนา ดูเหมือนไม่ได้รับอะไร แต่อันที่จริงเหมือนกับการ ‘แจ้งมรรค’ ซึ่งหาได้ยากยิ่ง!
‘ประสบการณ์ทั้งมวลนี้ เกรงว่าคงเกี่ยวข้องกับรากโพธิ์ท่อนนี้…’ หลินสวินตระหนักได้ในใจ
ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาสามารถถอดจิตหวนอดีต เห็นเหตุการณ์แสดงมรรคจากอริยะทั้งสองก็เพราะกุมซากไม้นี่!
ซากไม้แห้งเหี่ยวในมือไหม้เกรียมราวถูกฟ้าผ่า จวนจะผุพัง ความยาวไม่ถึงฉื่อ บางราวแขนเด็ก
แต่หลินสวินกล้ายืนยันว่านี่คือสิ่งหลงเหลือจากต้นโพธิ์ซึ่งเคยตระหง่านข้างสองอริยะ เคยยืนหยัดค้ำฟ้า แผ่แสงเขียวท่วมนภาต้นนั่น!
ตูม!
เสียงปะทะชวนประหวั่นดังขึ้น แสงธรรมสะเทือนสนั่น
หลินสวินเงยหน้าก็เห็นเงาร่างมู่เจิ้งถูกกระเทือนจนซวนเซถอยร่น สีหน้าซีดเผือด อเนจอนาถพอควร
เห็นชัดว่าเมื่อครู่เขาทนไม่ไหว เข้าบุกโจมตี หมายขึ้นแท่นดอกบัวมาสังหารหลินสวิน แต่กลับถูกขวางและกระเด็นถอยไป
“วาสนาฟ้าลิขิต ดึงดันไปก็ไร้ประโยชน์ ภิกษุ เจ้าจะหาเรื่องใส่ตัวทำไม” หลินสวินถอนใจ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้
มู่เจิ้งโกรธจนแทบกระอักเลือด ถูกมองข้ามไม่พอยังโดนสบประมาทเช่นนี้ ที่น่าแค้นที่สุดคือแท่นดอกบัวหยกขาวนั่นปฏิเสธเขาไม่ให้เข้าใกล้!
นี่ทำให้เขาโกรธเดือดดาล ต่อให้สภาวะจิตมั่นคงกว่านี้ก็ต้องคลั่งอยู่บ้าง
“เจ้านอกรีต! ถ้าเจ้ากล้าก็ลงมาสู้สักตั้ง!” มู่เจิ้งคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินดุจราชสีห์ เดือดคลั่งมากโทสะ
แต่ต่อมาเขาก็อึ้งงัน เพราะหลินสวินเผยท่าทีจิตลอยล่อง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกแล้ว
มู่เจิ้งรู้สึกเพียงอัดอั้น เกือบกระอักเลือดเข้าจริงๆ แล้ว
ในฐานะยอดบุคคลซึ่งเป็นหนึ่งในสิบแปดสาวกแห่งอารามกษิติครรภ์ยุคปัจจุบัน มู่เจิ้งยอมเย่อหยิ่งทะนงตน มีความผยองเหยียดหยันใต้หล้า ไหนเลยจะเคยถูกเพิกเฉยเช่นนี้
“เจ้านอกรีต วันนี้ข้าจะโปรดสัตว์เจ้า!” มู่เจิ้งโกรธจนกัดฟันกรอด เสียงราวแผดคำราม
อันที่จริงตัวเขารู้ดี สาเหตุที่โมโหไม่ใช่เพราะถูกเมิน แต่เพราะรู้ว่าครานี้ตนไม่มีโอกาสชิงรากต้นโพธิ์นั่นอีก!
นี่ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ
ไม่เช่นั้นแค่เพียงการมองข้ามและสบประมาท คงไม่อาจทำมู่เจิ้งเสียอาการเช่นนี้ได้
ขณะนี้หลินสวินไม่สนใจมู่เจิ้งจริงๆ เพราะเขาค้นพบอย่างน่าตะลึงว่า ไม้ต้นโพธิ์ในมือผนึกพลังสีทองอัศจรรย์หลากสาย!
‘เป็นของเจ้าหมอนั่น’ ในหัวหลินสวินปรากฏเงาร่างสีทองดั่งเจ้าเหนือหัว ในใจสั่นสะท้านอย่างเลี่ยงไม่ได้
‘จดจำไว้!’
‘ห้ามลืมเด็ดขาด…’
เสียงของตู้จี้และนางพญาราวสะท้อนก้องอยู่ข้างหูอีกครั้ง หลินสวินรู้ว่าพลังสีทองนี่คือกุญแจสำคัญที่ทำให้อริยะทั้งสองสิ้นชีพ!
‘หากวันหนึ่งข้าสามารถก้าวสู่ระดับที่อริยะทั้งสองเคยก้าวผ่าน จะถูกพลังเช่นนี้สังหารหรือไม่’
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินสวินก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญของพลังสีทองนี่!
หากสามารถตีความปริศนาที่ซ่อนแฝง ภายภาคหน้าตนอาจสามารถหลบหลีกหายนะที่อริยะทั้งสองเคยเผชิญ อาจไม่ถึงขั้นประสบเคราะห์!
ในเวลาเดียวกัน เมื่อหลินสวินสงบจิตสัมผัสไม้ต้นโพธิ์ซึ่งไหม้เกรียม ในใจพลันปรากฏพลังมรดกคัมภีร์มรรคเล่มหนึ่งขึ้นมาโดยธรรมชาติ
มันลึกซึ้งยากหยั่งถึงขีดสุด ศักดิ์สิทธิ์เหลือประมาณ เลือนรางพร่ามัว ดุจมีเสียงธรรมและเสียงหงส์ขับขานสะท้อนก้องไปมาสนั่นหู
คัมภีร์มหาครรภ์จุติ!
ชั่วขณะนั้นหลินสวินใจเต้นโครมคราม ผิวหนังสั่นระรัวด้วยตื่นเต้น ภายในไม้ต้นโพธิ์แห้งเหี่ยวนี้ถึงกับซ่อนคัมภีร์มรรคชิ้นเอกที่สรรสร้างโดยอริยะตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ!
หลินสวินเคยเห็นขั้นตอนที่อริยะทั้งสองสร้างคัมภีร์นี้กับตา กระทั่งรู้ว่าปริศนาแห่งคัมภีร์นี้วิวัฒน์มาจาก ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ และ ‘วิชาจุติหงส์ทมิฬ’ สามารถเกริกก้องชั่วกัลปาวสาน!
ตูม!
ทว่าไม่รอให้หลินสวินศึกษาโดยละเอียด ก็รู้สึกเบื้องหน้าพลันซวนเซ ทำเขาผงะในใจวูบหนึ่ง
เมื่อเงยหน้ามองไปก็เห็นภิกษุมู่เจิ้งราวกับเป็นบ้า ใช้สมบัติอริยพุทธอาลยบาตรถล่มใส่แท่นบัวหยกขาวไม่หยุด
อาลยบาตรสาดแสง สะท้อนภาพมายาภิกษุมากมาย สำแดงพลังกดกำราบชวนประหวั่น สะเทือนแท่นบัวหยกขาวจนครวญคร่ำต่อเนื่องใกล้จะพังทลาย
นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายแววเย็นเยียบ หยัดร่างขึ้นอย่างหมดความอดทนอยู่บ้าง
แท่นบัวหยกขาวนี้คือของล้ำค่าต่างหน้าของอริยะตู้จี้ มู่เจิ้งเองก็มาจากอารามกษิติครรภ์เหมือนอริยะตู้จี้ แต่บัดนี้เพื่อสังหารตนชิงไม้โพธิ์ เจ้าหมอนี่ถึงกับจะทำลายแท่นบัวโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด!
“หยุดนะ!” หลินสวินตวาดเย็นชา
กลับเห็นมู่เจิ้งเผยสีหน้าเรียบเฉยเยียบเย็นกล่าว “ตอนนี้นั่งไม่ติดแล้วรึ สายไปแล้ว!”
เขาในตอนนี้ทั่วร่างอาบแสงธรรม ร่างกำยำสูงใหญ่ข่มผู้คนดั่งบรรพตไม่หยุดสิ่งที่กระทำแม้แต่น้อย กลับเปลี่ยนเป็นดุดันยิ่งกว่าเดิม
แต่เมื่อหลินสวินเตรียมลงมือก็เห็นเงาทมิฬสายหนึ่งโฉบพุ่งออกไป ประดุจเคลื่อนย้ายแหวกอากาศ ชั่วพริบตาก็ปรากฏอยู่หลังมู่เจิ้งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด เงาร่างนี้เหมือนหงส์ทมิฬ ปีกดำสนิทราวราตรีนิรันดร์คุโชนด้วยเปลวอัคคีโชติช่วง ถึงกับเป็น ‘ครรภ์พุทธะ’ ซึ่งหนีไปจากซุ้มพระก่อนหน้านี้!
ทว่าในกรงเล็บมันกลับหิ้วกระทะดำใบหนึ่ง ท่าทางลับๆ ล่อๆ ถึงขั้นยังส่งสัญญาณบอกหลินสวินให้เงียบเสียง
ตั้งแต่ต้นจนจบมู่เจิ้งราวไม่รับรู้ทุกสิ่งอย่างนี้ ยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจู่โจมแท่นบัวหยกขาวอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้น…
เสียงเป๊งดังสนั่น นกทมิฬนั่นใช้กระทะดำฟาดกบาลใสของมู่เจิ้งเต็มแรง
………………..

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset