Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1300 เคราะห์มรรคตัดขาด

เจ้าคางคกตกใจจนเต้นผาง “อาหลู่ เจ้าเสียสติจนแม้แต่ฝากระดานโลงศพของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพยังขโมยออกมาเลยหรือ”
อาหลู่อยากจะบีบคอเจ้าหมอนี่เต็มแก่ พูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้านี่พูดจาเลอะเทอะ นี่เป็นแผ่นศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ที่จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพเหลือทิ้งไว้โว้ย! ภายในบรรจุภาพยุทธ์หลอมกายหมื่นลักษณ์ ประทับใจความการหลอมกายของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ เป็นฝากระดานโลงศพเสียที่ไหน”
เจ้าคางคกไม่โกรธกลับดีใจ ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา ยิ้มระรื่นพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่รีบบอกเล่า มาๆๆ ให้ข้าเปิดหูเปิดตาเร็ว”
ตัวเขาพูดพลางกระโจนตัวลงไปบนแผ่นหินนั้น เผยสีหน้าคลั่งไคล้หาใดเทียบ
นกทมิฬก็ตื่นเต้นอย่างไร้สาเหตุ วนเวียนอยู่รอบแผ่นหิน จุ๊ปากด้วยความอัศจรรย์ใจ “สวรรค์ ใจความมรดกที่จักรพรรดิคนหนึ่งหลงเหลือไว้เชียวนะ ข้ายังเพิ่งได้พบเป็นครั้งแรก”
อาหลู่ยิ้มเย็น “พวกเจ้าสองคนยอมแพ้เถอะ ผู้ที่ไม่ได้เดินบนมรรคากายหยาบบรรลุอริยะ ต่อให้ได้แผ่นศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ไป ก็ไม่ต่างอะไรกับได้ฝากระดานโลงศพอันหนึ่ง”
เจ้าคางคกกับนกทมิฬไม่หลงเชื่อ ยังคงตั้งใจศึกษา บ้าคลั่งเสียสตินัก
ขอเพียงเป็น ‘จักรพรรดิ’ ล้วนเป็นคนน่ากลัวที่สามารถผงาดผยองเหนือเทพธรรมบาล หนึ่งความคิดเบิกฟ้า ทรงพลังเหนือราชันอริยะ แทบจะเป็นตำนานอมตะ!
และจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ ยิ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในตำนานแห่งยุคบรรพกาลผู้หนึ่ง ร่ำลือว่ามรรควิถีของเขาสามารถพาดตัดจักรวาล ท่องไปในฟ้าดารา กดข่มจนเหล่าอริยะไม่อาจเชิดหน้าได้!
และตอนนี้ มีแผ่นหินที่ประทับมรดกจากเลือดเนื้อของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพอยู่ตรงหน้า ใครจะไม่ใจเต้นไหว
อย่างน้อยสีหน้าของนกทมิฬกับเจ้าคางคกตอนนี้ ล้วนใช้คำว่าบ้าคลั่งมาบรรยายได้
ในใจหลินสวินก็สั่นสะท้านไม่หยุด ตระหนักได้ว่ามิน่าตอนนั้นที่แดนโบราณหมื่นลักษณ์ ถึงมีผู้แข็งแกร่งมาช่วงชิงศุภโชคสุสานจักรพรรดิมากมายปานนั้น สมบัติชั้นนี้ ต้องทำให้อริยะนั่งไม่ติดแน่
“มีเพียงผู้หลอมกายถึงจะหยั่งรู้แผ่นหินนี้ได้จริงหรือ”
หลินสวินเอ่ยถาม
ในใจเขาไหวหวั่น พลันนึกขึ้นได้ว่าตนยังมี ‘เคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์’ อยู่ในครอบครอง ภายภาคหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องหลอมกาย
อาหลู่พยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ พูดอย่างไม่ปิดบังเจ้า ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่เดินบนวิถีกายหยาบบรรลุอริยะ หากได้แผ่นหินนี้ไป ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่อาจบรรลุขอบเขตมกุฎได้เลย!”
ตามคำพูดเขา ภายในแผ่นหินนี้มีภาพยุทธ์หลอมกายหมื่นลักษณ์อยู่หกสิบสี่ภาพ แต่ละภาพล้วนมีความอัศจรรย์และนัยเร้นลับต่างกัน ทั้งยังเป็นการเคี่ยวกรำที่ยากจะหาใดเทียบครั้งหนึ่ง จึงจะได้หยั่งรู้ถึงใจความและประสบการณ์หลอมกายทั้งชีวิตของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ!
ในช่วงหลายปีนี้ที่เขาติดอยู่ในสุสานจักรพรรดิ ก็เพราะอาศัยมรดกของแผ่นหินนี้ จึงบรรลุขอบเขตมกุฎหลอมกายได้ในคราวเดียว ครอบครองพลังต่อสู้อย่างวันนี้
แต่สำหรับผู้ฝึกปราณอื่นแล้ว แผ่นหินนี้กลับไม่มีประโยชน์เลย
เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้ แม้หลินสวินจะใจเต้นแต่ก็จนใจไปครู่หนึ่ง
ไตรวิถีมกุฎแบ่งออกเป็นสามสายคือ ฝึกจิต หลอมปราณ และหลอมกาย
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ หลินสวินคำนึงถึงวิถีฝึกจิตและหลอมปราณไปพร้อมๆ กัน ทั้งความสำเร็จในสองวิถีนี้ก็ไม่ธรรมดา
อย่างการฝึกจิต พลังจิตของเขาก็สามารถเปลี่ยนหนึ่งกลายเป็นสาม ครอบครองวิชาแห่งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณเหนือล้ำรุ่นเดียวกัน
หรืออย่างการหลอมปราณ ตอนนี้เขาได้เหยียบย่างเข้าสู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านหก ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ สามารถสังหารบุคคลระดับนายเหนือหัวขอบเขตมกุฎรุ่นเดียวกันได้เหมือนเชือดไก่ฆ่าสุนัข!
แต่มีเพียงการหลอมกายที่เขายังไม่เคยได้แตะต้อง
ข้อหนึ่งเพราะกำลังมีจำกัด ข้อสองเป็นเพราะในการฝึกปราณหลายปีนี้ วิชาหลอมกายไม่เคยผ่านตาเขาแต่อย่างใด ขนาดวิชายุทธ์และวาสนาที่เขาได้สัมผัส ก็แทบไม่เกี่ยวกับการหลอมกาย
แม้จะครอบครองมรดกอริยมรรคที่สูงส่งหาใดเทียบอย่างเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์ แต่เพราะไม่เชี่ยวชาญด้านนี้ จนตอนนี้ก็ยังไม่อาจฝึกฝนได้
เรื่องนี้ก็ทำให้ตอนหลินสวินเห็นแผ่นศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ จึงรู้สึกจนใจอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ได้เป็นเพราะเขาไม่อยากฝึกปรือการหลอมกาย แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสอยู่แล้ว!
แน่นอนว่าหากมีใจแสวงหา เขาย่อมได้รับวิชาหลอมกายมาบ้าง แต่วิชาทั่วไปก็ไม่เข้าตาเขาเลย
“พี่ใหญ่ ข้าแนะนำให้เจ้าลองดูจริงๆ”
ทันใดนั้นอาหลู่เอ่ยปากพูดอย่างจริงจัง “ร่างกายเป็นภาชนะของมหามรรค สามารถรับน้ำหนักของฟ้าดิน เป็นทั้งอุปกรณ์ล้ำค่าที่หล่อเลี้ยงพลังจิต และยังเป็นรากฐานในการสูดกลืนไอวิญญาณ ดังว่าร่างกายสมบูรณ์ จิตก็แข็งแรง กายเนื้อดุจนาวา สามารถแล่นผ่านทะเลทุกข์ หากกายเนื้อบรรลุอริยะ คิดจะโดนฆ่าตายคงไม่ใช่เรื่องง่าย!”
“ผู้ฝึกจิต หากพลังจิตไม่มลายก็เป็นอมตะได้ ผู้หลอมปราณก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน มีเพียงผู้หลอมกายเท่านั้น ขอเพียงเลือดหยดเดียวยังคงอยู่ก็ฟื้นคืนชีพได้!”
“อีกทั้งข้ายังพบความลับอย่างหนึ่งจากในสุสานจักรพรรดิ”
พูดถึงตรงนี้อาหลู่สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจัง เอ่ยว่า “จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพในตอนนั้นไม่เพียงเป็นผู้หลอมกายคนหนึ่ง วิชาพลังจิตและหลอมปราณของเขาก็น่ากลัวถึงที่สุด จากการสันนิษฐานของข้า หากต้องการบรรลุเหนืออริยะมรรค สำเร็จระดับ ‘จักรพรรดิ’ ต้องเป็นทั้งผู้หลอมกาย หลอมปราณและฝึกจิต!”
หลินสวินสายตาปนเปไปด้วยอารมณ์ต่างๆ แต่ก่อนเขาไม่เคยล่วงรู้ความลับเหล่านี้อย่างลึกซึ้งมาก่อน
การฝึกฝนควบมรรคาทั้งสามสาย เกี่ยวข้องกับคำว่า ‘ระดับจักรพรรดิ’!
“ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน จะบรรลุอริยะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว นับประสาอะไรกับเป็นจักรพรรดิ แต่พวกเราต่างกัน พวกเราอยู่ในช่วงที่มหายุคมาเยือนอย่างไม่เคยมีมาก่อนพอดี ทั้งล้วนบรรลุขอบเขตมกุฎ ขอเพียงไม่ตาย ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วก็จะมีโอกาสได้สัมผัสระดับที่สูงยิ่งขึ้น”
ดวงตาอาหลู่ฉายแววตั้งตาคอย พูดอย่างตื่นเต้นว่า “และเป้าหมายของข้าก็คือก้าวล้ำจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ เหยียบย่างลงไปในขอบเขตที่เขาไม่เคยเหยียบย่างมาก่อน!”
“หึ เจ้าวางยาพี่ใหญ่ให้มันน้อยๆ หน่อย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนควบทั้งหลอมกาย หลอมปราณและฝึกจิตมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ผลลัพธ์เล่า ส่วนมากล้วนกลายเป็นพวกคนธรรมดา เลิกคิดจะบรรลุระดับอริยะไปชั่วชีวิต!”
ทันใดนั้นเจ้าคางคกก็หันหน้ามา “สาเหตุก็รู้กันทั่ว มรรคาสายหนึ่งก็มากพอจะทำให้ไม่ว่าใครก็ต้องใช้ทั้งชีวิตเสาะแสวงหา นับประสาอะไรกับมรรคาสามสายเล่า”
ตอนนี้นกทมิฬก็ถอนหายใจขึ้นเช่นกัน พูดว่า “ที่อาหลู่พูดก็ถูกจริงๆ การเป็นจักรพรรดิเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนมรรคาทั้งสามสาย แต่นี่ล้วนเป็นหลังจากบรรลุอริยะ ถึงเริ่มไปสนใจฝึกมรรคาอื่นด้วย”
“ก่อนบรรลุอริยะ หากฝึกฝนมรรคาทั้งสามสายโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเป็นใคร ไม่ว่ามีรากฐานพรสวรรค์ที่น่าตื่นตาและน่าหวาดหวั่นมากเพียงไหน ยามทะลวงระดับอริยะ ล้วนพบเข้ากับเรื่องน่ากลัวเรื่องหนึ่ง”
พูดถึงตรงนี้ เสียงของนกทมิฬก็แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งหาใดเทียบ
เจ้าคางคกก็คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ตกลงคือเรื่องอะไรกัน” หลินสวินนิ่วหน้า
นกทมิฬพ่นสี่คำออกมาจากปาก “เคราะห์มรรคตัดขาด!”
เพียงแค่สี่คำ กลับเจือไปด้วยพลังน่าหวาดผวา ทำให้นกทมิฬและเจ้าคางคกต่างคล้ายหวาดกลัวถึงที่สุด
“ในอดีตเคยมีผู้กล้าที่โดดเด่นตระการตามากมายไม่เชื่อ หมายจะฝึกควบมรรคาทั้งสามสาย ทะลวงเส้นทางแห่งระดับอริยะที่ไม่เคยมีในอดีต แต่จุดจบสุดท้ายล้วนตายอนาถในเคราะห์มรรคตัดขาด แตกดับทั้งกายจิต ขนาดโอกาสฟื้นคืนชีพยังไม่มี”
“เส้นทางนี้ดุจดั่งเขตต้องห้าม ตัดขาดสะบั้นความเป็นไปได้ทั้งหมด ก็เหมือนกฎเหล็กสูงสุดกฎหนึ่ง ในดินแดนรกร้างโบราณ กระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครทะลวงได้”
นกทมิฬแววตาเหม่อลอย “ข้าจำได้ว่าอริยสงฆ์ตู้จี้เคยกล่าวว่า เคราะห์มรรคตัดขาดนี้เป็นหนึ่งในพลังพิฆาตมรรค มีต้นกำเนิดจากกฎระเบียบฟ้าดินที่ไม่อาจพรรณนาได้ เป็นพันธนาการอย่างหนึ่ง ขวางกั้นการเสาะแสวงหาทั้งปวงในอดีตและปัจจุบัน หากแตะต้องมันก็ต้องตาย!”
“หาไม่แล้วเจ้าคิดว่าเหตุใดจนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าก้าวเข้าเส้นทางนี้ ง่ายดายนัก ก่อนจะบรรลุอริยะ ทางนี้เป็นทางตันสายหนึ่ง!”
เมื่อได้รู้ทุกอย่างนี้ จิตใจไหวหวั่นแต่เดิมของหลินสวินก็สงบลงโดยสมบูรณ์ คิดไม่ถึงเลยว่าการฝึกควบมรรคาสามสายจะเป็นทางตันเสียได้ ไม่มีวาสนาได้บรรลุอริยะไม่ว่า ยังจะประสบกับเคราะห์มรรคตัดขาดอันพิสดารอีก
แต่ก็ในตอนนี้เอง อาหลู่กลับโต้ขึ้นมาว่า “เรื่องต่างๆ ไม่มีอะไรแน่นอน ในใจความหลอมกายที่จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพหลงเหลือไว้ก็เคยกล่าวไว้ว่า ตอนเขาท่องผ่านทางเดินโบราณฟ้าดารา ก็เคยเห็นคนน่ากลัวที่ฝึกมรรคาทั้งสามพร้อมกันแล้วบรรลุอริยะได้!”
นกทมิฬกับเจ้าคางคกต่างอึ้งไป แทบจะนึกว่าได้ยินผิดแล้ว พากันหลุดปากออกมาว่า “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”
อาหลู่สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า “ถ้าเกี่ยวโยงกับการเสาะแสวงหามรรคา ข้าไม่กล้าพูดพล่อยๆ แน่ นี่เป็นเรื่องจริง ในประทับของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพยังเคยพูดถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ กล่าวไว้ว่าเคราะห์มรรคตัดขาดไม่ใช่ไม่อาจข้ามผ่าน แต่อยู่ที่ข้ามอย่างไรแล้วไม่ตาย จึงบรรลุอริยะ!”
จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ เป็นยักษ์ใหญ่ในตำนานตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้ว ประสบการณ์และสติปัญญาย่อมไม่ธรรมดา หากเรื่องนี้เป็นความจริงย่อมทำให้ทุกคนสั่นสะท้าน
ถึงอย่างไรดินแดนรกร้างโบราณตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยปรากฏผู้แข็งแกร่งที่สามารถข้าม ‘เคราะห์มรรคตัดขาด’ แล้วไม่ตาย
“ทางเดินโบราณฟ้าดาราแยกออกจากดินแดนรกร้างโบราณ คนที่จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพได้เห็นต้องไม่ใช่ผู้ฝึกปราณจากดินแดนรกร้างโบราณแน่”
นกทมิฬนิ่วหน้าเอ่ย
เจ้าคางคกก็พยักหน้า “ใช่แล้ว หากอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ ต้องถูกพลังกฎระเบียบฟ้าดินของดินแดนรกร้างโบราณกดข่ม นี่ก็เหมือนพันธนาการสายหนึ่ง ขอเพียงไม่แยกจากดินแดนรกร้างโบราณ ก็จะถูกมันจำกัดไว้!”
นี่เป็นข้อสรุปอันเป็นเอกฉันท์ที่ทั้งสองได้มา
ไม่แน่สิ่งที่จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพพูดอาจเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณเลย เพราะฟ้าดินที่ตั้งอยู่ต่างกัน!
ยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นถึงทางเดินโบราณฟ้าดารา เป็นสถานที่ลึกลับที่แม้แต่อริยะยังยากจะหาพบ ย่อมแตกต่างจากดินแดนรกร้างโบราณ
“แต่พวกเจ้าอย่าลืมเสียล่ะ ที่นี่ ไม่ใช่ดินแดนรกร้างโบราณ!”
อาหลู่พูดเข้าประเด็น “ที่สำคัญที่สุดก็คือ มหายุคครั้งนี้ปรากฏมาแล้ว ดินแดนรกร้างโบราณในตอนนี้ไม่ใช่ดินแดนรกร้างโบราณเมื่อครั้งอดีตมานานแล้ว ในมหายุคอันเจิดจรัสถึงที่สุดนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้!”
นกทมิฬกับเจ้าคางคกเงียบเชียบเหมือนคนใบ้ ไม่อาจโต้แย้ง
เพราะที่อาหลู่พูดเป็นความจริง!
มหายุคครั้งนี้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้มีเพียงรูปแบบของดินแดนรกร้างโบราณ แต่ยังทำให้ทั้งดินแดนแปรเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง นี่ถึงเรียกว่า ‘ไม่เคยมีมาก่อน’
ก่อนหน้านี้มกุฎมรรคาเหมือนสิ่งต้องห้าม ไม่มีผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปได้ ทำให้ผู้กล้าในอดีตไม่รู้เท่าไรหยุดก้าวเดินด้วยความคับแค้น
แต่ตอนนี้ ภายในแดนเก้าบนมีบุคคลขอบเขตมกุฎให้เห็นได้ทั่วไป มากมายนัก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดทางตันที่ในอดีตถูกมองว่าเป็น ‘เคราะห์มรรคตัดขาด’ จะเดินผ่านหรือข้ามไปไม่ได้เล่า
คิดดูแล้ว มรรคาสามสาย หากต่างบรรลุขอบเขตมกุฎ ให้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันในร่างเดียวได้ ขอเพียงข้ามผ่านเคราะห์มรรคตัดขาด เลื่อนขั้นขึ้นเป็นอริยะในคราวเดียว มรรควิถีที่ครอบครองจะน่ากลัวปานไหน
มรรคาสามสาย ให้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันในร่างเดียวแล้วบรรลุอริยะ นี่ต้องเป็นเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต และต้องน่าตกตะลึงหาใดเทียบแน่!
ตอนนี้แม้แต่นกทมิฬกับเจ้าคางคกก็ความรู้สึกปรวนแปร แววตาไหวเคลื่อน ในที่สุดจึงพากันทอดสายตามองไปที่หลินสวิน
“พี่ใหญ่ เจ้าคิดเช่นไร”
อาหลู่เอ่ยปากถาม
หลินสวินนวดหว่างคิ้ว เงียบไปครู่ใหญ่ถึงเค้นออกมาว่า “ข้าอยากอยู่เงียบๆ”
——
Related

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset