Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 946 กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์

ตึง!
พลังหมัดของหลินสวินเรืองแสง ปะทะเข้ากับค้อนยักษ์สายฟ้าที่ทะลวงอากาศเข้ามาอย่างจัง สายฟ้าสาดกระเซ็น ส่งเสียงคำรามอึกทึกเสียดหู
ในเวลาเดียวกัน เงาแส้สีสันสดใสแต่ละวงปกคลุมลงมา ฉีกทำลายห้วงอากาศ อานุภาพน่าตกใจ หมายจะกักร่างของหลินสวินไว้
หลินสวินไม่ถอยแต่ยังเดินหน้า ปากส่งเสียงออกไป ระลอกคลื่นสีทองแผ่กระจาย เขย่าเงาแส้เต็มท้องฟ้าจนแหลกสลาย แปรเป็นละอองแสงแตกซ่าน
ส่วนมือซ้ายของเขาใช้ประทับปี้อั้นออกมา มือขวาสำแดงความเร้นลับของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ สู้กับราชันกึ่งระดับที่มาจากสองข้าง
โครม ตูมๆ
ห้วงอากาศพังทลายราวกับถูกระเบิด
หลินสวินคนเดียวเผยวิชามรรคเยี่ยมยอดที่แตกต่างกัน เผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของราชันกึ่งระดับสี่คนในเวลาเดียวกัน ผงาดผยองและแข็งแกร่งถึงขีดสุด
ที่น่ากลัวที่สุดคือ ในระหว่างนั้นวิญญาณแห่งพลังจิตของเขายังควบคุมดาบหัก โจมตีคู่ต่อสู้อยู่อีกที่ของสนามรบ
ในบรรดาคู่ต่อสู้เหล่านั้นก็มีราชันกึ่งระดับสองคนเช่นกัน!
พวกโค่วซิงอึ้งค้างไปแล้ว ตกใจจนพูดไม่ออก เดิมทีพวกเขายังคิดว่าจะช่วย แต่ไม่นานก็พบว่า ไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะแทรกแซงเลยด้วยซ้ำ
มีเพียงแม่นางเยวี่ยที่เรียกกระพรวนสีม่วงพวงหนึ่งออกมา สำแดงความลึกลับอันไม่มีที่สิ้นสุดของมรรคแห่งศาสตร์ดนตรี ดังกริ๊งๆ อยู่ในสนามรบ ช่วยดาบหักของหลินสวินสกัดกั้นการพุ่งสังหารของศัตรู
แม้จะเป็นเช่นนี้ในใจแม่นางเยวี่ยก็ยังสั่นสะเทือน นางสามารถคาดการณ์ได้ว่าหลินสวินแข็งแกร่งอย่างมาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้!
ทอดสายตามองไปในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของทั้งดินแดนรกร้างโบราณ กลัวว่าคงหาคนที่ทำได้ขนาดนี้ได้ไม่กี่คน
ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงราชครูผู้คุมอำนาจหกคนของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนล้วนเป็นราชันกึ่งระดับ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติที่พุ่งเข้ามาโจมตี!
แต่หลินสวินกลับใช้พลังปราณระดับกระบวนแปรจุติพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ ปะทะกลุ่มศัตรูอย่างจัง!
……
“ฆ่า!”
ทุกคนจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์สู้จนเดือดดาลแล้วจริงๆ ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา พวกเขาระดมกำลังมา กลับถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งขวางไว้ นี่ขายหน้าเกินไปแล้ว
ในเวลาเดียวกันพลังต่อสู้ของหลินสวินก็ทำให้พวกเขาตกใจ ตระหนักได้ว่านี่คือปีศาจที่มีอานุภาพเย้ยฟ้า จะมองแบบทั่วๆ ไปไม่ได้เด็ดขาด
สิ่งที่ทำให้พวกเขาทนไม่ได้ที่สุดคือ สู้กันจนถึงตอนนี้พวกเขากลับไม่ได้เปรียบเลยสักนิด ถึงขั้นไม่สามารถกำราบคู่ต่อสู้ไว้ได้!
“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นใครกันแน่” ชายชราที่เป็นหัวหน้าตะเบ็งเสียง เขารู้สึกหวั่นหวาด สงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดชั้นยอดที่มาจากสำนักน่าพรั่นพรึงสำนักใดสำนักหนึ่ง
ราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ เองก็โกรธจนหน้าเขียว ในใจตื่นตะลึง
พวกเขายังสงสัยว่า หากไม่ใช่เพราะพวกเขาร่วมมือกันโจมตี คงไม่สามารถสู้กับเด็กหนุ่มคนนี้ได้!
และในสายตาพวกเขา ในโลกปัจจุบันก็มีเพียงแค่เหล่าปีศาจไร้เทียมทานที่อยู่ในสำนักโบราณเท่านั้นจึงจะมีพลังต่อสู้พลิกฟ้าปานนี้ สามารถต่อสู้ข้ามระดับ วิปริตอย่างที่สุด
หลินสวินไม่พูด รอบตัวเขาพลังต่อสู้โคจร เงาร่างราวกับเทพมารโจมตี มีพลานุภาพกลืนกินโลก เข้าปะทะเต็มกำลัง
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดมาก แรงกดดันยิ่งใหญ่ไม่ใช่ธรรมดา ทว่าในสถานการณ์ที่ล่อแหลมเช่นนี้ ทำให้ร่างกายของหลินสวินถูกกระตุ้นอย่างสิ้นเชิง ใช้การต่อสู้เคี่ยวกรำพลังยุทธ์ ทั้งร่างรู้สึกปลอดโปร่งสะใจที่ได้ปลดปล่อยถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ตอนที่อยู่ในเทศกาลโคมกถามรรค เขาได้เคี่ยวกรำของตนสู่ขอบเขตมกุฎแล้ว สามารถกดดันกลุ่มผู้กล้า เข่นฆ่าอวี่หลิงคงอย่างแข็งกร้าว แม้เป็นการประชันในมกุฎมรรคา ก็มีอานุภาพที่เพียงพอจะโจมตีศัตรูให้พ่ายแพ้ยับเยิน
แต่นี่ไม่ได้หมายถึงความสมบูรณ์!
พลังปราณของเขายังไม่เคยไปถึงขั้นสมบูรณ์ในระดับกระบวนแปรจุติ
เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นวิชามรรคอันเยี่ยมยอดอย่างธารดาราหลอมเพลิง หรือหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า เขาก็ไม่เคยเข้าใจแก่นพิสุทธิ์ของมันอน่างปรุโปร่ง
นอกจากนี้การควบคุมมหามรรคธาตุไฟของเขาก็อยู่ในระดับท่วงทำนองแห่งมรรคเท่านั้น ห่างจากระดับเจตจำนงแห่งมรรคอีกก้าวหนึ่ง…
เหล่านี้ไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่เป็นพลังแฝง มีเพียงการขุดออกมาอย่างหมดจด และบรรลุให้ถึงขั้นสมบูรณ์ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นมกุฎสมบูรณ์ที่แท้จริง
บางทีในสายตาของคนอื่น เขาได้ยืนอยู่ในระดับที่สูงพอจะทำให้คนรุ่นเยาว์ทุกคนตะลึง แต่สำหรับหลินสวินเอง นี่ยังไม่พอเลยสักนิด
อย่างน้อยเมื่อเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ศัตรูของเขา ก็ยังไม่พอ!
‘วิถียุทธ์ไร้ขอบเขต!’
ในระหว่างการต่อสู้ ในใจหลินสวินเกิดความเข้าใจอย่างหนึ่ง
พลังปราณมีระดับจำกัด แต่วิชายุทธ์กลับไร้ขอบแดน!
อย่างเช่นตอนนี้ พลังปราณของเขาหยุดอยู่ที่ระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง แต่กับการควบคุมและสำแดงวิชายุทธ์ สามารถค้นพบศักยภาพแฝงรูปแบบใหม่ได้ทุกครั้งไป
ศักยภาพแฝงเช่นนี้มาจากมรรคและวิชาที่ฝึก การหยั่งถึงปริศนาแห่งมหามรรค สามารถทำให้อานุภาพวิชายุทธ์เผยพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
เช่นเดียวกัน การฝึกวิชาลับการต่อสู้ ก็สามารถทำให้อานุภาพวิชายุทธ์ได้รับการยกระดับในรูปแบบใหม่เช่นกัน!
พูดง่ายๆ ก็คือ พลังปราณเป็นต้นกำเนิดของพลัง ตัดสินความแข็งแกร่งและอ่อนแอของวิชายุทธ์
ส่วนวิชาลับที่ฝึกฝน รวมทั้งความเร้นลับแห่งมหามรรคที่หยั่งถึง สามารถทำให้วิชายุทธ์แสดงอานุภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าได้!
อย่างเช่นหลินสวินในตอนนี้ พลังปราณอาจจะยังอยู่ในระดับกระบวนแปรจุติขั้นกลาง แต่ไม่ว่าจะเป็นวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิงหรือหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าที่เขาฝึก ขอเพียงแค่นัยเร้นลับนี้ถูกควบคุมอย่างสิ้นเชิง ย่อมสามารถทำให้พลังต่อสู้ของเขาเกิดการยกระดับอย่างชัดเจน
เช่นเดียวกัน การบรรลุและควบคุมมหามรรคธาตุไฟและมรรคดับดารากลืนกินไปได้อีกก้าว ก็สามารถทำให้พลังต่อสู้ในตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
นี่ก็คือความเชื่อมโยงระหว่างมหามรรค วิชาลับและวิถียุทธ์
แน่นอนว่าพลังปราณยังคงเป็นรากฐานที่กำหนดพลังยุทธ์ การหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของวิถียุทธ์ไร้ขอบเขต เป็นเพียงแค่วิธีที่ทำให้พลังต่อสู้แข็งแกร่งขึ้นบนพื้นฐานของการฝึกปราณ
หืม?
หลินสวินที่เคี่ยวเข็ญตัวเองในการต่อสู้ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายถึงขีดสุดเสี้ยวหนึ่ง ทำให้เขาได้สติโดยพลัน
ชิ้ง!
แทบจะในเวลาเดียวกัน จู่ๆ ชายชราที่เป็นผู้นำพวกลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกสมบัติประหลาดที่แผ่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีชิ้นหนึ่งออกมา
นี่คือกระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง สาดส่องเปลวไฟห้าสี สว่างไสวแสบตา ขยายใหญ่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว ปกคลุมพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้
ทันใดนั้นเปลวเพลิงทั่วฟ้าไหลพุ่งลงมา ลายมรรคที่ไม่มีที่สิ้นสุดม้วนตลบปรากฏขึ้น มีอานุภาพเผาฟ้าผลาญดิน อัศจรรย์และน่ากลัวถึงขีดสุด
“กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์!” บนยานสำเภาที่อยู่ห่างไป แม่นางเยวี่ยนัยน์ตาหดรัด สีหน้าเผยความตะลึง ในใจตึงเครียด
สมบัติชิ้นนี้มีชื่อเสียงมากเกินไปแล้ว เคยเปล่งประกายอย่างมากในสมัยบรรพกาล ดุร้ายตะลึงโลก ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งอานุภาพเลิศล้ำเท่าไหร่ถูกมันสังหาร
ว่ากันว่ากระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์หลอมขึ้นจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดห้าชนิด อย่างเพลิงเขียวธาตุไม้อิก เพลิงขาวทองหลอม เพลิงดำวารีพิสุทธ์ เพลิงเหลืองแดนพิภพ เพลิงแดงสมบัติสุริยัน วิวัฒน์เป็นแก่นอัศจรรย์ปัญจธาตุ เรียกได้ว่าหลอมจักรวาล ผลาญธารดารา!
ตำนานเกี่ยวกับสมบัตินี้มีมากมาย ลือกันว่าอริยะบรรพกาลคนหนึ่งหลอมขึ้นกับมือ ตอนที่หลอมสำเร็จ สุริยันจันทราไร้ประกาย ภูเขาแม่น้ำในระยะแสนลี้กลายเป็นขี้เถ้า หมื่นวิญญาณดับสูญ ราวกับพิบัติเคราะห์สิ้นโลกกำลังจะมาเยือน ปรากฏการณ์ประหลาดตะลึงโลก
ที่ผ่านมาเมื่อสมบัติชิ้นนี้ปรากฏขึ้น บรรดาอริยะต้องหลีกทาง กำจัดผู้เก่งกาจบรรพกาลมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่!
สรุปแล้วนี่คือสมบัติอริยะกายสิทธิ์ชิ้นหนึ่ง มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล เคยเผยอานุภาพเทียมฟ้าในสมัยนั้น
แต่จากนั้นแม่นางเยวี่ยก็ตระหนักได้ว่า สมบัติที่ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์เรียกออกมานี้ คงจะเป็นเพียงแค่ของลอกเลียนแบบ แม้ฤทธิ์เดชจะน่ากลัว แต่ไม่มีอานุภาพไร้เทียมทานเพียงพอจะสะเทือนสวรรค์และสยบแดนดินฝั่งหนึ่ง
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลอกเลียนชิ้นนี้ก็เพียงพอจะสร้างความตื่นตะลึง ราวกับเตาหลอมป่วนโลก ประหนึ่งสามารถผลาญสรรพสิ่ง ทำให้ไม่อาจจินตนาการได้ว่า เมื่อกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงปรากฏขึ้นจะน่ากลัวเพียงใด
แม้หลินสวินไม่รู้จักสมบัติชิ้นนี้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างที่สุดในทันที พลันขนลุกไปทั้งตัว
“สามารถบีบให้ข้าเรียกสมบัติชิ้นนี้ออกมา เจ้าก็สามารถตายอย่างไม่เสียดายได้แล้ว” ชายชราพูดเรียบๆ เสียงเยียบเย็นอย่างที่สุด
เขาในตอนนี้มั่นใจไร้ใดเปรียบ
ราชันกึ่งระดับคนอื่นๆ ต่างถอยออก ไม่ยอมถูกม้วนเข้าไป พวกเขารู้ถึงความน่ากลัวของกระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์ หากว่าพวกเขาถูกปกคลุมก็จะประสบเคราะห์เช่นกัน
ครื้นโครม
กระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ราวกับสุริยันห้อยโหนกลางอากาศ สาดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันห้าประเภทลงมา ราวกับเพลิงสวรรค์พวยพุ่ง เป็นภาพที่งดงามและน่าสะพรึงถึงขีดสุด
“น่าขัน!”
กลับเห็นหลินสวินนิ่งสงบไม่หวาดกลัว มุมปากเผยความดูถูกอย่างไม่มีปกปิดเลยสักนิด
ราชันกึ่งระดับหกคน กลับทำได้เพียงใช้สมบัติกำราบเขา นี่ดูน่าขันมากจริงๆ หลินสวินยังรู้สึกขายหน้าแทนพวกเขา
น่าขัน!
สองคำนี้เป็นคำแรกที่หลินสวินพูดตั้งแต่ต่อสู้มา ความเย้ยหยันและดูถูกที่ไม่ปกปิดนั่น ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต่างสีหน้าเคร่งขรึม ดูแย่ขึ้นมา
เด็กหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง ความตายมาเยือนแล้วยังไม่รู้จักกลัว กลับยังมีหน้ามาเย้ยหยันพวกเขา นี่ทำให้พวกเขาข่มอารมณ์บนใบหน้าไม่อยู่แล้ว
“เจ้าหนุ่ม อย่าว่าแต่เจ้ายังไม่เติบใหญ่เลย ต่อให้เติบใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ ลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะล่วงเกินได้!”
“ไม่ว่าจะพลิกฟ้าแค่ไหน ก่อนที่จะกลายเป็นราชันก็ยังเป็นแค่มดปลวกอยู่ดี”
“สหายยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องพูดไร้สาระ ใช้พลังทั้งหมดที่มีหลอมมันเถอะ!”
สายตาของราชันกึ่งระดับเหล่านั้นราวกับจ้องคนตายคนหนึ่ง สีหน้าอึมครึม ไม่ฆ่าหลินสวินซะก็ไม่สามารถล้างความอับอายในใจพวกเขาได้
ความจริงตอนที่พวกเขาส่งเสียง หลินสวินก็ถูกห่อหุ้มอยู่ในเขตแดนที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมแล้ว กำลังหลบการโจมตีของเพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีที่พวยพุ่งลงมาก
นี่ทำให้หัวใจของพวกแม่นางเยวี่ยและโค่วซิงต่างแขวนลอยขึ้นมา กังวลถึงขีดสุด
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ไม่มีเวลาแบ่งสมาธิ เพราะศัตรูที่พวกเขาเผชิญก็ฉวยโอกาสเปิดการโจมตีอย่างดุเดือด
หากไม่ใช่เพราะดาบหักทะยานอากาศ สกัดกั้นอย่างเต็มกำลัง เกรงว่าพวกเขาคงประสบเคราะห์ไปตั้งนานแล้ว!
สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายถึงขีดสุดอย่างไม่ต้องสงสัย เหมือนว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ
“ตายซะ!”
ชายชราที่เป็นหัวหน้าพูดอย่างนิ่งสงบ ในสายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา กระตุ้นกระบังเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีพุ่งดิ่งลงมาราวกับน้ำตก สว่างไสวและแสบตา เผาอากาศจนถล่มทลาย
“ตายหรือ ข้าอยากดูนักว่าใครจะตายก่อน!”
และพร้อมกันนั้นเอง หลินสวินพลิกมือออกไป ขวดหยกมันแพะใบหนึ่งที่มีขนาดเพียงไม่กี่ชุ่นโฉบพุ่งกลางอากาศอย่างกะทันหัน แผ่แสงประกายอันคลุมเครือและแปลกประหลาดแถบหนึ่งออกมา
ขวดมหามรรคไร้ขอบเขต!
ตั้งแต่เมื่อครั้นอยู่ในเทศกาลโคมกถามรรค ขวดนี้ก็ได้สั่งสมอานุภาพของกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันจนเต็มแล้ว เดิมทีหลินสวินวางแผนว่าจะใช้ตอนฆ่าพวกมู่เจี้ยนถิง ภายหลังเพราะซย่าจื้อพุ่งสังหาร ทำให้ขวดนี้ไม่เคยได้แสดงอานุภาพออกมาเสียที
แต่ตอนนี้หลินสวินไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่นแล้ว กระบังปัญจเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี่สร้างภัยคุกคามให้เขามากเกินไป สุ่มเสี่ยงถึงชีวิต ไม่สามารถเก็บรั้งไว้ได้
วู้ม!
ขวดมหามรรคไร้ขอบเขตเปล่งแสง พลังกระบวนผนึกมรรคราชันที่ถูกสั่งสมไว้ซัดกระจายออกมา และอานุภาพนั้นแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัวเต็มๆ
ทันใดนั้นฟ้าดินตกตะลึง ห้วงอากาศแถบนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย!
…………………

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset