Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1066 ความลับของเก้าดินแดน

แสงมงคลส่องลงมาจากฟ้า แสงอริยะดำรงนิรันดร์
กลางฟ้าดิน พลังกฎระเบียบนานาชนิดฉายสาดรังสีเปล่งปลั่งเป็นประกาย รวมตัวเป็นเงาร่างใหญ่โตเงาหนึ่งท่ามกลางเหล่าสายตาสั่นสะท้านที่จับจ้อง
เขาอาบชโลมด้วยกลิ่นอายนิจนิรันดร์ ยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพไท้มาเยือน
ทุกคนอึ้งงั้น ตกละลึงอ้าปากค้าง ในการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดปรากฏการณ์ประหลาดน่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้
เงาร่างใหญ่โตนี้ยืนตระหง่านบนท้องฟ้าเหนือสนามประลองโชควาสนา มองลงมายังทุกคน น่าเกรงขามดุจเทพเทวาบรรพกาล
“การประลองรอบสุดท้ายเกี่ยวข้องกับทิศทางมหายุค ความหมายลึกล้ำ กฎเกณฑ์และการแพ้ชนะของการประลอง มีข้าเป็นผู้ตัดสิน”
เงาร่างใหญ่โตนี้ปกคลุมไปด้วยคลื่นกฎระเบียบไม่เสื่อมคลาย ยามพูดจากังวานสะเทือนเลือนลั่น ประหนึ่งเสียงสัทครรลองมหามรรคดังก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ดังสนั่นจนคนหูหนวกยังได้ยิน
ทุกคนสูดหายใจเยียบเย็น นี่… นี่เป็นอริยเทพองค์หนึ่งหรือ
คิดถึงจุดนี้ทุกคนล้วนจิตวิญญาณสั่นสะท้าน จากนั้นเลือดลมก็สูบฉีดด้วยความตื่นเต้น สีหน้าต่างแปรเปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้ขึ้นมา
เขตหวงห้ามไร้มรณะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเขตหวงห้ามทั้งห้าแห่งแดนชัยบูรพา ลึกลับไม่อาจหยั่งถึง โดยเฉพาะภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมโชควาสนาฟ้าดิน เต็มไปด้วยตำนานเหลือเชื่อมากมาย
ในอดีต ใครเคยได้เห็นภาพอัศจรรย์เช่นนี้กัน
ทุกคนสงบใจได้ยาก
“ข้าจะเบิกสมรภูมิ ‘เก้าดินแดน’ ให้พวกเจ้าทั้งสี่คน คะแนนที่พวกเจ้าได้จากการประลองครั้งนี้จะแปรสภาพเป็นประทับยุทธ์ จารลงบนสมรภูมิเก้าดินแดน!”
เงาร่างสูงใหญ่นั้นเปล่งประกายไปทั้งร่าง ยืนตระหง่านอยู่เช่นนั้น กลิ่นอายพาให้สรรพสัตว์ต่างหวาดกลัวแผ่กระจายออกมา
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ทั่วลานแตกตื่น หากไม่ถูกเงาร่างราวเทวะนั้นมองอยู่ พวกเขาคงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่กันไปนานแล้ว
สมรภูมิเก้าดินแดน!
ประทับยุทธ์!
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เวลานี้มีเพียงบุคคลรุ่นอาวุโสจากสำนักเก่าแก่บางคนที่จิตใจสั่นระรัวยกใหญ่ พวกเขาพอจะเคยได้ยินบันทึกที่กระจัดกระจายเกี่ยวกับ ‘สมรภูมิดินแดนใหญ่’ มาบ้าง
“สมรภูมิเก้าดินแดน… หรือจะเป็นเรื่องจริง บนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงดินแดนรกร้างโบราณ ยังมีดินแดนอื่นอยู่อีกหรือ”
ชายชราที่ใบหน้าซูบตอบผู้หนึ่งสีหน้าแปรปรวน จิตใจสั่นสะท้าน
“ในคัมภีร์โบราณตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้าเคยเอ่ยถึงว่า นี่เป็นสมรภูมิที่ผู้กล้าจากดินแดนต่างๆ แก่งแย่งอริยมรรค!”
“ใช่แล้ว ในลัทธิเทพต้นกำเนิดของข้าก็มีบันทึกไม่สมบูรณ์ทำนองนี้อยู่ เพียงแต่ส่วนมากกล่าวไว้ไม่ชัดเจน รางเลือนถึงที่สุด บันทึกที่ชัดเจนเพียงบันทึกเดียวก็คือวลีที่ว่า ‘นอกดินแดนรกร้างโบราณ ล้วนเป็นศัตรูต่างแดน’”
“เก้าดินแดน…”
ที่ตีนเขา ผู้อาวุโสบางคนกำลังแลกเปลี่ยนความเห็น ทันใดนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวครึกโครม ทุกคนต่างสีหน้าผันแปร
เรื่องนี้เลื่อนลอยและดูไม่เป็นจริง ทำให้สภาวะจิตของทุกคนไม่อาจสงบลงได้
หลายคนต่างแสดงสีหน้าประหลาด พวกหลินสวินทั้งสี่คนแม้สามารถช่วงชิงสี่อันดับแรกได้ แต่ก็เป็นเพียงในกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เท่านั้น บนโลกนี้ยังมีบุคคลที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่ามากมาย
เช่นอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิว…
รวมถึงคนเช่นหวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ!
ยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎเหล่านี้ก็แค่อายุมากกว่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในสนามประลองเหล่านี้เท่านั้น แต่ว่าด้วยเรื่องรากฐานพลังและพลังต่อสู้ ย่อมแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
เงาร่างราวเทพเทวานั้นกลับจะเบิกทางให้สี่คนนี้ได้ประลองแข่งขันที่สมรภูมิเก้าดินแดน นี่… จะโอบอุ้มพวกเขาเกินไปแล้วกระมัง
“สมรภูมิเก้าดินแดนไม่ได้มีแห่งเดียว ไม่เพียงเป็นสนามประลองของผู้กล้าแห่งดินแดนหนึ่ง ยังเป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎชั้นยอดมาสู้รบกัน ตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบันก็เปิดขึ้นน้อยครั้งมาก”
กลางห้วงอากาศเงาร่างสูงใหญ่กล่าวขึ้น เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นก้องกังวานในฟ้าดิน เข้าถึงก้นบึ้งจิตใจคน
นี่ทำให้บุคคลรุ่นอาวุโสจากสำนักโบราณที่อยู่ในที่นั้นต่างรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง เรื่องพรรค์นี้พวกเขาไม่เคยรู้โดยแน่ชัดจริงๆ ทำให้พวกเขาอับอายและตื่นตระหนก
“นอกจากนี้เมื่อเปิดการต่อสู้นอกดินแดน สมรภูมิเก้าดินแดนก็จะเป็นสถานที่ประลองแก่งแย่งความเป็นหนึ่ง และถูกมองว่าเป็น ‘สนามรบศักดิ์สิทธิ์’!”
เงาร่างสูงใหญ่นั้นมีน้ำเสียงน่าเกรงขาม เย็นชาและไม่มีความรู้สึกเจือปน
เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป ครู่เดียวก็ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนนับพัน
“สนามรบศักดิ์สิทธิ์หรือ” ในลานอึกทึกครึกโครม ผู้ฝึกปราณจากสำนักโบราณเหล่านั้นต่างรู้แล้ว
เกี่ยวกับสนามรบศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่ในสำนักโบราณล้วนมีการบันทึกไว้ในคัมภีร์และข่าวลือ ในช่วงเวลาอันยาวนานแต่ละช่วง สนามรบศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้น
มีเพียงผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่แท้จริงในดินแดนหนึ่งเท่านั้นถึงสามารถเข้าร่วมประชันอริยมรรคในสนามรบนั้นได้!
พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือ นี่เป็นการประชันระหว่างเหล่าบุคคลโดดเด่นที่สามารถเป็นผู้นำพายุคสมัยได้ เป็นการแย่งชิงของผู้กล้าในตำนานที่มีคุณสมบัติเหยียบย่างบนอริยมรรค สาดประกายเจิดจรัส!
ยิ่งเรียกได้ว่าเป็นการช่วงชิงกันของเหล่าปีศาจแห่งยุค อัจฉริยะชั่วนิรันดร์ และวีรชนไร้เทียมทานในใต้หล้า!
เมื่อพูดถึงสมรภูมิเก้าดินแดน ทุกคนอาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคย แต่สำหรับสนามรบศักดิ์สิทธิ์กลับพอคุ้นเคยอยู่
ในทุกสำนักโบราณที่ยืนหยัดมาตั้งแต่บรรพกาลถึงปัจจุบันล้วนมีบันทึก ข่าวลือหรือเงื่อนงำที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนมีสมมติฐานอย่างหนึ่ง…
มีเพียงยามกลียุคมาเยือน สนามรบศักดิ์สิทธิ์ถึงจะปรากฏขึ้นบนโลก!
เวลานี้เงาร่างสูงใหญ่ของภูเขาเทพไร้มรณะแห่งนี้พูดถึงสมรภูมิเก้าดินแดน นี่มีนัยว่าอะไร
ไม่ได้หมายถึงว่า มหายุคที่กำลังจะมาเยือนก็เป็นกลียุคครั้งหนึ่งหรอกหรือ
ทุกคนสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกไม่แน่นอน จิตใจปั่นป่วน
การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งหนึ่งกลับเกี่ยวโยงกับความลับสะท้านโลกมากมายเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง
อีกทั้งในอดีตยังไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน
นี่ จะหมายความว่าด้วยสถานการณ์ที่มหายุคใกล้มาเยือน ทำให้การแข่งขันยอดมกุฎรุ่นเยาว์คราวนี้มีความลี้ลับที่ต่างจากแต่ก่อนเพิ่มขึ้นมาด้วยใช่หรือไม่
หลินสวินกลับสงบนิ่งยิ่ง เพียงแต่เวลานี้กลับอดไม่ได้ที่จะมองจ้าวจิ่งเซวียนคราหนึ่ง
เพราะตั้งแต่สมัยอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่า จ้าวจิ่งเซวียนก็เคยพูดกับเขาว่า มหายุค ก็คือกลียุค!
แต่เขาไม่เชื่อว่าจ้าวจิ่งเซวียนในตอนนั้นจะสามารถคาดเดาความลับสะท้านโลกปานนี้ได้ล่วงหน้า เห็นได้ชัดว่าที่นางรู้เรื่องราวเหล่านี้ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์แห่งจักรวรรดิจื่อเย่า
‘คำว่ากลียุค เป็นคำพูดที่บิดาข้าเคยกล่าวไว้ หากเจ้าไม่เข้าใจ สามารถกลับไปถามเขาในภายหลังได้’
จ้าวจิ่งเซวียนเหมือนใจสื่อถึงกัน ชั่วพริบตาก็เดาความรู้สึกนึกคิดของหลินสวินออกแล้วแจกแจงเช่นนี้
จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าไม่ธรรมดานัก!
หลินสวินถึงกับรู้สึกว่า โลกชั้นล่างมีสถานที่มากมายที่ลี้ลับกว่าดินแดนรกร้างโบราณ เช่นแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ สุสานสมุทรฝังมรรค สมรภูมิกระหายเลือด…
“ขอเรียนถามว่าผู้อาวุโสเป็นใคร” ทันใดนั้นเยี่ยเฉินพูดขึ้น
ทุกคนตื่นตระหนกเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงกลั้นลมหายใจ ต่างอยากรู้ฐานะของเงาร่างประหนึ่งเทพเทวาผู้นี้
“เป็นเพียงเจตจำนงที่จำแลงมากจากกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะสายหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้าเรียกข้าว่า ‘ข้ารับใช้วิญญาณ’ ก็ได้” น้ำเสียงของเขาเฉยชา ไม่มีคลื่นความรู้สึกแปรปรวนเลยสักนิด
ข้ารับใช้วิญญาณ!
จากวาจาของเขาก็รู้ว่า เขาไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง แต่เป็นระเบียบและกฎเกณฑ์บริสุทธิ์จำแลงมา นี่ก็ช่างน่ากลัวถึงที่สุด
“ข้าไม่สนใจสมรภูมิเก้าดินแดน และไม่อยากรู้จักสนามรบศักดิ์สิทธิ์ เพียงอยากจะสู้ให้หนำใจในตอนนี้ ขอให้ข้าได้สมปรารถนาด้วย!”
วาจาเยี่ยเฉินเหมือนกระบี่ ตัวเขาเองก็เหมือนกระบี่
นี่ทำให้หลายคนนิ่วหน้า หากสามารถถือโอกาสนี้ล่วงรู้ความลับบางอย่างจากปากของข้ารับใช้วิญญาณได้ เช่นนั้นความหมายย่อมไม่ธรรมดา
แต่เยี่ยเฉินกลับไม่สนใจสักนิดเดียว น่าผิดหวังนัก
“ได้!” ข้ารับใช้วิญญาณไม่ได้รู้สึกถูกล่วงเกิน หรือพูดได้ว่า ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาก็ดูศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เกินไป ไม่มีความแปรปรวนในอารมณ์ใดๆ
เขาพูดจบก็ยื่นมือออกไป พลังกฎระเบียบสี่สายเคลื่อนออกมาแล้วพุ่งไปยังหว่างคิ้วของหลินสวิน เยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียนและจินมู่อวิ๋น
ชั่วพริบตาพวกหลินสวินต่างเข้าใจกฎการประลองรอบสุดท้ายนี้
ประลองทีละคน!
แต่ละคนจะประลองกับอีกสามคนหนึ่งครั้ง แล้วจัดอันดับสูงต่ำรอบสุดท้ายตามคะแนนสุดท้าย
คำนวณเช่นนี้ ขอเพียงประลองหกยกก็พอแล้ว
เช่นหลินสวินกับจินมู่อวิ๋นประลองกัน นี่ก็ถือว่าทั้งสองคนต่างได้ต่อสู้หนึ่งครั้ง ต่อมาทั้งสองเพียงประลองกับอีกสองคนก็ได้แล้ว
จริงๆ แล้วหากคำนวณอย่างละเอียด การต่อสู้หกยก จะเท่ากับว่าทุกคนได้ต่อสู้สามครั้ง
เรื่องนี้สำหรับพวกหลินสวินทั้งสี่คนแล้ว เป็นเรื่องยุติธรรมนัก
ตู้ม!
ข้ารับใช้วิญญาณสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก็เห็นว่าสนามประลองโชควาสนาที่เก่าแก่หาใดเทียบนั้น ในขณะนี้ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครม แสงกฎระเบียบแน่นขนัดเปล่งประกายสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นมาราวกระแสน้ำ ปกคลุมไปทั้งสนามประลอง
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ทั้งสนามประลองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าดิน
ก็เห็นว่ามันล่องลอยในห้วงอากาศ ใหญ่โตราวผืนแผ่นดินผืนหนึ่ง ทั้งสนามมีรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีทองอ่อนไหลหลั่งออกมาดุจหลอมด้วยทองเซียน ขณะเดียวกันบนนั้นก็มีกฎระเบียบนับไม่ถ้วนประทับอยู่ มองจากไกลๆ ยังนำพากลิ่นอายกดดันเข้ามา
“นี่ก็คือสมรภูมิเก้าดินแดนหรือ”
ทุกคนตื่นตะลึง สนามประลองแห่งหนึ่ง พลานุภาพยิ่งใหญ่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ไหลหลั่ง ประหนึ่งนิรันดร์กาลไม่เสื่อมคลาย เพียงแค่กลิ่นอายก็ทำให้เกิดความยำเกรงในจิตใจ
“เริ่มเถิด”
เงาร่างข้ารับใช้วิญญาณเคลื่อนที่ ยืนอยู่นอกสนามประลอง “ประทับยุทธ์ของพวกเจ้าจะเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ก็ดูว่าภายภาคหน้ายามปีนขึ้นระดับอริยะ จะเข้าร่วมในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดนได้หรือไม่’
นี่เป็นคำเตือนอย่างหนึ่ง เตือนพวกหลินสวินถึงความสำคัญของการครอบครองประทับยุทธ์!
พวกหลินสวินใจเต้น ประกายในตาไหวเคลื่อน ต่างสบตากัน จิตต่อสู้ไร้รูปก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างของพวกเขา
“เซี่ยวชางเทียน มาสู้กันสักตั้ง! หลังจากเอาชนะเจ้าวันนี้ ฉายายอดคู่ดาบกระบี่นี้ต้องกลายเป็นอดีตไป!”
เงาร่างเยี่ยเฉินพริบไหวก่อนจะปรากฏบนสนามประลอง ร่างกายตรงแน่วดั่งกระบี่ ชุดสีม่วงทั้งกายปลิวไสว ทั้งตัวแผ่เจตกระบี่โชติช่วงทะลวงเมฆา
“คิดจะขอคำแนะนำจาก ‘เคล็ดวิชากระบี่จักรพรรดิจื่อเวย’ ของเจ้ามานานแล้ว วันนี้หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
เซี่ยวชางเทียนหัวเราะเสียงดัง เงาร่างราวพายุคลั่งระลอกหนึ่งปรากฏขึ้นบนสนามประลอง ยืนเผชิญหน้ากับเยี่ยเฉินอยู่ไกลๆ
พริบตานั้นสายตาทุกคนต่างถูกดึงดูดไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตั้งตารอคอย!
มารกระบี่เยี่ยเฉิน เพียงหมุนกายต่อสู้ในแดนดาราอุดร กระบี่เดียวสะท้านไปทั้งเก้าพันแคว้น เป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่ง มีผลงานสะดุดตามากมาย ถูกเลี้ยงดูในฐานะราชันผู้เก่งกล้าซึ่งเป็นอนาคตของตระกูลเยี่ยแห่งเขาจื่อเวย
ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน เคยเอ่ยวาจาจองหองเหี้ยมหาญว่า ‘กล้าเยาะสวรรค์ดุจสระน้ำ ดาบข้ากวาดผ่านชิงชังฟ้าดิน’ ไม่ด้อยไปกว่ามารกระบี่เยี่ยเฉินมากนัก
ทั้งสองถูกมองว่าเป็น ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ แห่งแดนดาราอุดร ไม่ต่างอะไรกับคู่ผู้กล้าผู้โดดเด่นแห่งยุค
และคราวนี้ก็จะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองประลองกันอย่างแท้จริง!
ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งสองย่อมแบ่งแยกชัดเจนว่าใครสูงใครต่ำ ดึงดูดความสนใจจากทั้งใต้หล้า!
ใครจะแพ้ใครจะชนะกันแน่
แม้แต่หลินสวินยังตั้งตารอ
ตามกฎที่ข้ารับใช้วิญญาณกำหนดไว้ เขาต้องขึ้นประลองยกที่สอง ยกที่สี่และยกที่หก ดังนั้นถือโอกาสนี้ก็จะดูได้ว่ารากฐานพลังของเซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่!
——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset