Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1130 มหายุคมาแล้ว

ตึง!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน เสียงนั้นแน่นลึกจนทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลกใจสั่น
เวลานี้บริเวณใกล้แม่น้ำพรมแดนที่กระจายอยู่ระหว่างสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณล้วนเกิดภัยพิบัติชวนประหวั่น เมือง ภูเขาแม่น้ำ ก้อนหินและต้นไม้นับไม่ถ้วน…
ล้วนพังทลายกลายเป็นจุณ!
เพราะตอนนี้แม่น้ำพรมแดนได้หายไปแล้ว!
ระยะห่างระหว่างสี่แดนวิภูหายไปเช่นนั้น ราวแผ่นเปลือกโลกมหึมาทั้งสี่ปะทะกันอย่างหนักหน่วง
พลังนั้นเกี่ยวพันถึงต้นกำเนิดของโลก ห้วงอากาศว่างเปล่าโดยรอบ และฟ้าดิน ยามปะทะกันพลังทำลายล้างชวนประหวั่นที่เกิดขึ้นล้วนเพียงพอทำให้อริยะขวัญหนีดีฝ่อ!
‘มาแล้ว!’
เวลานี้ในสี่แดนวิภู ชัยบูรพา ฐิติประจิม กาฬทักษิณ ดาราอุดร ไม่รู้ว่ามีอริยะที่อยู่ในการปิดด่านกี่คนหยุดการกระทำในมือ รับรู้ได้จากภายในใจ
มหายุคใกล้มาแล้ว!

แต่ละสำนักโบราณ แดนเร้นอริยะมากมาย ทุกบริเวณในดินแดนรกร้างโบราณ ทุกขุมอำนาจ เวลานี้ต่างสังเกตเห็นว่ามหายุคที่พวกเขารอมาเนิ่นนาน ความพินาศที่อยู่ร่วมกับการผงาดง้ำ ยุคสมัยที่รุ่งโรจน์ถึงขีดสุดกำลังจะเปิดฉากในวันนี้
หนึ่งหมื่นปีนานเหลือเกิน ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า!
ไม่ว่าครั้งนี้จะเป็นมหายุคหรือกลียุค ล้วนแต่ไม่เคยมีมาก่อน แตกต่างจากที่ผ่านมา!
“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!”
แดนเร้นอริยะหอฤทธิ์เทพ มีอริยะทอดถอนใจ ไม่รู้ว่ายินดีหรือโศกเศร้า
“มหายุคอะไรกัน ความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดก็หมายถึงอันตรายยิ่งยวด ผู้คนในใต้หล้าจับจ้องเพียงความรุ่งโรจน์ชั่วครั้งคราว แต่กลับไม่รู้เลยว่ามหากลียุคจะมาเยือน!”
เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เก็บตัวเงียบไม่รู้นานเท่าไรเกรี้ยวกราด ในน้ำเสียงเจือความหดหู่
“มหายุคดั่งเหยื่อล่อ นำมาซึ่งการจ้องหาโอกาสและความละโมบ ไฟสงครามแห่งเก้าดินแดนอยู่ไม่ไกลแล้ว…”
มีอริยะแห่งมหาวิหารธรรมคาดการณ์
“สมัยบรรพกาลแปดดินแดนบุกโจมตีก่อให้เกิดศึกแห่งการดับสูญ ทำให้เหล่าอริยะร่วงหล่นดั่งพิรุณ สำนักโบราณมากมายดับสิ้นในไฟสงคราม ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณแบ่งเป็นสี่ส่วน แยกออกเป็นสี่แผ่นดิน!”
“มหายุคในตอนนี้ต่างจากแต่ก่อน หากไฟสงครามถูกจุดชนวน ไม่ว่าอริยะหรือมดปลวกก็ไม่อาจไม่ข้องเกี่ยว!”
เวลานี้มีผู้ฝึกปราณของสำนักโบราณไม่รู้เท่าไรตื่นตระหนก ขนพองสยองเกล้าไปทั้งตัว รู้สึกตกตะลึงอย่างไม่อาจอธิบายได้ ด้วยพวกเขาเพิ่งเคยได้ยินข่าวเหล่านี้เป็นครั้งแรก
“รูปแบบที่ดินแดนรกร้างโบราณเชื่อมั่นมาเนิ่นนานจะต้องถูกปรับเปลี่ยนใหม่ในมหายุคครั้งนี้แน่ จะเด่นผงาดหรือพังพินาศในความรุ่งโรจน์นี้ ไม่มีใครรู้ได้!”
“ทุกอย่างล้วนขึ้นกับตัวแปร! คณาเคราะห์! โชคชะตา! ไม่มีใครสามารถตัดสินชี้ขาด”
“เรื่องทางโลกดั่งหมากกระดาน สถานการณ์นี้ยากคาดเดา!”
“เช่นนั้นก็มา… แข่งกันให้เต็มที่เถอะ!”
ความลับนับไม่ถ้วนหลุดออกจากปากเหล่าอริยะ ก่อให้เกิดคลื่นถาโถมโหมกระหน่ำ ทำให้ผู้ฝึกปราณแต่ละสำนักต่างรู้สึกหวั่นหวาดยากบรรยาย
มหายุค?
กลียุค?
ใครเล่าจะสามารถให้คำตอบ
ทุกคนต่างงุนงง สถานการณ์นี้ไม่อาจเข้าใจ!

ดินแดนรกร้างโบราณกำลังเปลี่ยนแปลง
แม้แต่ปุถุชนทั่วไปบนโลกก็ตื่นตระหนก ด้วยสถานการณ์ที่ราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ฟ้าดินสั่นสะเทือน ทุกหนแห่งล้วนโกลาหล
แต่ละคนต่างกำลังหลบหนี แต่กลับไม่รู้ว่าควรหนีไปที่ไหน เพราะแรงกระเพื่อมนั้นดำรงอยู่ทุกแห่งหน
ในป่าเขาลำเนาไพรเหล่าสัตว์อสูรวิ่งอย่างบ้าคลั่ง นกปีศาจแผดเสียงหวาดผวา
ในทะเลสาบและมหาสมุทร คลื่นทะเลม้วนซัดสิ่งมีชีวิตไหลไปตามกระแส
ไม่ว่าคนทั่วไปหรือผู้ฝึกปราณ ไม่ว่าภูตผีปีศาจหรืออริยะที่เข้าถึงมรรค ก็ล้วนไม่อาจสงบใจต่อหน้า ‘การเปลี่ยนแปลงชวนตะลึง’ ที่ไม่เคยมีมาก่อนฉากนี้
ต่อให้เป็นอริยะ ก็ไม่มีทางมองการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงที่กำลังเกิดขึ้นทั่วดินแดนรกร้างโบราณออกในปราดเดียว
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครรู้ว่าการสั่นสะเทือนครานี้มีเทือกเขาโผล่พ้นปฐพีหยัดทะลวงเมฆาเท่าไหร่
ไม่รู้ว่ามีชีพจรปราณวิญญาณ โอสถวิญญาณ สิ่งล้ำค่าและวัตถุดิบเทพเท่าไหร่เกิดขึ้นในแต่ละบริเวณทั่วหล้าราวหน่อไม้หลังฝน
ไม่รู้ว่ามีสัตว์ประหลาด ร่างวิญญาณเท่าไหร่อุบัติขึ้นบนโลกในเวลานี้
และไม่รู้ว่ามีโบราณสถาน ซากปรักหักพัง แดนลึกลับที่ถูกฝังกลบในสายน้ำแห่งกาลเวลาเท่าไหร่ปรากฏบนพิภพอีกครั้ง!
ทั่วดินแดนรกร้างโบราณต่างกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึง
ทุกสรรพสิ่งเริ่มต้นขึ้นเสมือนตื่นจากการจำศีล การเปลี่ยนแปลงนานัปการเปิดฉากด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ เปลี่ยนภาพลักษณ์และรูปแบบที่มีมาแต่เดิมบนโลก
กฎเกณฑ์วัฏจักร โชควาสนามหามรรค ไอวิญญาณฟ้าดิน… ล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง ผลักดันไปในทางรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด!

ตึง!
ท้องฟ้าเหนือสนามรบโบราณเกิดเสียงกึกก้องราวเสียงกลอง แฝงพลังกฎระเบียบสูงสุดของจักรวาลจนทำให้เทพเซียนภูตผีหวั่นหวาด
บนเวิ้งฟ้ามืดมัวมีหมอกหลากสีงามตระการแปลกตาแผ่พลังชีวิตอบอวล ทำให้ฟ้าดินแถบนี้พลันคลายลักษณ์พยับเมฆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมา
บนสนามรบโบราณที่เดิมปรักหักพังผุกร่อนเปี่ยมบาดแผล มีจิตวิญญาณอันอุดมไร้รูปหนึ่งกำลังไหลบ่าอาบแผ่นดิน
ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตขึ้นกลางซากปรักหักพัง ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนถูกปกคลุมด้วยกระแสอากาศราวหมอกควันชั้นหนึ่ง เสมือนภาพมายาอันพร่ามัว
ต้นไม้ใบหญ้ามีชีวิตชีวา แตกใบอ่อนเขียวขจีแวววาว สนามรบโบราณที่เปี่ยมไอมรณะราวคืนชีพจากความเหี่ยวเฉา ส่องประกายพลังชีวิตที่ต่างออกไป!
ใบไม้ไหวจึงรู้ทิศทางลม
แม้แต่สนามรบโบราณยังเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงเช่นนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าทั้งดินแดนรกร้างโบราณกำลังมีการเปลี่ยนแปลงเช่นไร!
“ฉากโหมโรงมหายุค ในที่สุดก็มาแล้ว!”
หน้าเมืองนำทาง ไม่ว่าพวกหลินสวินหรือผู้ฝึกปราณคนอื่นในที่นั้น หลังผ่านเหตุการณ์เขย่าขวัญช่วงแรกแล้ว เวลานี้สีหน้าต่างเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นเผยความมุ่งหวัง
พวกเขารู้สึกถึงพลังชีวิตอันยิ่งใหญ่กลางฟ้าดินได้อย่างชัดเจน ร่างกายเหมือนถูกน้ำพุใสสะอาดชะล้างรอบหนึ่ง ทำให้รู้สึกสบายไปทั้งตัว
สัมผัสที่มีต่อฟ้าดิน การหยั่งถึงมหามรรค และการควบคุมมรรคาราวเปลี่ยนเป็นเด่นชัดกว่าแต่ก่อน!
นี่เป็นเพราะพลังระเบียบมหามรรคแห่งใต้หล้ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
สำหรับคนรุ่นเยาว์แล้ว มหายุคก็คือความเปล่งประกายรุ่งโรจน์ ทำให้ผู้คนใจสั่นสะท้าน!
มหายุคมาเยือน นำมาซึ่งศุภโชคและวาสนาที่คาดไม่ถึง สามารถทำให้พวกเขาก้าวสู่ระดับมกุฎราชันที่ถวิลหาแม้ยามฝัน นี่คือสิ่งล่อใจที่ผู้ฝึกปราณคนใดต่างไม่อาจต้านทาน
ถ้าไม่อย่างนั้นเหล่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณไยต้องทนอยู่ในความเงียบงันแห่งกาลเวลา แล้วค่อยตื่นขึ้นมาบนโลกตอนนี้อย่างยากลำบากเล่า
ทุกอย่างล้วนเพื่อมหายุคนี้!
‘ในที่สุดก็มาแล้ว!’
นัยน์ตาดำของหลินสวินแหงนมองฟ้า อารมณ์ปั่นป่วน
ปีนั้นที่จากโลกชั้นล่างเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ มาด้วยเหตุใด
หนึ่งเพื่อแก้แค้น
สองเพื่อเข้าถึงมรรค!
การแก้แค้นมีวี่แววแล้ว
และการเข้าถึงมรรคก็อยู่ในมหายุคนี่!
หลินสวินยังจำคำพูดที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าเคยกล่าวก่อนตนจากมาได้ชัดเจน
‘ดินแดนรกร้างโบราณจะต้องกลายเป็นดินแดนแห่งการช่วงชิงมรรคที่ผู้แข็งแกร่งแก่งแย่ง โลกจะตกอยู่ในความโกลาหลอย่างไม่เคยมีมาก่อนด้วยเหตุนี้!’
‘เจ้าไปเยือนดินแดนรกร้างโบราณครั้งนี้ จำไว้เพียงคำเดียวก็พอแล้ว’
‘สู้!’
‘การต่อสู้แห่งมหามรรคประหนึ่งร้อยนับร้อยแย่งกันวิ่งบนผิวน้ำ รั้งท้ายเพียงก้าว ชีวิตนี้ก็อาจไม่มีหวังได้ก้าวสู่จุดสูงสุดแห่งมหามรรคอีก!’
‘และถ้าอยากช่วงชิงศุภโชคใหญ่ในมหายุคที่กำลังจะเปิดม่านขึ้นนี้ สิ่งที่ต้องใช้ก็คือพลัง’
‘การกระทำที่ผ่านมาของเจ้ามักจะใช้วิธียืมพลังผู้อื่นมาสะท้อนพลัง นี่เป็นเพียงกลวิถีเล็กๆ เท่านั้น เจ้าต้องจำไว้ว่าเมื่อเผชิญหน้าพลังที่แท้จริง แม้สติปัญญาของเจ้าจะล้นฟ้า กลยุทธ์ตะลึงโลก ก็ยังจะถูกโจมตีจนร่างแหลกละเอียดอย่างแน่นอน’
‘พลัง นี่แหละคือมหามรรค!’
‘การเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิต การยกระดับพลังปราณ ความยิ่งใหญ่แห่งจิตวิญญาณ ความแข็งแกร่งของร่างกาย กล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็ล้วนสะท้อนอยู่ในการเปลี่ยนแปลงของพลังที่ตนครอบครองทั้งสิ้น’
‘พลังเช่นนี้สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นราชันสูงสุด สามารถต้านทานมหาอมตะเคราะห์ ทั้งสามารถสร้างมรรคบรรลุสู่อริยะ!’
‘มหามรรคเหล่านี้ก็เป็นพลังอย่างหนึ่ง เพียงแต่ต้องหยั่งรู้และเข้าใจ’
‘วิชานับหมื่นพันก็คือวิธีการใช้พลัง เพียงแต่ต้องฝึกฝนและควบคุม’
‘แม้แต่ความรู้ ประสบการณ์ ความคิดความอ่านที่เจ้าครอบครองก็เป็นพลังภายในอย่างหนึ่ง มีสิ่งเหล่านี้จึงจะทำให้เจ้าเข้าใจแก่นแท้จริงของการฝึกปราณยิ่งขึ้นไปอีกขั้น’
‘พลังไม่ได้ถึงแรงเท่านั้น แต่เป็นการอธิบายคำว่าบำเพ็ญเพียรที่เรียบง่ายที่สุด!’

หลินสวินในตอนนี้ได้ก้าวสู่ระดับกระบวนแปรจุติขอบเขตมกุฎแล้ว แต่ยามนึกถึงคำพูดที่จักรพรรดิเคยกล่าวในปีนั้นก็ยังรู้สึกสะท้อนก้องในหู
ในสมองปรากฏเงาร่างชายชุดเขียว เท้าสวมรองเท้าสาน ร่างสูงตระหง่านดั่งสนขจีต้นหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
นี่คือยอดผู้แข็งแกร่งที่ทำให้ประชาชนในใต้หล้ายำเกรง ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนก้มหัวยอมสวามิภักดิ์คนหนึ่ง
อยู่ต่อหน้าเขาก็เหมือนเผชิญหน้านายเหนือหัวที่บัญชาตะวันจันทรา ควบคุมฟ้าดิน ยืนตระหง่านอยู่เหนือโลกาพิภพ!
พริบตานี้หลินสวินถึงได้รู้ว่าจักรพรรดิผู้นี้ทรงอานุภาพมากแค่ไหน หลายปีก่อนก็คาดเดาเรื่องมหายุคจะมาเยือนได้แล้ว ทั้งยังกล่าวเตือนพร่ำบอกตนด้วย
เวลานี้ไม่ใช่แค่หลินสวิน แม้แต่อาหลู่และเจ้าคางคกที่อยู่ข้างกายก็ยังมีความรู้สึกต่างกันไป จิตใจปั่นป่วน สายตามองไปยังเวิ้งฟ้าพร้อมกัน ความคิดฟุ้งซ่าน
ผู้ฝึกปราณคนอื่น ณ ที่นั้นก็เป็นแบบเดียวกัน!
มหายุคครานี้ในที่สุดก็จะเผยผ้าคลุมปริศนาออกต่อหน้าพวกเขา การเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตนั้น ไม่อาจอธิบายโดยละเอียดได้จริงๆ

แรงกระเพื่อมที่กระเทือนทั่วดินแดนรกร้างโบราณครานี้นานต่อเนื่องสิบวันเต็ม
ภายในสิบวันนี้สี่แดนวิภูได้ผสานรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ เผยโฉมหน้าและภาพของดินแดนรกร้างโบราณสมัยบรรพกาลอีกครั้ง
ภายในสิบวันนี้เขตแคว้นนับไม่ถ้วน เมืองมากมาย ชานเมืองอันเวิ้งว้างไร้สิ้นสุดในใต้หล้า ต่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน
ไอวิญญาณหนาแน่นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว
สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนให้กำเนิดผลผลิตและทรัพยากรที่เพียงพอทำให้ผู้คนคลุ้มคลั่ง
แม้แต่กฎระเบียบวัฏจักร หลักการฟ้าดิน โชควาสนามหามรรค… ก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน
เมื่อเผชิญเคราะห์ร้ายถึงขีดสุดจึงประสบเคราะห์ดี!
หลังจากศึกแห่งการดับสูญเมื่อครั้งบรรพกาล ดินแดนรกร้างโบราณที่แตกแยกได้เงียบสงบมานานเหลือเกิน บัดนี้พลังที่รวบรวมไว้ในที่สุดก็ระเบิดออก กลายเป็นภาพมหายุคในวันนี้!
เรียกมันว่าความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน นับว่าไม่ใช่การกล่าวเกินจริง!
และภายในสิบวันนี้ ‘สถานที่นำทาง’ สามพันแห่งที่กระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ของดินแดนรกร้างโบราณ ก็ได้ดึงดูดผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนให้มาเยือน
อัจฉริยะ ผู้โดดเด่น ผู้กล้า สัตว์ประหลาดยุคโบราณ ปีศาจแห่งยุค… หลั่งไหลมายัง ‘สถานที่นำทาง’ สามพันแห่งจากที่ต่างๆ ราวกระแสน้ำหลาก
เพราะเมื่อม่านโหมโรงแห่งมหายุคได้เปิดฉาก แดนมกุฎก็จะมาเยือน!
มีเพียงเฝ้ารออยู่ที่สถานที่นำทางถึงจะสามารถเข้าไปในแท่นมรรคบูชาอริยะได้ จากนั้นค่อยเข้าสู่แดนมกุฎที่ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนถวิลหาแม้ยามฝัน
วายุก่อ
เมฆาซัด
สายตาทั่วหล้าเริ่มจับจ้องอยู่กับการต่อสู้แห่งมกุฎนี้!
……………

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset