Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1325 แดนยอดมรดกมาเยือน

ฮู่ว…
ยามดึก หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่ในสถานที่ฝึกสมาธิ เริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
การต่อสู้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ แน่นอนว่าเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากและอันตรายที่สุดตั้งแต่เขาฝึกปราณมา
ดูเหมือนรอบคอบทุกอย่างก้าว กำชัยไว้แล้ว แต่เบื้องหลังแท้จริงกลับแบกรับแรงกดดันและความทุ่มเทที่ไม่สามารถจินตนาการได้
หากไม่ใช่ว่าช่วงสุดท้ายได้ประโยชน์จากชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด คิดจะขวางการโจมตี ‘พลีชีพสังเวยกระบี่’ นั่นของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยากนัก!
ทว่าผ่านการประลองแห่งยุคเช่นนี้ ก็ทำให้หลินสวินได้รับประสบการณ์และหยั่งรู้ในการต่อสู้อย่างไม่เคยมีมาก่อน
เขามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่าเมื่ออาการบาดเจ็บฟื้นฟู พลังปราณของเขาต้องรุดหน้ายิ่งกว่าเดิม พอที่จะก้าวสู่ขั้นสมบูรณ์ของระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ด
ถึงขั้นที่ว่าการทะลวงระดับก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ทั้งการสังหารอวิ๋นชิ่งไป๋ยังเหมือนการกำจัดโจรกลางใจ ขจัดมารในสภาวะจิต ทำให้จิตมรรคของหลินสวินราวกับทลายพันธนาการ ได้รับการยกระดับเช่นกัน
การฝึกปราณก็คือขั้นตอนของการฝึกใจ
การเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตเร้นลับที่สุด แต่กลับมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณอย่างไม่อาจประเมิน
วู้ม…
แสงมรรคหลายสายราวแสงมายาครอบคลุมตัวหลินสวินอยู่ภายใน ดูบริสุทธิ์สันโดษ

ผ่านไปเจ็ดวัน
“หืม?”
“นั่นคือ?”
“ช่างเป็นลักษณ์ประหลาดที่น่าอัศจรรย์!”
วันนี้ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ต่างบริเวณในแดนเก้าบน ไม่ว่ากำลังทำอะไรก็ล้วนหยุดการกระทำในมืออย่างพร้อมเพรียง สายตามองไปยังเวิ้งฟ้า
บนฟ้านั่นไม่รู้ปกคลุมด้วยแสงทองพร่างพรายชั้นหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่องประกายราวกับทองเทพ ย้อมผืนฟ้ากลายเป็นสีทองทั้งแถบ สว่างเรืองรองดุจเพลิงผลาญ
ในความรางเลือนสามารถมองเห็นแดนลับแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ในแสงทองบนเวิ้งฟ้านั่น ลักษณะคล้ายสนามประลองมหึมาหาใดเปรียบ ภายในมีรูปปั้นเก่าแก่และลึกลับยืนตระหง่านอยู่มากมาย
เพียงแต่ภาพนั้นยังเลือนรางอย่างยิ่ง ถูกปกคลุมด้วยแสงทองพร่างพราย มองเห็นเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่อาจสังเกตเห็นโฉมหน้าในนั้นได้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างไหวหวั่น
ขณะเดียวกันหน้าศิลาศึกทุกแห่งในแดนเก้าบนเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้น
บนท้องฟ้าเหนือศิลาศึกแต่ละแห่งล้วนปรากฏอุโมงค์อากาศหนึ่ง ราวกับรุ้งเทพหลากสีงามแปลกตาทะลวงอากาศขึ้นไป ไม่รู้ว่าเชื่อมต่อไปที่ไหน
และวันนี้ข่าวเกี่ยวกับ ‘แดนยอดมรดก’ มาเยือนโลก ก็ราวกับลมพายุหอบหนึ่งม้วนกลืนแดนเก้าบน
“ไป!”
“ในที่สุดก็เปิดออกแล้ว…”
“ท้ายที่สุดอริยะนำพาจะตกสู่มือใคร”
ผู้แข็งแกร่ง ยักษ์ใหญ่ ราชันนายเหนือหัวนับไม่ถ้วน พากันมุ่งไปยังหน้าศิลาศึกที่กระจายอยู่ในแดนเก้าบนราวได้รับการเรียกหา

“นี่ต้องเป็นศุภโชคสุดท้ายก่อนที่แดนมกุฎจะปิดฉากแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปช่วงชิงเต็มกำลัง”
องค์ชายเซ่าเฮ่าอาภรณ์สะบัดโบก แววตาเต็มไปด้วยประกายวาววามน่าพรั่นพรึง
“ผู้คนรู้แค่ว่านายน้อยถ่อมตัวประหนึ่งหยก ไม่คิดแก่งแย่งกับใคร แต่กลับไม่รู้ว่าหากนายน้อยออกแรงเต็มกำลัง แดนเก้าบนนี้จะต้องไร้ผู้ต่อกร”
สาวใช้หวั่นอินแววตาไหลวนแสงอัศจรรย์ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส
มีเพียงนางที่รู้ชัดว่านายน้อยของตนแข็งแกร่งแค่ไหน!
“ไร้ผู้ต่อกร? วาจานี้กล่าวเกินไปแล้ว การช่วงชิงวาสนา หนึ่งดูพลัง สองดูโชคชะตา เกิดเป็นคนต้องทำให้ดีที่สุด นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่ฟ้าลิขิต”
เซ่าเฮ่ายิ้ม เวลานี้เขานึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ก็ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าหมอนั่นฟื้นฟูหรือยัง…
วันนั้นเขานำผู้ที่อยู่ใต้อาณัติทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังแดนยอดมรดก

“อริยะนำพา ไม่รู้ว่าจะมหัศจรรย์เหมือนที่เล่าลือจริงหรือไม่… ไม่ว่าอย่างไรสิ่งยิ่งใหญ่เช่นนี้ต้องช่วงชิงมาให้ได้”
วันนี้มีคนเห็นเทพธิดารั่วอู่แปลงเป็นรุ้งเพลิงสายหนึ่ง พุ่งออกมาจากสถานที่ปิดด่าน

“เจ้าลิง พวกเราควรไปแล้ว”
ราชันเผิงปีกทองน้อยยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ในดวงตาสีทองฉายประกายแสงชวนประหวั่น
หลายปีนี้เขาเก็บงำตนเองมานานเกินไปแล้ว ได้เวลาเผยคมประกายเสียที!
ตูม!
ไม่นานหยวนฝ่าเทียนก็ออกด่าน กลิ่นอายทะลุทะลวงอหังการหยิ่งผยอง “ราชันเผิงน้อย เจ้าว่าหลินสวินนั่นจะเข้าร่วมด้วยไหม”
ราชันเผิงปีกทองน้อยส่ายหัว “ยากนัก จนถึงวันนี้เขาไม่เคยทำการทดสอบกระดานทองคำผู้กล้า เกรงว่าคงเพราะบาดเจ็บหนักเกินไป ถึงขั้นต้องละทิ้งการเคลื่อนไหวครั้งนี้แล้ว”
หยวนฝ่าเทียนชะงัก ถอนหายใจกล่าว “น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
ราชันเผิงปีกทองน้อยเยาะหยัน “ข้าว่าในใจเจ้าน่าจะดีใจมากกระมัง ถึงอย่างไรหากเจ้าหมอนี่เข้าร่วมจริง คงนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลให้กับใครก็ตาม”
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย รีบไปเถอะ”
หยวนฝ่าเทียนกลอกตาใส่ นำหน้าทลายอากาศไปก่อน

แดนวารีอุดร
หน้าศิลาศึกผู้กล้า ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งพุ่งขึ้นไปทางอุโมงค์อากาศที่อยู่ใต้เวิ้งฟ้านั่น
ปึง!
ทว่าจากนั้นเขาก็ถูกพลังไร้รูปหนึ่งซัดจนถอยกลับมา ซวนเซตกลงสู่พื้น สีหน้าเศร้าสลดกล่าว “จริงดังว่า หากชื่อไม่เคยปรากฏอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าก็ไม่อาจเข้าไปในแดนยอดมรดกได้”
เห็นดังนี้ผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นั้นทอดถอนใจ สีหน้ามืดมน
พวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนั้น ไม่สามารถก้าวขึ้นไปอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าได้ ถูกลิขิตให้ไม่อาจเข้าร่วมงานใหญ่นี้ด้วยเช่นกัน
ฟุ่บ!
และเวลานี้เอง ลั่วเจียที่มาจากเผ่าหงส์เซียนโฉบออกมาจากฝูงชน เงาร่างพุ่งวาบหายไปในอุโมงค์อากาศนั่น

เกือบจะวันเดียวกัน บุคคลชั้นนำอย่างชื่อหลิงเซียว เย่หมัวเฮอ หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เซี่ยวชางเทียนและเยี่ยเฉินต่างเริ่มเคลื่อนไหว
ใต้หล้าเกิดคลื่นลมในชั่วพริบตา สายตาจับจ้องไปที่แดนยอดมรดกพร้อมกัน!
แน่นอน ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์เข้าไปในนั้น มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่ชื่อเคยปรากฏอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าจึงจะสามารถเข้าไปในนั้นได้
ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นก็ถูกลิขิตให้เป็นแค่ผู้ชม
เขาฝนดาวตก
“พี่ใหญ่ อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
อาหลู่เอ่ยถาม ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกลางฟ้าดินก็ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเช่นกัน เมื่อสืบข่าวดูเล็กน้อยก็รู้ว่าแดนยอดมรดกปรากฏแล้วในวันนี้
“ดีขึ้นประมาณเจ็ดแปดส่วนแล้ว”
หลินสวินพูดง่ายๆ เขาสวมชุดสีขาวพระจันทร์ ท่าทางผ่อนคลาย ยืนไพล่หลังอยู่ในทะเลหมอกบนยอดเขา ทอดมองแสงทองส่องประกายที่ปกคลุมผืนฟ้า
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะไปแดนยอดมรดกหรือไม่”
พวกอาหลู่ เจ้าคางคก และนกทมิฬต่างแววตาเร่าร้อน สำหรับ ‘อริยะนำพา’ พวกเขาน่ะอยากได้มานานแล้ว
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าไปก่อนไหม”
อาการบาดเจ็บของเขาตอนนี้ยังไม่หายโดยสมบูรณ์ ทั้งในการทำสมาธิเจ็ดวันนี้ เขายังมีการหยั่งรู้ในการต่อสู้บางส่วนที่ยังไม่เข้าใจเต็มที่
พวกอาหลู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ลังเลยิ่งนัก
“ไปเถอะ ไปช่วยข้าสืบหาความจริงที่นั่นสักหน่อยก่อน รอข้าเตรียมพร้อมแล้ว หากโอกาสอำนวยจะต้องไปหาพวกเจ้าแน่”
หลินสวินโบกมือไล่พวกเขาไป
“พี่ใหญ่ เช่นนั้นเจ้าต้องมานะ”
ห่างออกไปอาหลู่ตะโกนเสียงดัง
หลินสวินอมยิ้มพยักหน้า มองส่งพวกเขาจากไปแล้วหันหลังกลับเข้าสู่สถานที่ทำสมาธิ
สำหรับ ‘อริยะนำพา’ ที่เกี่ยวข้องกับปริศนาแห่งการบรรลุมกุฎอริยะ เขาไม่สนใจมากนัก
ด้วยมรรคาของเขาไม่เคยมีมาก่อน ต่างจากคนอื่น หากหมายบรรลุมกุฎอริยะย่อมไม่มีทางเหมือนคนอื่นแน่
อริยะนำพาอาจจะเกี่ยวข้องกับปริศนาแห่งการบรรลุมกุฎอริยะ บางทีอาจเปิดทางให้เขาได้ แต่กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว สุดท้ายการบรรลุอริยะก็ยังต้องพึ่งพาตัวเอง!
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หลินสวินยังเตรียมตัวไม่พร้อมจริงๆ
กาลเวลาล่วงเลย ผ่านไปอีกสามวัน
โลกภายนอก ข่าวเกี่ยวกับแดนยอดมรดกดึงดูดความสนใจทั่วแดนเก้าบนนานแล้ว ต่อให้ไม่สามารถเข้าร่วมก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนจิตใจถูกดึงดูด
ต่างกำลังใคร่รู้ว่าในการประลองสุดท้ายก่อนแดนมกุฎนี้จะปิดฉาก ใครจะสามารถกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายกันแน่!
และยังมีคนทำบันทึก ว่าตอนนี้บุคคลชั้นนำที่จัดอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานทองคำผู้กล้า ได้เข้าไปในแดนยอดมรดกกันหมดแล้ว
นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งอีกประมาณห้าร้อยคนเข้าไปในนั้นเช่นกัน พวกเขาต่างเป็นผู้แข็งแกร่งที่เคยก้าวขึ้นไปอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้า แต่ตอนนี้ลำดับชื่อถูกเบียดตกออกมาแล้ว
“เทพมารหลิน จนถึงวันนี้ก็ไม่เคยปรากฏตัว”
และมีคนมากมายสังเกตเห็น แต่ไหนแต่ไรอย่าว่าแต่หลินสวินเข้าไปในแดนยอดมรดกเลย แม้แต่ชื่อก็ไม่เคยปรากฏอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้าด้วยซ้ำ!
นี่ก็ชักนำมาซึ่งเสียงทอดถอนใจมากมายเช่นกัน
เทพมารหลินที่น่าเกรงขาม เอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ แข็งแกร่งระดับใด แต่ยามนี้ด้วยบาดเจ็บสาหัสจึงต้องทิ้งโอกาสเข้าสู่แดนยอดมรดกไป จะไม่ให้คนทอดถอนใจได้อย่างไร
เขาฝนดาวตก
หลินสวินในตอนนี้สีหน้าเจือแววประหลาดใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน ถึงขั้นมีความตื่นเต้นที่ไม่อาจสงบอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของเขาฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ หากแต่ด้วยวันนี้จ้าวจิ่งเซวียนตื่นแล้ว!
สนเขียวแข็งแกร่งเปี่ยมพลัง น้ำตกหลั่งรินน้ำพุเวียนวน หน้าพุ่มหญ้าชอุ่มแห่งหนึ่ง จ้าวจิ่งเซวียนนั่งอยู่บนพื้น เงาร่างเพรียวบางประหนึ่งร่องรอยที่งดงามหาใดเปรียบ ภายใต้การขับเน้นของหมอกเมฆที่อบอวลระหว่างภูเขา เสริมให้กลิ่นอายงดงามเงียบสงบโดดเด่นขึ้นกว่าเดิม
นางมวยผมยาวสลวยเอาไว้ ดวงหน้างามเหมือนซูบตอบกว่าแต่ก่อน แต่เครื่องหน้าทั้งห้ากลับดูประณีตและงามพิสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม เรียกได้ว่างามผุดผ่องดั่งภาพวาด รูปโฉมราวกับเซียน
ในนิ้วทั้งสิบที่ขาวกระจ่างเรียวยาวดั่งต้นหอมของนางกำลังกุมจอกไม้หนึ่งที่ยังอุ่นอยู่ ส่วนน้ำชานั้นหลินสวินเป็นคนต้มเอง
ตรงหน้า หลินสวินกำลังควบคุมความตื่นเต้นภายในใจ เล่าเรื่องราวในหลายปีที่จ้าวจิ่งเซวียนจำศีลนี้ออกมาทีละเรื่อง
จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มฟังและจิบน้ำชาตลอดเวลา ในใจก็รู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนั้นนางปลูกเรือนพำนัก ไม่เชื่อว่าหลินสวินตายอยู่ใต้แม่น้ำนรก เฝ้ารออยู่นอกเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนานหลายปี
ในหลายปีนั้นใจของนางเหมือนบ่อร้าง ไม่ยินดีเสียใจ ไม่ไต่ถามเรื่องทางโลก สิ่งที่ยึดมั่นในใจมีเพียงคำว่าเฝ้ารอ
จนถึงท้ายที่สุด หากไม่เจอการล้อมโจมตีของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใต้การควบคุมของบุตรนรก ก็คงไม่มีทางผนึกจิตวิญญาณตัวเอง จมสู่ความเงียบงันจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในตอนนี้
นางมองออกว่าในใจหลินสวินก็ตื่นเต้นและยินดีมาก นี่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนสบายใจยิ่ง มุมปากอวบอิ่มโค้งเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว ในดวงตากระจ่างระบายยิ้ม
ส่วนหลินสวินกำลังพูดอะไร นางฟังไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง เทียบกับการยืนยันว่าหลินสวินที่อยู่ตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่ เรื่องอื่น… ก็เหมือนไม่สำคัญสักนิด
พูดอยู่นาน ยามหลินสวินรู้สึกปากแห้ง มือกระจ่างมือหนึ่งที่ถือถ้วยชาไว้ก็ปรากฏตรงหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นจ้าวจิ่งเซวียนยิ้มกล่าว “ดื่มเถอะ”
หลินสวินยกถ้วยชากระดกดื่มรวดเดียวหมดแล้วกล่าวถาม “เจ้าไม่ได้ฟังว่าข้ากำลังพูดอะไรเลยใช่ไหม”
จ้าวจิ่งเซวียนกะพริบตาปริบๆ ในดวงตาใสสะอาดดั่งคลื่นใบไม้ร่วงนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มร่า กล่าวว่า “ป่านนี้เจ้าเพิ่งจะรู้? ไม่นับว่าโง่ไปหน่อยหรือ”
น้ำเสียงใสไพเราะ
หลินสวินพลันหัวเราะร่ากล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าโง่ หากแต่ถูกความดีใจครอบงำ เห็นว่าในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมาเลยดีใจมาก ห้ามความรู้สึกไม่อยู่จริงๆ”
จ้าวจิ่งเซวียนชะงัก บนใบหน้างามผุดผ่องขาวกระจ่างปรากฏสีแดงสดวูบหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ในความงามพิสุทธิ์เสริมความงามอันอ่อนโยนเพิ่มขึ้นมา
จากนั้นนางดูเหมือนได้รู้จักหลินสวินใหม่อีกครั้ง พินิจพิเคราะห์เขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยปากชม “ดูไม่ออกว่าคนอย่างเจ้านับวันยิ่งอ้อนคนเป็นแล้ว หรือหลายปีนี้คบหาคนรู้ใจไปไม่น้อย ฝึกจนมีสาวมากมายมาอิงแอบแนบชิดคลอเคลีย”
หลินสวินสีหน้าค้างแข็ง
แต่ประโยคต่อมาของจ้าวจิ่งเซวียนกลับราวฟ้าถล่มดินทลาย “หากให้ซย่าจื้อแม่นางน้อยคนนั้นรู้เรื่องพวกนี้ หึๆ…”
สีหน้าหลินสวินพลันชะงักค้าง หน้าผากปรากฏเส้นเลือดดำ
………….
Related

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

Type: Author: ,
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset