Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1183 ผลดารารายกับศิลาต้นกำเนิด

มกุฎราชัน!
แต่ละคำดุจอสนี!
จากท่าทางตื่นตระหนกระคนหวาดกลัวจนวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของรุ่ยม่านหรง ไปจนถึงกระบวนมรรคราชันที่ปกคลุมตัวภูเขาซึ่งถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
และมาถึงตอนนี้ที่ได้ยินคำที่เจือกลิ่นอายแห่งตำนานและความสั่นสะท้านอยู่แล้วคำนี้ แรงกระเทือนต่อเนื่องเหมือนทะเลพิโรธคลื่นคลั่งส่งผลให้ผู้แข็งแกร่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรเหล่านี้ล้วนนิ่งอึ้ง สะเทือนไปทั้งกายใจยิ่งนัก
บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดตามไปด้วย กดข่มจนทุกหายใจติดขัด
เดิมทีมีคนอวดดีว่าตัวเป็นราชัน ดูถูกดูแคลนหลินสวิน ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
เดิมทีทุกคนพอได้ยินว่าหลินสวินมาเยือนถึงที่เอง ยังประหลาดใจและยินดี
ตอนนี้ล้วนดวงตาเบิกกว้าง ท่าทางไม่ทันตั้งตัว สับสนงงงวยทันทีเหมือนเป็ดถูกบีบคอไว้
หลินสวินกวาดสายตามองพวกเขาปราดหนึ่ง ก็ถูกบริเวณหน้าผาตรงยอดเขาดึงดูด ที่นั่นมีต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง ลำต้นเหมือนฉิวหลง เปลือกไม้แก่แตกออกเป็นแผ่น เก่าแก่ผิดธรรมดา
บนกิ่งก้านโล้นเลี่ยนมีเพียงดอกตูมสีขาวราวหิมะน้ำแข็งสลักดอกหนึ่งควบรวมอยู่ ประกายแสงไหลหลั่ง แสงเทพดุจมายาสายแล้วสายเล่าลู่ลงมา กลิ่นหอมเย็นๆ ซึบซาบเข้าไปในหัวใจผู้คน
เพียงมองปราดเดียวก็ทำให้หลินสวินประหลาดใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นไม้เทพต้นหนึ่ง ดอกตูมที่ควบรวมอยู่บนนั้นต้องไม่ธรรมดาถึงที่สุด
“นี่เป็นไปไม่ได้ แดนอัคคีทักษิณจวบจนตอนนี้มีเคราะห์มกุฎราชันปรากฏมาหลายร้อยครั้ง มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่ข้ามผ่านด่านเคราะห์กลายเป็นมกุฎราชัน ส่วนมากล้วนพ่ายแพ้ ตายไปด้วยความคับแค้นใจ”
ทันใดนั้นมีคนเอ่ยเสียขรึม “แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่มีเคราะห์มกุฎราชันที่เทพมารหลินชักนำสักเคราะห์เดียว!”
คนผู้นี้คือชายหนุ่มชุดแดงผู้หนึ่ง สีหน้ากราดเกรี้ยว ไม่อาจเชื่อทุกอย่างนี้
ทุกคนกระสับกระส่าย ฉงนใจไม่ว่างเว้น
หากไม่ใช่ระดับมกุฎราชัน เทพมารหลินผู้นี้จะแข็งแกร่งปานนี้ได้อย่างไร
หลินสวินชักสายตากลับมา ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “คำที่ข้าเพิ่งพูดไปที่ตีนเขาข้าพูดจริงนะ ขอเพียงพวกเจ้าสวามิภักดิ์ ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ให้การนองเลือดมากมายเกิดขึ้นที่นี่ได้”
เพิ่งพูดจบก็มีคนตะคอกดาลเดือดว่า “ละเมอเพ้อพก!”
ปึง!
เงาร่างหลินสวินไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ใต้เท้ากลับมีชือน้ำแข็งตัวหนึ่งผุดขึ้นมา ทะยานขึ้นไปในอากาศ หางดุจแส้เทพมหามรรคตบกะโหลกคนผู้นั้นจนแหลกตายคาที่ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
เสียงหวีดร้องดังขึ้นในที่นั้น ทุกคนแตกตื่น ทั้งตระหนกทั้งหวาดกลัว เทพมารหลินผู้นี้ถึงกับกล้าฆ่าคนอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา!
“หลินสวิน เจ้าไม่กังวลว่าเมื่อศิษย์พี่เวินเอ้าไห่กลับมาจะกำจัดเจ้าทิ้งหรือ”
ชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นหน้าคล้ำเขียว ตาแทบหลุดจากเบ้า
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลินสวินก็กระจ่างทันที พูดกับตัวเองว่า “มิน่าก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ คนที่ปรากฏถึงมีแต่หมูหมากาไก่อย่างพวกเจ้า ที่แท้เวินเอ้าไห่อะไรนั่นก็ไม่อยู่ที่นี่”
หมูหมากาไก่?
ผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรต่างรู้สึกอับอายและกราดเกรี้ยวหาใดเทียบ
“ไม่ยอมแพ้หรือ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีแล้วกัน” หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
เขากำลังจะลงมือ ชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นก็พูดออกมาแล้วว่า “ช้าก่อน!”
จากนั้นเขามีสีหน้าเจ็บปวด เผยให้เห็นความไม่ยินยอม พูดเสียงต่ำเบาว่า “พวกข้า… ยอมสวามิภักดิ์!”
“ศิษย์พี่เมิ่ง!”
ผู้อื่นพากันหน้าสลด ยอมรับได้ยาก
ชายหนุ่มชุดแดงสูดหายใจลึก พูดอย่างแน่วแน่ว่า “ก็ทำเช่นนี้แล้วกัน!”
ทุกคนไม่อาจสงบใจได้
ตัวมีฐานะเป็นผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร ตอนนี้กลับถูกผู้อื่นบีบบังคับ กดดันจนต้องยอมสยบให้ นี่ใครจะยอมได้กัน
ย่อมเป็นความอัปยศใหญ่หลวง!
“คุกเข่า”
หลินสวินน้ำเสียงเรียบเฉย
เพียงสองคำทำให้ชายหนุ่มชุดแดงแทบจะตะบึงออกไปอย่างอดไม่ได้ ยอมสวามิภักดิ์แล้ว เทพมารหลินผู้นี้ยังอยากทำให้พวกเขาอับอายอีกหรือ
“เทพมารหลิน เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”
มีคนเก็บกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ตะโกนออกมาอย่างขัดเคือง
ปึง!
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ แสงมรรคแถบหนึ่งเคลื่อนออกมากำจัดคนผู้นี้ ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่างกาย แปรสภาพเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน
“เจ้า…”
คนอื่นแทบเสียสติ ทั้งโกรธทั้งอายถึงที่สุด และประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่งด้วย
หลินสวินเอามือไพล่หลัง ดวงตาดำเยียบเย็นกวาดมองทุกคน “ในเมื่อสวามิภักดิ์ก็ควรมีท่าทีสวามิภักดิ์ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้แผนการในใจพวกเจ้าว่าคิดจะอดทนไว้ชั่วคราวเท่านั้น รอเวินเอ้าไห่นั่นกลับมาช่วยพวกเจ้า”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของทุกคนล้วนทั้งซีดขาวคล้ำเขียวปนเปกันไปครู่หนึ่ง เงียบเชียบไม่ส่งเสียง
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า รอเวินเอ้าไห่กลับมาเสียที่นี่”
หลินสวินน้ำเสียงเฉยชา “แต่ก่อนหน้าสิ่งนี้ พวกเจ้าว่านอนสอนง่ายจะเป็นการดีที่สุด แม้ว่าเวินเอ้าไห่จะกลับมาก็เกรงว่าจะช่วยพวกเจ้าไม่ได้!”
ตุ้บ!
ในที่สุดชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นก็นำคุกเข่า หน้าถอดสี
คนอื่นเห็นเช่นนี้ สิ่งที่ค้ำจุนภายในจิตใจเหมือนถล่มลงมา จึงคุกเข่าตามกันอย่างต่อเนื่อง
หลินสวินไม่ได้ตั้งใจทำให้อับอาย แต่เป็นการทำตามแผนของเขาแต่เดิม ให้แน่ใจว่าจะไม่หลงเหลือปัญหาในอนาคตแม้แต่นิดเดียว
แต่เขาเพิ่งมาถึง ไม่คุ้นเคยกับแดนอัคคีทักษิณโดยสิ้นเชิง จำเป็นต้องรู้ข่าวสารต่างๆ อย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้สุดท้ายจึงตัดสินใจไว้ชีวิตคนพวกนี้สักครั้ง
อีกทั้งเมื่อจัดการเรื่องจุกจิกบางอย่างก็สามารถเรียกใช้คนเหล่านี้ได้ ดังนั้นจึงทำให้ตนสามารถประหยัดเวลาฝึกปราณได้มากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าหลินสวินไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน ยามเขาจากไปย่อมต้องจัดการผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรเหล่านี้
ส่วนจะฆ่าหรือจะปล่อย ก็ขึ้นอยู่กับการแสดงออกของพวกเขา
……
ครึ่งเค่อผ่านไป
หลินสวินรู้แล้วว่าเขาแห่งนี้มีนามว่า ‘ดาราราย’
เดิมเป็นอาณาเขตของวิหคดารารายแปดปีก ภายหลังถูกเวินเอ้าไห่นำเหล่าผู้แข็งแกร่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรมายึดครอง
ภูเขาลูกนี้สูงสามพันเก้าร้อยจั้ง มีลักษณะสูงชัน เต็มไปด้วยจิตวิญญาณล้ำเลิศ รวบรวมไอวิญญาณทั่วสารทิศเอาไว้
ในโลกภายนอก เรียกได้ว่าเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลชั้นสูงที่พบเห็นได้ยากยิ่ง
แต่ตามคำพูดของผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรเหล่านี้ ในแดนอัคคีทักษิณ ‘แดนมงคล’ จำพวกนี้แม้ไม่ได้พบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็ไม่ได้มีน้อยแน่
กระทั่งว่ายังมีแดนมงคลบางแห่งงดงามและมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเขาดารารายเสียอีก เป็น ‘ร่องรอยเทพ’ และ ‘แดนพิสุทธิ์’ ที่แท้จริง
เพียงแต่สถานที่ระดับนั้นมีจำนวนน้อยนิด ทั้งถูกขุมอำนาจใหญ่ชั้นเลิศยึดครองไปก่อนแล้ว!
บนเขาดารารายมีวัตถุดิบเทพชนิดหนึ่งนามว่า ‘ทองเทพสมประสงค์’ ล้ำค่าและหายากถึงที่สุด ในโลกภายนอกสาบสูญไปนานแล้ว
หลังจากผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรเข้ายึดครองที่นี่ ก็สกัดทองเทพสมประสงค์มาโดยตลอด
พร้อมกันนั้นบนเขายังมี ‘น้ำพุวิญญาณเศษทอง’ ตามธรรมชาติหนึ่งแห่ง น้ำพุที่ไหลหลั่งออกมาเป็นเม็ดแวววาวราวไข่มุก บริสุทธิ์ยิ่งกว่าแกนวิญญาณเสียอีก สามารถใช้ในการฝึกปราณของผู้แข็งแกร่งระดับราชันได้
นอกจากนี้บนเขาดารารายยังมีโอสถวิญญาณมากมาย ของล้ำค่าที่มีคุณลักษณะถึงขั้นราชันก็มีไม่ขาด!
พูดง่ายๆ ที่นี่ก็คือแดนมงคลแห่งหนึ่ง พบได้ยากในโลกภายนอก หากได้ยึดครองก็ไม่ต่างอะไรกับได้รับมหาศุภโชคครั้งหนึ่ง
ทว่าที่ดึงดูดใจหลินสวินที่สุดก็ยังเป็นไม้เทพที่อยู่ด้านข้างหน้าผาตรงยอดเขาต้นนั้น
“ตามที่ศิษย์พี่เวินเอ้าไห่ว่าไว้ นี่คือไม้เทพดารารายต้นหนึ่ง ดอกตูมที่ควบรวมอยู่บนนั้นใช้เวลาไม่นานก็จะออกผลดาราราย”
รุ่ยม่านหรงสีหน้าเศร้าสลด ฝืนทำตัวมีชีวิตชีวา “พูดง่ายๆ ผลดารารายนี้ก็คือโอสถเทพที่แท้จริงชนิดหนึ่ง”
โอสถเทพ!
สมบัติหายากประหนึ่งเทียมเทพ สามารถซ่อนแฝงจิตวิญญาณ!
ในโลกภายนอก มูลค่าของโอสถเทพต้นหนึ่งสูงกว่ายอดศาสตรามรรคราชัน หายากถึงที่สุด ทั้งมีเพียงในสำนักโบราณเหล่านั้นถึงสามารถเลี้ยงของเทพเช่นนี้ได้ หนำซ้ำยังมีจำนวนน้อยนัก
คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโอสถเทพ นอกจากช่วยส่งเสริมการฝึกปราณ สร้างเสถียรภาพให้กับระดับพลังปราณแล้ว ยามผู้แข็งแกร่งระดับราชันข้ามด่านเคราะห์อมตะ ยังมีคุณประโยชน์อันเหลือเชื่ออีกด้วย
แม้พลังกายอ่อยล้า บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ขอเพียงกลืนกินโอสถเทพต้นหนึ่งก็สามารถฟื้นตัวได้ในชั่วพริบตา ไม่ด้อยไปกว่าได้ชีวิตใหม่!
ส่วนผู้ฝึกปราณที่มีระดับต่ำกว่าราชัน ไม่อาจย่อยพลังของโอสถเทพได้เลย ทันทีที่เผลอกินเข้าไป กลับทำลายมรรควิถีของตัวเองเพราะรับพลังโอสถไว้ไม่ได้
หลินสวินยืนอยู่เบื้องหน้าต้นดาราราย จดจ้องดอกตูมราวหิมะน้ำแข็งบนกิ่งก้านดอกนั้น ในใจก็ใช้ความคิดไม่ว่างเว้น
ดอกไม้ดอกนี้ขนาดเท่ากำปั้น รัศมีเทพอบอวล มีประกายแสงงดงามราวหิมะน้ำแข็งหลั่งไหล กลีบดอกแต่ละกลีบมีลายมรรคลึกลับหนาแน่นประทับไว้ กระจายกลิ่นหอมน่าลุ่มหลงออกมา
เมื่อพินิจโดยละเอียด ภายในเกสรดอกไม้ที่ปกคลุมไปด้วยประกายแสงนั้น คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีคนตัวเล็กคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิไม่ไหวติงอยู่ในนั้น เหมือนกำลังฝึกปราณ ถึงกับให้ความรู้สึกผุดผ่องดังพระพุทธรูปที่น่าเกรงขาม!
นี่ก็คือตัวอ่อนของจิตวิญญาณ
เมื่อดอกตูมโตเต็มที่แล้วออกผลมา ก็จะมีลักษณะ ‘เทียมเทพ’!
อีกทั้งตามที่หลินสวินคาดการณ์ไว้ อย่างมากที่สุดไม่เกินหนึ่งเดือน ผลดารารายผลนี้ก็จะสุก สามารถเด็ดได้
สำหรับหลินสวินแล้ว ในการฝึกปราณภายหน้า โอสถราชันก็จะกลายเป็นของจำเป็น ส่วนโอสถเทพก็จะเป็นของฟุ่มเฟือย บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ
ที่ด้านหนึ่งของต้นไม้เทพ ยังมีบ้านหินเรียบง่ายหลังหนึ่งสร้างไว้
หลินสวินเอ่ยอย่างครุ่นคิด “นี่ก็คงเป็นสถานที่ฝึกปราณของเวินเอ้าไห่กระมัง”
รุ่ยม่านหรงสีหน้าสลดลงไปอีก แล้วพยักหน้า
ในใจนางอัดอั้นและต่อต้านนัก รู้สึกอดสูหาใดเทียบ แต่กลับต้องโอนอ่อนผ่อนตาม นี่ทำให้ใจนางได้รับความทรมาน
หลินสวินไม่สนใจนาง ผลักประตูบ้านหินเข้าไป
ทันใดนั้นละอองแสงเข้มข้นหาใดเปรียบก็พุ่งออกมาจากในบ้าน แล้วแปรสภาพเป็นรูปงูมังกรขดตัวอย่างคลุมเครือ!
“ไอวิญญาณน่าตระหนกนัก!”
ตาดำของหลินสวินลุกวาว ตอนนี้ถึงสังเกตได้ว่าภายในบ้านหินหลังนี้กลับมีความเร้นลับอีก
เขาเดินเข้าไปภายในก็พบว่าพื้นที่ไม่ใหญ่นัก แต่ที่อบอวลอยู่กลับมีแต่ไอวิญญาณเข้มข้นราวจับต้องได้ อยู่ในนั้นก็เหมือนแช่อยู่กลางน้ำพุ
ผ่านหมอกวิญญาณ ตอนนี้หลินสวินถึงเห็นชัดว่าบนพื้นมีหินหยกสีทองอ่อนแปลกประหลาดแถบหนึ่งผุดออกมาจากพื้นตามธรรมชาติ เรียบลื่นราวกระจก ภายในเหมือนบรรจุทะเลแห่งหนึ่งไว้ ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ไพศาลและผุดผ่อง
ละอองแสงไอวิญญาณถาโถมนั้นกำลังผุดออกมาไม่ขาดสายจากหยกสีทองอ่อนนี้!
“ศิลาต้นกำเนิด!”
มองปราดเดียวหลินสวินก็ตัดสินของสิ่งนี้ได้ ในใจสั่นสะท้านอย่างอดไม่อยู่
ชีพจรปราณวิญญาณรวบรวมไอวิญญาณแห่งฟ้าดิน พบเห็นได้บ่อยในโลก แต่ชีพจรปราณวิญญาณที่ควบรวมออกมาเป็นศิลาต้นกำเนิด กลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!
และมีเพียงในชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิมเท่านั้น ถึงมีสิ่งอัศจรรย์ระดับนี้
ชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิมที่ว่านั้น ก็คือชีพจรปราณวิญญาณที่มีมาตั้งแต่สมัยแรกกำเนิดโลก ดำรงมาถึงปัจจุบัน มีกลิ่นอายที่สั่งสมมานานปี
ในโลกภายนอก ไม่ใช่ว่าไม่มีชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิม แต่มีน้อยถึงที่สุด แม้แต่สำนักโบราณบางสำนักยังไม่ได้ครอบครองกระทั่งตอนนี้!
“ที่นี่ ต่อไปจะกลายเป็นที่ฝึกปราณของข้า”
หลินสวินยึดครองที่นี่อย่างไม่เกรงใจสักนิด ที่น่าเสียดายก็คือ ไม่ว่าจะเป็นชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิมหรือศิลาต้นกำเนิด ล้วนไม่อาจถูกเคลื่อนย้ายได้
หาไม่แล้ว หลินสวินต้องไม่ถือสาที่จะเอามันไปแน่!
รุ่ยม่านหรงสีหน้าวูบไหวไม่ว่างเว้น ในใจก็ทดท้อจนไม่อาจเพิ่มพูนได้แล้ว ไม่เพียงผลดารารายถูกจับจ้อง แม้แต่ศิลาต้นกำเนิดก็ถูกยึดครอง
หากศิษย์พี่กลับมา ยังไม่รู้ว่าจะโกรธจนเป็นเช่นไร…
——

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset