Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – ตอนที่ 747-748

บทที่ 747 : สนามรบ!
“ข้าไม่ได้เข้าสู่สนามต่อสู้เช่นนี้มานานแล้วสินะ!”
หลิงหยุนจ้องมองเหล่าค้างคาวบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและเลือดในกายของเขาก็สูบฉีดอย่างรวดเร็ว!
หลิงหยุนนนั้นเป็นคนประเภทที่ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งมีความมุ่งมั่นมากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อฝนค่อยๆเพลาลงหลิงหยุนก็ยิ่งเห็นสภาพแวดล้อมได้ชัดเจนขึ้น จิตหยั่งรู้ขั้นสูงสุดถูกเปิดออกเพื่อสำรวจภูมิประเทศโดยรอบ และหลิงหยุนก็พบว่าตำแหน่งที่เขาอยู่เวลานี้นั้นต่ำเกินไป ทำให้เขาค่อนข้างเสียเปรียบคู่ต่อสู้ออย่างมาก
หลิงหยุนไม่ยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเปรียบอย่างแน่นอนเพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของเขา!
เฉินเจี้ยนกุ่ยอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากลูกธนูที่แหลมคมและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพูดคุยกับแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสตนนั้น
“ท่านมาร์ควิสที่เคารพเหยื่อที่ข้าเตรียมไว้ให้กับท่านดยุคแดร๊กคิวล่านั้น เวลานี้ถูกพวกมันช่วยไปแล้ว..”
ระหว่างที่พูดเฉินเจี้ยนกุ่ยก็ชี้ไปที่รถสีเงินซึ่งกำลังแล่นอยู่บนถนนพร้อมกับรีบบอกว่า“นางอยู่ในรถคันนั้น”
ริมฝีปากของแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสแสยะยิ้มและรอยหยันก็ปรากกฏขึ้นในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น “มิสเตอร์เฉิน.. เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวลใจไป ท่านดยุคแดร๊กคิวล่าส่งข้ามาช่วยท่านแก้ปัญหาในเรื่องนี้!”
เฉินเจี้ยนกุ่ยมองไปทางแวมไพร์ขั้นเคานต์ยี่สิบกว่าตนที่ล้อมรอบแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสอยู่และยังมีแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อยู่ด้านล่างอีกสองร้อยตน แม้ในใจจะรู้สึกดีอกดีใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะเตือนแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสว่า..
“ท่านมาร์ควิสที่เคารพชายผู้นั้นมีคันธนูทองอยู่ในมือ ลูกธนูเงินของมันทั้งแหลมคม ทั้งเร็ว และรุนแรงยิ่งนัก สามารถสังหารแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์เหล่าได้อย่างง่ายดาย..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยพาแวมไพร์ทั้งยี่สิบห้าตนมาจากสหรัฐอเมริกาและแวมไพร์ทั้งยี่สิบห้าตนนั้นล้วนไม่มีเจ้านาย เฉินเจี้ยนกุ่ยจะทำกับพวกมันอย่างไรก็ย่อมได้ แต่แวมไพร์เหล่านี้นั้นแตกต่างกัน พวกมันเป็นบริวารของท่านดยุคแดร๊กคิวล่า หากเฉินเจี้ยนกุ่ยไม่แจ้งให้พวกมันทราบถึงความแข็งแกร่งของหลิงหยุนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ตระกูลเฉินคงต้องถูกท่านดยุคแดร๊กคิวล่าตำหนิ และถึงเวลานั้นตระกูลเฉินคงยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสหันมาถาม“เจ้าว่าอะไรนะ! ลูกธนูเงินงั้นรึ? หมอนั่นรู้วิธีที่จะจัดการกับแวมไพร์ด้วยงั้นรึนี่? มันรู้ได้อย่างไรกัน?”
ในตำนานตะวันตกก็เมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการล่าแวมไพร์อยู่มากมาย และกระสุนเงินก็เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสิ่งที่นักล่าแวมไพร์นิยมใช้สังหารเหล่าแวมไพร์
เฉินเจี้ยนกุ่ยบุ้ยปากลงไปด้านล่างพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านมาร์ควิส… ท่านลองมองดูข้างล่างให้เห็นกับตาตนเองเถิด!”
ภาพที่เห็นคือหลิงหยุนกำลังยืนอยู่บนหลังแวมไพร์ซึ่งเป็นบริวารผู้ซื่อสัตย์ของเขาแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ..
“โอ้..ชิท!”
“ซาตาน..นี่มันสามารถยืนอยู่บนหลังของแวมไพร์ขั้นสูงได้ด้วยหรือนี่ มันทำได้อย่างไรกัน?”
เฉินเจี้ยนกุ่ยคาดเดาว่าหลิงหยุนคงจะรู้วิธีที่จะใช้ดาบพายุเล่มนั้นทำให้แวมไพร์กลายเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์มันทั้งโกรธและทั้งอิจฉาริษยาจนต้องกัดฟันตอบกลับไปว่า
“ท่านมาร์คิวส…เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดมันจึงทำเช่นนั้นได้ แต่มนุษย์ผู้นี้เปรียบเหมือนศัตรูคู่แค้นของเหล่าแวมไพร์อย่างพวกเรา..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยคงจะเกรงว่าโลกใบนี้ยังโกลาหลวุ่นวายไม่พอมันจึงพูดต่อว่า “ร่างของมนุษย์ผู้นั้นมีพลังร้อนที่น่าประหลาด พลังของมันรุนแรงไม่ต่างจากแสงศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย ข้าเชื่อว่าเลือดของมันผู้นั้นจะต้องเหนือกว่าเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์มากมายนัก ข้าเชื่อว่าหากท่านมาร์ควิสจับตัวมันกลับไปในคืนนี้ได้ ท่านดยุคแดร๊กคิวล่าจะต้องตบรางวัลท่านด้วยการเลื่อนขั้นให้ท่านเป็นดยุคอย่างแน่นอน…”
ดวงตาสีฟ้าของแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสเป็นประกายขึ้นมาทันที..
“มิสเตอร์เฉิน..ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับข้า! ระหว่างที่ท่านฟื้นตัวนี้ก็จงนั่งดูผลงานของข้าอย่างมีความสุข..”
หลังจากแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสพูดจบก็กระซิบสั่งแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งยี่สิบสามตนให้จู่โจมหลิงหยุนทันที
มดทั้งรังยังสามารถกัดช้างใหญ่โตจนขาดใจตายได้เวลานี้มีบริวารแวมไพร์จำนวนมากมาย แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสจึงไม่เห็นหลิงหยุนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แววตาของมันเป็นประกายพร้อมกับกระพือปีกพาร่างบินขึ้นไปสูงกว่าเดิม
เหล่ากุ่ยขับรถยนต์สีเงินไปตามถนนด้วยความเร็วที่ลดลงและเมื่อรถแล่นไปถึงโค้งของภูเขา ทั้งสองฝั่งถนนก็เริ่มสูงและชันมากขึ้น
“ช่างเป็นภูมิประเทศที่งดงามยิ่งนัก!”
ดวงตาของหลิงหยุนเป็นประกายระหว่างที่บินสำรวจและแล้วเขาก็ร้องสั่งให้เพียร์ซเร่งความเร็วในการบินเพิ่มขึ้น และในที่สุดก็บินนำหน้ารถไปราวหนึ่งร้อยเมตร
หลิงหยุนได้ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจภูมิประเทศล่วงหน้าแล้วและพบว่าด้วยลักษณะของภูมิประเทศแถบนี้ หากหลิงหยุนเผชิญหน้าตรงๆกับเหล่าแวมไพร์ เขาย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่หากเขาแอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้วใช้ธนูซุ่มโจมตี เขาจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างสมบูรณ์
และในสถานการณ์เช่นนี้การมีวิชาเคลื่อนไหวที่ล้ำเลิศก็ไม่ได้ช่วยอะไร หลิงหยุนจึงต้องมองหาภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อชัยชนะในการรบของตนเองแทน
“ฮ่า..ฮ่า.. ที่นี่ล่ะ! ช่างงเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฆ่าคนนัก!”
และหลิงหยุนก็นึกขอบคุณโชคชะตาของตนเองเขาสั่งให้เหล่ากุ่ยเหยียบคันแร่งและไปหยุดอยู่ด้านหน้า!
และที่นี่ก็คือสนามต่อสู้ที่หลิงหยุนได้เลือกแล้ว!
ฝนที่ตกลงมาเริ่มเบาขึ้นแต่เสียงฟ้าร้องยังคงดังกึกก้องสนั่นไปทั่วทั้งหุบเขาจนรู้สึกหนวกหู
-ศัตรูของข้ามีมากกว่าสองร้อยที่นี่เหมาะกับการป้องกันและรับมือ แต่ก็ยากที่ศัตรูจะโจมตีข้าได้ง่ายๆ-
เหล่ากุ่ยหยุดรถและหลิงหยุนก็หันไปมองหน้าผาสูงที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ หน้าผานี้อยู่สูงจากพื้นถนนราวสี่สิบเมตร โขดหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผานั้นมีลักษณะเป็นพื้นนูนครึ่งวงกลม และมีต้นสนอยู่หนึ่งต้น
ด้านล่างโขดหินคือหุบเขาที่ลึกที่สุดและเวลานี้ก็มีเสียงน้ำไหลดังครืนๆกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
ในเวลานี้หลิงหยุนเพียร์ซ เหล่ากุ่ย และเกาเฉินเฉิน ทั้งสี่คนได้ถูกเหล่าแวมไพร์ล้อมไว้หมดทั้งสองฝั่ง และพวกมันก็กำลังบินอยู่เหนือศรีษะของพวกเขาอยู่ราวสามถึงสี่ร้อยเมตร และเวลานี้แวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์สิบกว่าตัวก็บินอยู่ห่างจากรถสีเงินไปราวหนึ่งร้อยเมตร จึงยากที่จะขับต่อไป หรือเลี้ยวกลับได้อีก
“หมูในอวย– ภาษิตนี้เจ้าคงเคยได้ยินสินะ!”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่บินอยู่เห็นหลิงหยุนและคนอื่นๆตกอยู่ในวงล้อมของพวกมันก็ร้องบอกเฉินเจี้ยนกุ่ยอย่างผยอง
“คิดไม่ถึงว่าท่านมาร์ควิสจะรู้จักสุภาษิตเหล่านี้ด้วย..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยเห็นหลิงหยุนถูกล้อมไว้หมดแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับคิดอยู่ในใจว่า ‘ข้าก็อยากรู้ว่าคราวนี้เจ้าจะหนีรอดได้อย่างไรกัน คงยากที่เจ้าจะหนีรอดเงื้อมือของท่านมาร์ควิสไปได้..’
หากทั้งคู่รู้ว่าหลิงหยุนเป็นฝ่ายจงใจเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสนามต่อสู้พวกมันคงจะหวาดกลัวจนแทบกระอักเลือดกันเลยทีเดียว..
แต่ไม่ว่าพวกมันจะรู้หรือไม่ก็ตามพวกมันก็หมดทางเลือกแล้ว!
หลิงหยุนกระโดดลงจากหลังของเพียร์ซไปเปิดประตูรถแล้วคว้าร่างของเกาเฉินเฉินเออกมา และพูดกับเหล่ากุ่ยว่า
“เหล่ากุ่ย..ท่านเห็นภูเขาหินด้านหน้าผาตะวันออกนั่นหรือไม่ พวกเรามุ่งหน้าขึ้นไปทางนั้น!”
หลิงหยุนคำนวนดูแล้วว่าศัตรูของเขาบินได้ หากค้างคาวพวกนั้นบินขึ้นไปหลบบนท้องฟ้า แล้วโฉบลงมาจู่โจมใส่รถ หลิงหยุนคงจะไม่สามารถมาช่วยได้ทัน แม้เหล่ากุ่ยจะมียันต์เตโช แต่ก็สามารถป้องกันได้เพียงแค่ตัวเขาคนเดียว คงไม่สามารถดูแลเกาเฉินเฉินได้แน่!
“ไม่ต้องห่วงรถ..ไปกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนโอบรอบเอวของเกาเฉินเฉินไว้และใช้วิชามังกรพรางร่าง กระโดดขึ้นไปยืนบนโขดหินที่ยื่นออกมา
เหล่ากุ่ยรู้ว่านายน้อยสี่ของตนนั้นได้เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสนามต่อสู้เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาแล้วกระโดดตามขึ้นไปยืนอยู่บนโขดหินซึ่งมีเนื้อที่อยู่เพียงแค่สิบตารางเมตร
“วิชามังกรพรางร่างช่างยอดเยี่ยมนัก..”
และนี่เป็นครั้งแรกที่เหล่ากุ่ยลองใช้วิชามังกรพรางร่างที่หลิงหยุนสอนให้
เหล่ากุ่ยนั้นรู้มานานแล้วว่าวิชาของหลิงหยุนนั้นล้วนแล้วแต่ล้ำเลิศทั้งสิ้นและยิ่งได้ลองใช้กับตนเองก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์จนถึงกับต้องร้องอุทานออกมา
ส่วนเพียร์ซนั้นบินตามหลิงหยุนขึ้นไปแต่ไม่ได้ไปยืนอยู่บนโขดหินด้วย มันกระพือปีกบินอยู่กลางอากาศเพื่อคอยระมัดระวังแวมไพร์ที่จะจู่โจมใส่หลิงหยุน
หลิงหยุนเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาถือไว้ในมือและกระโดดขึ้นไปบนหน้าผา!
เมื่อขึ้นไปถึงหลิงหยุนก็จัดการใช้เท้าเตะหินก้อนใหญ่ลงมาจากหน้าผาและจัดการใช้กระบี่โลหิตแดนใต้เจาะเข้าไปที่หินแข็งให้เป็นถ้ำเล็กๆขนาดสองเมตร
“เฉินเฉิน… เข้าไปอยู่ด้านใน!”
หลิงหยุนยิ้มให้เกาเฉินเฉินพร้อมกับผลักร่างของนางเข้าไปด้านใน“เฉินเฉิน.. อยู่ในนั้นสักครู่ก่อนนะ!”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่บินอยู่บนฟ้าได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ถึงกับตกตะลึงและแววตาเสียใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของมันวูบหนึ่ง
“นี่มันสามารถขุดถ้ำหินบนหน้าผาได้ง่ายดายเช่นนั้นเชียวรึ”
“นั่นมันดาบอะไรกันมันไปได้มาจากที่ใดมา?”
หลิงหยุนยืนอยู่ด้านนอกอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆหน้าตาท่าทางของเขานั้นทั้งหล่อเหลาและสง่างามยิ่งนัก สายตาของเขาที่จ้องมองเหล่าแวมไพร์หลายร้อยตัวนั้นช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน!
“เข้ามาได้เลย!”
คันธนูและลูกธนูอยู่ในมือหลิงหยุนเรียบร้อยแล้ว!

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

Comment

Options

not work with dark mode
Reset