Douyara Watashi no Karada wa Kanzen Muteki no You desu ne – ดูเหมือนว่าร่างกายของฉันจะแข็งแกร็งไร้เทียมทานซะแล้ว – ตอนที่ 10 มุ่งหน้าสู่ปราสาท

ซาฮะ : [หา? ถูกองค์ชายเชิญตัวหรอ?]
แมรี่ : [อือ…]

  ณ ช่วงเวลาบ่ายอันสงบสุข ขณะพักดื่มชาชิวๆหลังจากฝึกวิชาการต่อสู้เสร็จ
และข้างหน้าก็มีซาฮะที่กำลังนั่งดื่มชาเหมือนกันอยู่

(เพียงแค่ไม่กี่วันก็ทำตัวได้ชิวเหลือเกินนะ เจ้าเด็กผู้ชายคนนี้…)

  ซาฮะนั้นหลังจากเรืองในตอนนั้นทุกๆครั้ง หลังจากที่ฉันฝึกเสร็จก็มักจะโผล่หน้ามาขอท้าสู้ และก็ถูกฉันอัดซะลอยทุกครั้งไป ทั้งๆที่ในตอนแรกนั้นเขายังตั้งตัวเป็นศัตรูอยู่แท้ๆแต่ไม่กี่วันก็เหมือนว่าจะยอมรับฉันแล้ว และผลลัพธ์ในตอนนี้ก็ประกาศออกมาว่าฉันเป็นคู่แข่งที่ดี

(มาประกาศว่าเป็นคู่แข่งกับเด็กผู้หญิงเนี่ยนะ นี่นายคิดว่าดีแล้วแน่หรอ)

  จากการโต้ตอบกันไม่กี่วันที่ผ่านมานั้นเริ่มที่จะทำให้ฉันเข้าใจนิสัยของหมอนี่แล้ว ก็ถ้า ให้พูดดีๆล่ะก็เป็นประเภทแค้นฝังหุ่น และเป็นประเภทไม่ค่อยสนใจสิ่งต่างๆรอบข้างด้วย แต่ถ้าจะให้พูดแบบแย่ๆล่ะก็ ก็แค่เจ้าบ้าคนนึง ที่สนใจและยึดติดแต่กับการต่อสู้แค่นั้น นอกจากนั้นก็เป็นคนที่สบายๆเรื่อยๆ

ทุตเต้ : [อีกแค่ 2 วันเองนะคะ ต้องรีบจัดเตรียมชุดเดรสแล้วค่ะ]

  ทุตเต้ที่ยืนอยู่ข้างๆรินชาใส่ถ้วยที่ว่างเปล่าและเข้าร่วมวงสนทนาด้วย

ซาฮะ : [ท่านแมรี่ มีเรืองอะไรกับองค์ชายงั้นหรอ?]
แมรี่ : [คุณซาฮะคะ….ถึงจะเคยบอกไปแล้วก็เถอะจะพูดสุภาพหรือจะพูดธรรมดาก็เอาสักอย่างจะได้ไหมคะ? ฟังละปวดหัวค่ะ]
ซาฮะ : [พูดทำดาคือไรอะ?]
แมรี่ : [ท่าทีในการพูดที่ใช้พูดคุยกับฝ่ายตรงข้าม พอคิดว่าจะพูดกับฉันแบบธรรมดาแต่ดันเติมคำว่าท่านซะงั้น…]
ซาฮะ : [ก็ท่านพ่อบอกว่าตอนเรียกเธอให้เติมคำว่าท่านด้วย ก็เลยเรียกว่าท่านแมรี่แค่นั้นเอง?]

ซาฮะที่พูดราวกับว่ามันทำไมหรอ? และเอียงคอดูท่าว่าจะคิดแบบนั้นจริงๆ

แมรี่ : [ตามสบายเลย…เอาที่ชอบๆละกัน]

  ฉันถอนหายใจยาวๆออกมา พร้อมกับเอามือก่ายหน้าผาก
ทั้งๆที่พูดคุยกับเด็กอายุรุ่นเดียวกันแท้ๆแต่ต้องมาพูดด้วยภาษาสุภาพนี่มัน ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีกำแพงกั้นขึ้นมาไม่ชอบเลยจริงๆ แต่ว่าหมอนี่ทั้งๆที่เติมท่านหลังชื่อฉันแท้ๆ แต่กลับไม่เข้าใจความหมายของการพูดแบบธรรมดาและแทนที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรสักหน่อย แต่เจ้าตัวกลับดูเหมือนว่าไม่ได้คิดมากอะไร

(เลิกคิดมากจะดีกว่าฉัน และปล่อยวางกับเจ้าบ้าสมองกล้ามนี่ดีกว่า)

ซาฮะ : [แล้ว? มีสะกิดใจเรืองอะไรมั่งปะถึงทำให้โดนเชิญเนี่ย ได้รับคำเชิญไปปราสาทเนี่ยไม่ใช่เรืองที่เกิดขึ้นบ่อยๆหรอกนะ]

  พอวกกลับเข้าเรืองเดิม ก็เริ่มทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
ใช่แล้ว สำหรับอาณาจักรนี้นั้นเรืองที่มีการเชื้อเชิญคนที่ยศฐาบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าแบบระบุตัวให้ไปเข้าเฝ้าที่ปราสาทนั้นเป็นเรืองที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น พอเป็นแบบนั้น ก็ทำให้คิดถึงเรืองที่ฉันพลาดในตอนนั้นแน่ๆ และในมุมของฉันก็ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการเรียกรายงานตัวขึ้นศาลอย่างไงอย่างงั้น เริ่มจะจิตตกแล้วสิ

แมรี่ : [น่าจะเป็น เรืองในตอนพิธีพยากรณ์ล่ะมั้ง?]

  เพราะไม่มีอย่างอื่นนอกจากตอนที่โดนองค์ชายสัมผัสตัวเลย จินตนาการได้ไม่ยากเลยด้วย

ซาฮะ : [ฮืมมม ฉันในตอนนั้นพอเสร็จของตัวเองแล้วก็เลยออกไปนอนข้างนอก แต่หลังจากที่องค์ชายมาดูท่าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นสินะ?]

(นี่นายอยู่ด้วยเรอะ จะว่าไป ก็อายุเท่ากันมันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ)

ซาฮะ : [หรือว่าตอนนั้น ไม่ใช่ว่าพูดอะไรเสียมารยาทออกไปหรอ?]
แมรี่ : [เสียมารยาทงั้นหรอ ฉันไม่ได้….ทำ…..]

  แล้วในตอนนั้นฉันก็พึ่งจะรู้สึกตัวว่าได้ทำเรืองไม่เหมาะเข้าให้
ใช่แล้ว เพราะว่าไม่ยอมพูดอะไรเลยยังไงล่ะ แม้กระทั่งคำขอโทษ คำขอบคุณก็ด้วย ไม่มีเลยสักคำ ที่ออกมาจากปากของของฉัน

(แย่~~แล้ว~~ว~ว เรืองนั้นน่ะ มันไม่ควรไม่ใช่เรอะไง! ทั้งๆที่ไปขวางเชื้อพระวงศ์ แถมคำขอโทษก็ไม่มี ท้ายที่สุด ยังได้รับการช่วยเหลืออีกแต่ว่ากลับไม่ยอมพูดขอบคุณสักคำ! อ๊ากกกกกกกกก! ตัวฉันนี่มันบ้า งี่เง่าาาาาาาา!)

  ฉันเอามือกุมหัวตัวเองและล้มพับไป

ทุตเต้ : [ค คุณหนู เป็นอะไรไหมคะ?]
ซาฮะ : [อ๊ะ ดูท่าว่าจะสะกิดใจอะไรได้แล้วสินะ♪]

  ฉันที่ทุกข์ระทมอยู่นั้นก็ยังมีคนที่คอยห่วงใยและคนที่หัวเราะเยาะใส่อยู่ เดี๋ยวไอเจ้าคนหลังตอนที่ฝึกซ้อมครั้งหน้า เดี๋ยวแม่จะตบให้บินได้เลย

แมรี่ : [ก่อนอื่นเลย ยังไงก็ต้องขอโทษ….คุกเข่าขอขมา ใช้เวลานี้ซ้อมดูก่อนละกัน… ]
ทุตเต้ : [ขุกเขาขอขมาคืออะไรคะ?]

  จากการที่ทุตเต้พูดแบบนั้น ดูเหมือนว่าที่อาณาจักรนี้จะไม่มีการคุกเข่าขอขมา ทั้งๆที่อุตส่าห์คิดว่าในรูปแบบการขอโทษทั้งหมดทั้งมวลนั้นการคุกเข่าขอขมาเป็นการกระทำที่สื่อถึงความใจจริงที่สุดแล้วแท้ๆเชียว

แมรี่ : [ถ้างั้น ก็มีแต่ต้องนำขนมอะไรไปฝากเท่านั้นสินะ]
ทุตเต้ : [จะเอาขนมไปหรอคะ แต่ถ้าไม่ใช่งานเลี้ยงน้ำชาก็ไม่มีความหมายไม่ใช่หรอคะ?]
แมรี่ : [ขนมน่ะมันก็แค่ของบังหน้า ใจความสำคัญคือการมอบเงินสินบนใต้โต๊ะต่างหาก แล้วจะต้องจ่ายเท่าไหร่ดีล่ะ? เงินค่าขนมของฉันอาจจะไม่พอก็ได้]
ทุตเต้ : [คะ…คคค คุณหนูค้าาา]
ซาฮะ : […พวกเธอเนี่ยน้า…]
  
  ฉันที่กำลังกลุ้มใจแบบจริงจังอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมทั้งสองคนถึงได้ทำลายบรรยากาศรอบๆซะเสียหมด

(อาเร๊ะ? หรือว่าวิธีนี้ในอาณาจักรนี้ก็ไม่มีงั้นหรอ? ทั้งๆอุตส่าห์คิดว่าน่าจะมีแท้ๆเชียว)

  อะแฮ่ม กระแอมไอหนึ่งครั้ง พร้อมกับปรับท่านั่งใหม่

แมรี่ : [ไม่เอาน่า แค่ล้อเล่นเอง]

  พอทำหน้าใสๆและดื่มชาเข้าไป ทั้งสองคนที่โล่งใจก็เอามือลงจากหน้าอก  และผ่อนคลายร่างกายที่แข็งทื่อไปสักพัก

(ยังไงก็เถอะ พอไปถึงที่ปราสาทแล้วก็ต้องขอโทษ แล้วก็ต้องขอบคุณด้วย….และก็ ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อก็ชิงชิ่งเผ่นแน่บให้ไว)

  ระหว่างที่ฉันดื่มชาเช้าไป ก็เริ่มวางแผนไว้ ในตอนนี้ก็ต้องเตรียมการไว้ก่อน

**********************************************************************************

  และแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องไปรายงานตัว…แก้ใหม่ ไปปราสาทก็มาถึง
ในวันนั้นเหล่าคนใช้ต่างกำลังยุ่งเป็นพัลวันกันหมด สำหรับฉันแล้วทุตเต้ที่ไม่ได้รวมอยู่ในกลุ่มเมดเหล่านั้นกำลังช่วยแต่งตัวให้ฉันอยู่ เพราะสำหรับฉันที่ไม่รู้ว่าเมื่อจะไปเข้าเฝ้าเชื้อพระวงศ์แล้วจะควรต้องแต่งตัวแบบไหนถึงจะดีที่สุดก็เลยตกอยู่ในสภาพที่ต้องให้เธอจัดการให้ทั้งหมด
  และแล้ว สีที่เหมือนกับเป็นเครืองหมายการค้าของฉันเวลาที่ออกไปข้างนอกนั้นจะต้องมีสีขาวเป็นพื้นฐานและปักด้ายสีทองไว้ตรงนู่นตรงนี้เป็นการตกแต่ง และกระโปรงฟู่ฟ่องอันเป็นดั่งคุณสมบัติของชุดเดรสวันพีชที่ห่อหุ้มร่างกาย ภายในรถม้านั้นมีเพียงแค่ฉันกับทุตเต้นั่งอยู่ และรถม้าก็เริ่มออกเดินทาง ในตอนนี้ฉันได้หยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาและพูดพึมพัมอยู่คนเดียว เพื่อท่องจำสิ่งที่เขียนลงไป

ทุตเต้ : [คุณหนูคะ นั่นอะไรหรอคะ?]
แมรี่ : [พอดีว่าเขียนข้อความเพื่อแสดงการขอโทษต่อองค์ชายเอาไว้น่ะ เพื่อที่จะพูดได้โดยที่ไม่ติดขัดก็เลยฝึกซ้อมไว้ก่อน…ฉันน่ะ พอถึงเวลาจริงถ้าเกิดประหม่าหัวจะไม่แล่นน่ะ]
ทุตเต้ : [คิดว่าคงจะไม่ได้เรียกเพื่อ….มาให้ขอโทษหรอกนะคะ]

  คำพูดของทุตเต้นั้นในตอนนี้ไม่ได้เข้าหูฉันเลยสักนิด
เพราะว่าฉันกำลังเครียดและก็กังวลสุดๆ

**********************************************************************************

  ปราสาทนั้น ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองหลวง และถูกล้อมรอบด้วยกำแพงอันแข็งแกร่ง เหนือคูน้ำมีสะพานใหญ่เชือมอยู่ รถม้าที่ฉันนั่งมาในที่สุดก็มุ่งหน้าเข้าไปภายในปราสาท ได้ยินเสียงทหารยามรักษาการและคนขับรถม้าคุยกัน และฉันก็เริ่มเข้าไปข้างในปราสาทมากขึ้น และไม่นาน รถม้าก็หยุดลง

ทุตเต้ : [ดูเหมือนว่าจะถึงแล้วค่ะ จากตรงนี้ไปต้องเดินเองค่ะ]

  แล้วก็เหมือนเดิม ทุตเต้ออกไปข้างนอกเพื่อเตรียมความพร้อมให้ก่อน ส่วนฉันคอยดูเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยออกไปบ้าง 
และที่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มีเหล่าผู้รับใช้ของปราสาทหลายคนยืนเรียงรายกันเป็นแถวอย่างสวยงาม ระหว่างนี้ได้คุณเมดของปราสาทนำทางให้ ฉันก็มาถึงหน้าห้องๆหนึ่ง

เมด : [โปรดรอ อยู่ที่นี่สักครู่นะคะ]

  หลังจากพูดแบบนั้น คุณเมดก็เปิดประตูห้องให้ ฉันก็เข้าไปภายในห้องพลางรู้สึกเกรงใจหน่อยๆ

ซู้มมมมมมม!

  และ บริเวณเพดานหน้าประตูทางเข้าที่มันไม่ควรจะมีอะไรก็มีน้ำประมาณเต็มอ่างล่างหน้าสาดลงมา ในช่วงเวลาที่เหมาะเหม็งสุดๆ โดนฉันเต็มๆ ถูกม่านน้ำละเลงเปียกไปทั้งตัว

(อะไรกันเนี่ย…อย่างกับเมื่อเข้าห้องเรียนก็มีแปลงลบกระดานดำตกใส่หัว…)

  และ หลังจากที่ม่านน้ำหายไปแล้วก็มีเพียงฉันที่ยืนตัวเปียกโชกอยู่คนเดียว น้ำประมาณหนึ่งอ่างล้างหน้าก็เพียงพอที่จะทำให้คนตัวเล็กอย่างฉันเปียกโชกไปทั้งตัวได้แล้ว
  เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ฉัน และคนที่อยู่รอบๆต่างก็ตัวแข็งทื่อกันหมด

(อาเร๊ะ? หรือว่าต้องการจะใช้เรืองนี้ทำให้ ฉัน พลาดนัดกับองค์ชายงั้นหรอ?)

ก่อนที่จะเข้าใจสถานการณ์อะไรก็โดนเล่นงานซะก่อน ช่างไม่ระมัดระวังเลยตัวฉัน

(ใจเย็นไว้ก่อนแมรี่…ทุกคนที่อยู่รอบๆยังตัวแข็งทื่อกันอยู่ ทุกคนยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นงั้นก็หมายความว่าไม่รู้กันสินะ ถ้างั้นแสดงว่าคนร้ายอาจมีอยู่คนเดียว? องค์ชายคนเดียว? ไม่ใช่ จู่ๆการที่มาน้ำปรากฏออกมาในที่ๆไม่มีอะไรนั่นคงเป็นเวทมนต์สินะ ด้วยอายุของพวกเราแล้วน่าจะยังไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้…ถ้าอย่างนั้น ผู้ใหญ่งั้นหรอ? แต่การกระทำแบบนี้มันดูอ่อนหัดเกินไป)

  ตามตัวอักษรเลยมีน้ำราดลงมาใส่หัว ฉันที่ใจเย็นลงแล้วยังคงนิ่งอยู่ในท่านั้นสักพักและใช้ความคิด

(อ๊ะ จะว่าไปแล้ว [การโจมตี] ด้วยเวทมนต์ฉันสามารถทำให้มันไร้ผลได้ใช่ปะ? ถ้างั้น นี่คือ เวทมนต์ [ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน] สินะ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ถ้าเป็นพวกเราก็สามารถใช้ได้นี่นา แต่ว่า ถ้าดูจากปริมาณน้ำนั้นล่ะก็ ต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญพอตัวเลย)

  ยิ่งคิดเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดไม่ออก

ทุตเต้ : [ค คุณหนู! เป็นอะไรไหมคะ!]

  จากคนที่อยู่รอบๆคนที่รู้สึกตัวก่อนก็คือทุตเต้ เธอเข้ามาใกล้ๆฉัน พอรู้ว่าไม่มีผ้าที่ไว้ใช้เช็ดตัวเธอก็เลยโมโหและบอกให้เหล่าคนใช้ที่อยู่รอบๆไปเอาผ้าเช็ดตัวมา

ขณะที่ฉันกำลังรู้สึกขอบคุณเธอ ก็เลิกหาตัวคนร้าย และใช้โอกาสนี้เผ่นดีกว่า

แมรี่ : [ทุตเต้…กลับกันเถอะนะ จะไปพบองค์ชายด้วยสภาพแบบนี้ไม่ได้หรอก…]

  ฉันก้มหน้า และพูดเสียงอ่อนระทวยเบาๆ แต่ให้ดังในระดับที่คนรอบข้างได้ยินด้วย พร้อมกับเดินถอยกลับ

(ถึงแม้อาจจะเป็นการเสียมารยาทต่อองค์ชาย แต่ก็ไม่ได้เอาชุดสำหรับเปรียนมาด้วยอะ ถือว่าเป็นการตัดสินอย่างเหมาะสมละกันนะ นี่น่ะ)

  ระหว่างที่เหล่าคนใช้ของปราสาทยังตะลึงงันกันอยู่ก็ตัดสินใจกันเอาเองว่าจะกลับ ก่อนที่จะได้เรียกหยุดฉัน ฉันก็แผ่นแน่บออกมาจากที่นั่นแล้ว

(เอาเถอะ ยังไงก็ตาม…ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นใครก็เถอะแต่ขอขอบคุณที่มอบโอกาศพลาดนัดกับองค์ชาย!)

  ภายในหัวใจของฉันโพสท่าชูมือแสดงถึงชัยชนะ แต่จากที่เห็นภายนอกนั้นไม่ได้แสดงอาการอะไรส่วนเรืองของปราสาทนั้นเอาไว้ทีหลัง

  และในคืนนั้น เมื่อคุณพ่อได้ฟังเรืองราวก็ออกอาการโกรธสุดๆจนแทบจะมุ่งหน้าบุกไปปราสาท ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดีกว่า
คงจะไม่ถึงขั้น…นั่งรถไปอาละวาดที่ปราสาทเพื่อหาตัวคนร้ายหรอกใช่มั้ย มาย ฟาเธอร์

Douyara Watashi no Karada wa Kanzen Muteki no You desu ne – ดูเหมือนว่าร่างกายของฉันจะแข็งแกร็งไร้เทียมทานซะแล้ว

Douyara Watashi no Karada wa Kanzen Muteki no You desu ne – ดูเหมือนว่าร่างกายของฉันจะแข็งแกร็งไร้เทียมทานซะแล้ว

อ่านนิยาย เรื่องDouyara Watashi no Karada wa Kanzen Muteki no You desu neอ่านนิยาย เรื่องดูเหมือนว่าร่างกายของฉันจะแข็งแกร็งไร้เทียมทานซะแล้ว ชาติที่แล้วในช่วงชีวิตก่อนที่จะตายฉันได้วิงวอน [ถ้าได้เกิดใหม่ขอร่างกายที่ไม่ว่าจะเจออะไรก็ไม่แพ้ได้ง่ายๆ] และดูท่าว่าคำขอนั้นจะถูกส่งไปถึง หลังจากมาเกิดใหม่ก็เป็นต่างโลกซะแล้ว ทั้งพละกำลังที่แข็งแกร่งสุดๆ ทั้งพลังป้องกันที่ไร้เทียมทาน ทั้งพลังเวทที่แข็งแกร่งที่สุด ทั้งความเร็วที่เร็วที่สุด การโจมตีทางกายภาพก็ทำอะไรไม่ได้ การโจมตีด้วยเวทมนต์ก็ไร้ผล เพราะว่าไม่มีทางแพ้ทุกๆอย่างไม่ว่าอะไรก็ตามเลยทำให้มีค่า สเตตัสทุกอย่างเต็ม MAX

Options

not work with dark mode
Reset