Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1267 เมืองมรณะ?

“นั่นมันวายุเคราะห์ภัยพิบัติ!”
นกทมิฬสูดหายใจด้วยความตกใจ “นี่คือพายุแห่งความอัปมงคลที่สามารถเป่าวิญญาณอริยะให้สลายได้ น่ากลัวอย่างหาที่สุดไม่ได้”
หลินสวินเองก็หวั่นใจ มิน่าแดนธรรมสถูปแห่งนี้จึงถูกมองว่าเป็นแดนแห่งมหันตภัย น่ากลัวมากจริงๆ
หนทางหลังจากนั้นพวกหลินสวินต่างระแวดระวังขึ้นมา
ฮูม…
วายุเคราะห์ภัยพิบัติสีดำที่ราวกับหมอกดำกลุ่มหนึ่งร่ายรำอยู่กลางฟ้าดิน ทำให้คนหวั่นใจ
โชคดีที่มันมีร่องรอยให้ติดตาม สามารถหลบหนีล่วงหน้าได้ มิฉะนั้นไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าบุกพื้นที่แห่งนี้
โฮก!
ไม่นานเสียงคำรามรุนแรงอย่างยิ่งดังขึ้นบนภูเขารกร้างที่ไม่มีหญ้าขึ้นอยู่เลยแม้แต่ต้นเดียว
ทอดสายตามองไป เงาร่างสูงใหญ่หลายพันจั้งปรากฏบนยอดเขา ดวงตาแดงก่ำ ใหญ่ยิ่งกว่าทะเลสาบ ศีรษะค้ำฟ้า ถูกหมอกโลหิตม้วนตัวปกคลุมไปทั้งตัว
เพียงแค่เสียงคำรามเดียวก็สะเทือนจนหลินสวินกับนกทมิฬเลือดลมพลุ่งพล่านระลอกหนึ่ง
“นี่คือเสี้ยววิญญาณมารสวรรค์!”
นกทมิฬร้องเสียงแหลม
มารสวรรค์ เป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ประหลาดที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในห้วงอากาศนอกอาณาเขต น่ากลัวอย่างที่สุด
ในตำราโบราณบันทึกว่า ตอนที่ข้ามผ่านเคราะห์อริยะจะดึงดูดมารสวรรค์นอกอาณาเขตมาจู่โจม หากไม่ระวังก็จะเจอจุดจบที่วิญญาณแตกซ่าน!
และที่นี่ กลับมีเสี้ยววิญญาณมารสวรรค์ดวงหนึ่งปรากฏขึ้น!
เงาร่างที่สูงใหญ่อย่างที่สุดของเขาอำพรางอยู่ท่ามกลางหมอกเลือด กลิ่นอายที่แพร่กระจายออกมาดุร้ายและเหี้ยมโหด ทำให้ฟ้าดินทั้งผืนล้วนสั่นไหว
ทว่ามองไปอย่างละเอียด บนร่างของเสี้ยววิญญาณมารสวรรค์ประทับลายอักษรยันต์สีทองอร่าม กำลังเปล่งแสงระยิบระยับเต็มไปด้วยจิตฌาน
“โอมมณีปัทเมฮุม! นี่คือคาถาหกอักษรที่มีชื่อเสียงที่สุดในสำนักพุทธ!”
นกทมิฬจำลายยันต์นั่นได้ ดวงตาแทบจะหลุดออกมา “ลายยันต์นี้ต้องเป็นอริยสงฆ์ผู้หนึ่งทิ้งไว้แน่ มิฉะนั้นไม่มีทางกำราบมารสวรรค์ตัวนั้นได้แน่”
“พูดแบบนี้ แดนธรรมสถูปแห่งนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก ว่าอาจจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้บำเพ็ญธรรมหรือ”
หลินสวินสายตาวูบไหว
นกทมิฬพูดอย่างสบายๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ร่างต้นของกู่ฝอจื่อก็ได้รับศุภโชคพลิกฟ้าที่นี่แหละ เติมเต็มมรรคาที่พร่องของตน”
ทันใดนั้นมันพลันถอนหายใจอย่างเศร้าระทม “น่าเสียดายลายยันต์หกอักษรนี่ไม่สามารถถูกชิงไปได้ มิฉะนั้นด้วยสมบัตินี้ ก็สามารถสำแดงการโจมตีเต็มกำลังเทียบเท่าระดับอริยะ เป็นอาวุธสังหารชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน”
“นั่นอะไร”
ไม่นานหลินสวินหรี่ตา ก็เห็นกลางอากาศห่างออกไปปรากฏเมืองที่ใหญ่โตอย่างที่สุด!
เมืองแห่งนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่สุด เหมือนเมืองที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ กำแพงเมืองราวกับหลอมจากทองเทพที่สว่างไสว แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ไพศาลและรุนแรง มองจากไกลๆ ก็ทำให้หัวใจสะท้านแล้ว
“หืม?”
นกทมิฬเองก็ตกใจ “สถานที่ที่แปลกประหลาดและอันตรายเช่นนี้ มีเมืองปานอริยะเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ไปดูกันหน่อย”
หลินสวินกับนกทมิฬมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ที่นั่นพร้อมกัน
เมื่อเข้ามาใกล้ก็พบว่าเมืองกลางอากาศนั่นเหมือน ‘เมืองเทพ’ ในตำนานไม่มีผิดเพี้ยน ศักดิ์สิทธิ์และกว้างใหญ่ไพศาลมากเกินไปแล้ว
ประกายแสงสว่างไสวนั่นย้อมฟ้าดินเป็นสีเหลืองทอง
ในเวลาเดียวกันท้องฟ้าเหนือเมืองมีเมฆมงคลรวมตัว ฝนมงคลโปรยปราย รุ้งเทพล้อมรอบ แสงประกายไหลเวียน เพียงแค่ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ก็ไม่เหมือนสิ่งที่ในโลกสามารถมีได้แล้ว
เมื่ออยู่หน้าเมืองทุกคนราวกับมดตะนอย รู้สึกเล็กกระจ้อยร่อยขึ้นมา เพราะมันสูงตระหง่านและใหญ่โตเกินไป!
หลินสวินกับนกทมิฬต่างอึ้งไม่น้อย
ตลอดทางในแดนธรรมสถูปแห่งนี้อันตรายและแปลกประหลาด มีไอสังหารน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ปรากฏอยู่ตลอดเวลา
อย่างเช่นวายุเคราะห์ภัยพิบัติ เสี้ยววิญญาณมารสวรรค์เป็นต้น
แต่ตอนนี้กลับมีสถานที่ที่เหมือนเมืองเทพแห่งหนึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ สูงตระหง่านโดดเด่น กว้างโอ่อ่าศักดิ์สิทธิ์ จะไม่ให้ตะลึงได้อย่างไร
“มีคน!”
ไม่ทันไรหลินสวินก็พบว่ารอบๆ เมืองเทพนั่นมีเงาร่างผู้ฝึกปราณยืนตระหง่านอยู่มากมาย ล้วนกำลังพินิจและสำรวจ ‘เมืองเทพ’ แห่งนั้น
เขากับนกทมิฬเข้าไปใกล้โดยไม่ทิ้งร่องรอย เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเลย ว่าในแดนธรรมสถูปแห่งนี้มีเมืองเทพเช่นนี้ด้วย”
“ที่เจ้าพูดไม่ผิด เมืองนี้เพิ่งปรากฏที่นี่เมื่อวาน แปลกประหลาดอย่างที่สุด”
“เหตุใดทุกท่านไม่เข้าไปสำรวจสักหน่อย แต่เลือกที่จะอยู่ที่นี่”
“สหายยุทธ์ เจ้าเพิ่งมาสินะ ไม่รู้หรอกว่าทุกสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นล้วนเป็นภาพมายา เมืองนี้ น่ากลัวกว่าที่เจ้าจินตนาการมาก!”
ฟังเสียงวิจารณ์ ทำให้หลินสวินกับนกทมิฬรู้ว่า เมืองนี้เพิ่งปรากฏเมื่อวาน
‘มิน่าช่วงนี้จึงมีผู้ฝึกปราณมากมายขนาดนั้นเสี่ยงอันตรายมารวมตัวกันที่นี่ ที่แท้ในแดนธรรมสถูปแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ ด้วย’
หลินสวินคล้ายขบคิด
“ไม่หรอกมั้ง เมืองนี้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ จะน่ากลัวได้ขนาดไหน”
ตอนนี้เองมีคนอดถามไม่ได้
ตูม!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เห็นกลางอากาศประกายศักดิ์สิทธิ์ทั่วฟ้าล้วนเปลี่ยนเป็นหมอกดำแปลกประหลาดราวกับน้ำหมึก พร้อมกับเสียงกึกก้องสนั่นหู
เมฆมงคล ฝนมงคล รุ้งเทพ ประกายแสง… ล้วนหายไปในหมอกดำ!
ที่น่ากลัวที่สุดคือ เมืองที่เดิมสูงตระหง่านราวกับหลอมจากทองเทพ กลับเป็นสีดำสนิททั้งหมด!
ในเวลาเดียวกันเสียงร้องโหยหวนที่พาให้อกสั่นขวัญแขวนเป็นระลอกก็ดังจากเมืองที่สูงตระหง่านนั่น
เมื่อมองอย่างละเอียด สามารถเห็นได้รางๆ ว่าศพที่ไม่สมประกอบและเน่าเปื่อยมากมายเดินอยู่ในเมือง เงาร่างส่ายไปมา หมอกดำอบอวล
“สวรรค์!”
มีคนร้องตะโกน ตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็น
ผู้แข็งแกร่งหลายคนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ก่อนหน้านี้เมืองแห่งนั้นศักดิ์สิทธิ์และกว้างใหญ่ไพศาล งามอร่ามเรืองรอง แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเมืองผี เต็มไปด้วยภาพที่แปลกประหลาดน่าอนาถ
กลิ่นอายเหี้ยมโหดดุร้ายที่ปะทะเข้ามาทำให้ฟ้าดินฝั่งหนึ่งเปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิง แม้เป็นหลินสวินและนกทมิฬก็ยังใจสั่นขึ้นมาระลอกหนึ่ง
แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
“เจ้าดูตรงนั้น”
ดวงตาของนกทมิฬวาบประกายศักดิ์สิทธิ์ มองไปที่ด้านบนของประตูเมืองจากระยะไกล บนนั้นมีอักษรแถวหนึ่ง ‘สถานที่แห่งความตาย ผู้มีชีวิตห้ามเข้า!’
ทุกตัวอักษรล้วนหลั่งเลือด วนเวียนอยู่ในหมอกดำ สะท้านใจผู้คน!
“ในคำเล่าลือ ยุคแรกแห่งบรรพกาลกลางฟ้าดินมีเมืองมรณะแห่งหนึ่ง ทั้งถูกมองว่าเป็นสถานที่ที่วิญญาณมิอาจข้าม วิญญาณที่ตายอย่างไร้ความผิดจากภัยพิบัติหรือน้ำจากมือคนจะถูกขังไว้ในนี้ ไม่ได้เกิดใหม่อีกชั่วนิรันดร์”
จู่ๆ นกทมิฬก็นึกถึงข่าวลือหนึ่ง บอกหลินสวินว่า “ข้าว่า ต่อให้เมืองนี้ไม่ใช่เมืองมรณะในตำนาน แต่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างมากแน่นอน!”
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน เมืองมรณะหรือ
เขาเงยหน้าขึ้นมองเหนือประตูเมืองที่ห่างออกไปนั่นอีกรอบ มองตัวอักษรหลั่งเลือดพวกนั้น หลินสวินเองก็ตระหนักได้ว่า บางทีการคาดเดาของนกทมิฬอาจเป็นความจริง
“ที่นี่ต้องซ่อนความลับยิ่งใหญ่แน่ มีสหายยุทธ์อยากไปสำรวจด้วยกันหรือไม่”
พลันมีคนตะโกนขึ้น
ทว่าทุกคนเพียงมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครตอบ
“สหาย ตั้งแต่เมื่อวานถึงตอนนี้มีผู้แข็งแกร่งเข้าไปสิบกว่ากลุ่มแล้ว แต่ล้วนไม่ได้ออกมาอีกเลย”
มีคนเตือนด้วยความหวังดี
ประโยคเดียวทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่มาใหม่ต่างขนลุก
พอมองเมืองกลางอากาศนั่นอีกครั้ง สายตาล้วนเปลี่ยนไป
‘ตามข้ามา ที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันตรายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเจ้ากับข้า กลับเป็นแดนแห่งสมบัติชั้นยอด!’
จู่ๆ นกทมิฬก็สื่อจิต พาหลินสวินเคลื่อนห่างออกไป
เมืองกลางอากาศยิ่งใหญ่และกว้างโออ่าอย่างที่สุด ที่น่าตกใจคือรอบๆ เมืองนี้มีประตูเมืองทั้งหมดสามสิบหกบาน!
เหนือประตูเมืองทุกบานล้วนมีอักษรหลั่งเลือดเขียนว่า ‘สถานที่แห่งความตาย ผู้มีชีวิตห้ามเข้า’
ไม่นานนกทมิฬกับหลินสวินก็เจอประตูเมืองที่ผู้คนบางตาบานหนึ่ง
“ในเมืองนั่นเต็มไปด้วยวิญญาณอาฆาตมรณะที่ถูกขังไว้ อีกเดี๋ยวพอเข้าไป เจ้าเพียงสำแดงวิชาในคัมภีร์มหาครรภ์จุติก็จะสามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว”
นกทมิฬข่มความตื่นเต้นในเสียงแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องดีที่มีบุญยิ่งเชียวนะ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะได้รับผลประโยชน์ที่สุดยอด”
หลินสวินเพิ่งจะตระหนักได้เอาตอนนี้ ในใจก็หวั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่
“อีกอย่างในมือข้ายังมีสมบัติธรรมนิดหน่อยที่ได้จากร่างแยกของกู่ฝอจื่อ แม้เจอเรื่องไม่คาดฝันก็น่าจะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้”
“งั้นออกเดินทางกันเถอะ!”
“ไป!”
ทันใดนั้นหนึ่งคนหนึ่งนกก็เหินทะยานเข้าไปราวกับสายฟ้าสองสาย โฉบพุ่งไปที่ประตูเมือง
“ดูนั่น มีคนไปรนหาที่ตายอีกแล้ว”
บริเวณรอบๆ เมืองมีคนขำออกมา
“เพื่อวาสนา แม้ชีวิตก็ไม่เอาแล้ว จะโทษใครได้”
หลายคนหัวเราะ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของหลินสวินกับนกทมิฬ
……
ในเมืองหมอกดำคละคลุ้งบดบังฟ้าดิน
“เจ้าดูสิ่งก่อสร้างพวกนั้น เห็นชัดว่าอยู่มานานมากแล้ว ไอชั่วร้ายปะทะหน้า พิสูจน์ว่าเมืองนี้น่าจะอยู่มานานมากแล้ว”
ดวงตาของนกทมิฬเจิดจ้า มองพินิจรอบๆ
พวกเขาเดินอยู่บนถนนที่กว้างขวาง สองข้างเป็นบ้านเรือนเรียงรายหนาแน่น แต่เก่าแก่อย่างมาก บ้างถึงขั้นทรุดตัวกลายเป็นซากปรัก
หลินสวินสังเกตเห็นว่าบ้านเรือนเหล่านี้ล้วนสร้างจากหินประหลาดสีดำ บนกำแพงบางส่วนยังประทับสัญลักษณ์ที่คลุมเครือส่วนหนึ่ง วาดออกมาเป็นลวดลายบุปผาปักษามัจฉาแมลง การกราบไหว้บูชาของคนในอดีตเป็นต้น
แต่ไม่นานหลินสวินก็ไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ได้อีก กลิ่นอายในเมืองดำมืดเหี้ยมโหดอย่างมาก ในอากาศแผ่ไอที่ดุร้ายที่ราวกับมีตัวตนจริง ทำให้ผิวหนังของหลินสวินเจ็บแปลบขึ้นมา
ลึกเข้าไปในหนทางเบื้องหน้ายังมีเสียงกรีดร้องบาดหูดังขึ้น ราวกับวิญญาณดุร้ายกำลังร้องคำราม
บรรยากาศกดดันใจคน!
วู้ม…
หลินสวินโคจรมรดกคัมภีร์มหาครรภ์จุติ แสงธรรมสายหนึ่งพลันไหลเวียนรอบกาย สงบสุขและทรงสง่า กวาดความไม่สบายตัวและแรงกดดันทั้งหมดจนสิ้น
ได้ผลจริงๆ ด้วย!
หลินสวินใจสะท้าน
ในเวลาเดียวกันนกทมิฬโยนวัชระเล่มหนึ่งให้หลินสวิน ส่วนตนยกบาตรสีดำสนิทใบหนึ่งขึ้นมา
สมบัติสองชิ้นนี้ล้วนได้มาจากร่างแยกของกู่ฝอจื่อ ถึงตอนนี้ร่างแยกของกู่ฝอจื่อยังถูกสะกดอยู่ในกระทะดำที่นกทมิฬแบกไว้
ตูม!
ทั้งสองเดินหน้าได้ไม่นาน เสียงสะเทือนระลอกหนึ่งพลันดังมาจากในหมอกสีดำ
ก็เห็นเงาร่างมากมายพุ่งออกมา ส่งเสียงคำรามดุดัน ไอสังหารรุนแรง ราวกับกลุ่มผีร้ายจากนรก
เมื่อมองอย่างละเอียด แม้นั่นไม่ใช่ผีร้ายแต่ก็ต่างกันไม่มาก ล้วนเป็นซากศพเน่าเปื่อยไม่สมประกอบ บ้างขาดร่างครึ่งซีก บ้างศีรษะถูกแทงเป็นรู บ้างหน้าอกถูกแหวก บ้างเหลือเพียงแค่ครึ่งท่อนล่างกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง…
“ดูนั่น เป็นวิญญาณอาฆาตที่ถูกขังอยู่ที่นี่ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้วจริงๆ ด้วย รอให้พวกเรามาโปรดสัตว์อยู่!”
นกทมิฬไม่เพียงไม่ตกใจกลับยังดีใจด้วยซ้ำ กระพือปีกหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
………….
Related

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset