Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – ตอนที่ 751-752

บทที่ 751 : เลิกเล่นสนุก!
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสนำแวมไพร์ขั้นเคานต์มาถึงยี่สิบสามตนและแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อีกถึงสองร้อยสามสิบตน แต่เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวหลิงหยุนกลับสังหารแวมไพร์ขั้นเคานต์ไปถึงหกตน และแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อีกหนึ่งร้อยตน!
เรียกได้ว่าใครก็ตามที่คิดจะจัดการกับหลิงหยุนผลลัพธ์คือตายสถานเดียว!
ความสามารถและความแข็งแกร่งของหลิงหยุนได้สร้างความตกตะลึง และหวาดกลัวให้กับแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดเพี้ยนไม่หวาดกลัวต่อแสงไฟของเพียร์ซ ได้ทำให้แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสถึงกับอิจฉาริษยาอย่างมาก!
เพราะเมื่อครั้งที่ยันต์เตโชลูกใหญ่เริ่มลุกโชนแม้แต่แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสอย่างมันที่บินอยู่ด้านบนยังรู้สึกไม่สบายอย่างมาก และได้แต่กระพือปีกพึบพับหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยดวงตาแดงก่ำ อีกทั้งยังต้องใช้ปีกใหญ่ยักษ์ห่อหุ้มร่างกาย และดวงตาให้พ้นจากแสงไฟที่ลุกโชนนั้น
แต่เพียร์ซซึ่งอยู่ใกล้กับลูกไฟทั้งสองลูกอย่างมากกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย มันยังคงสงบนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแสงไฟดังเช่นแวมไพร์ทั่วๆไป ทำให้แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสทั้งแปลกใจ และทั้งอิจฉา
สิ่งที่แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสยังไม่รู้อีกก็คือว่าเพียร์ซและแวมไพร์บริวารทั้งสามของหลิงหยุนนั้น เวลานี้ไม่หวาดกลัวแสงไฟ และสามารถปรับตัวเข้ากับแสงอาทิตย์ได้แล้ว อีกทั้งยังมีลูกตาสีม่วง และร่างกายก็เริ่มมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น อีกทั้งยังไม่กลัวลูกธนูเงินด้วย..
เวลานี้เพียร์ซและแวมไพร์อีกสามตนได้กลายเป็นต้นตระกูลของแวมไพร์ไปแล้ว!
หากแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสได้รู้เรื่องนี้เข้ามันเองก็คงไม่ลังเลที่จะทรยศท่านดยุคแดร๊กคิวล่า และยอมตนเป็นบริวารของหลิงหยุนอย่างแน่นอน มันคงจะคุกเข่ากอดขาหลิงหยุนพร้อมกับอ้อนวอนว่า..
“ท่านจ้าวแห่งปีศาจทั้งหลายได้โปรดทำให้ข้าเป็นบริวารของท่านด้วยเถิด..”
แต่แน่นอนว่าแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสไม่รู้เรื่องนี้และต่อให้มันรู้ มันก็ต้องรอคอยเจ้านายของมันซึ่งเป็นดยุคแดร๊กคิวล่าทำให้เท่านั้น
“ขั้นเคานต์!”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสรู้ว่าเพียร์ซอยู่ในขั้นเคานต์พร้อมกับจ้องมองอย่างอิจฉาริษยา และเกลียดชัง
“ถึงอย่างไรแวมไพร์ขั้นเคานต์ก็ต้องหวาดกลัวไฟเว้นแต่ว่าจะเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ นี่เจ้าจะต้องใช้มนต์วิเศษอย่างแน่นอน..”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสหวาดกลัวธนูยาวในมือของหลิงหยุนจึงไม่กล้าบินเข้าไปใกล้ และหากมันได้เห็นดวงตาสีม่วงของเพียร์ซ มันก็จะเข้าใจทุกสิ่งที่คิดสงสัยได้ดี..
“ท่านมาร์ควิส..ข้าบอกท่านแล้วว่าชายผู้นั้นเป็นตัวอันตรายของแวมไพร์ ข้าว่าท่านควรจะเรียกบริวารมาเพิ่มมากขึ้นจะดีกว่าหรือไม่”
เฉินเจี้ยนกุ่ยรอจนกระทั่งการต่อสู้หยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงรีบบินขึ้นไปหาแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสพร้อมกับร้องถาม..
“หากข้านำเหล่าบริวารมาอีกมากมายแต่กลับไม่สามารถทำอะไรยอดฝีมือชาวจีนคนนี้ได้แม้แต่น้อย ข้าจะมีหน้ากลับไปพบท่านดยุคแดร๊กคิวล่าได้อย่างไรกัน”
……….
ด้านล่างพื้นหน้าผารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า..
หลิงหยุนเตรียมตัวที่จะโจมตีเหล่าแวมไพร์อีกครั้งเขามองไปยังหน้าผาที่มีลูกธนูเงินปักอยู่มากมาย จากนั้นจึงจัดการดึงลูกธนูเงินที่ปักอยู่
หลิงหยุนดึงลูกธนูเงินที่ปักอยู่ทางด้านซ้ายของปากถ้ำออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังซากค้างคาวขั้นเคานต์พร้อมกับร้องถามเพียร์ซว่า..
“เพียร์ซ..แวมไพร์ที่ถูกสังหารตายในร่างของค้างคาว เมื่อตายไปจะไม่กลายร่างเป็นมนุษย์งั้นรึ” หลิงหยุนร้องถามเพียร์ซ
“ถูกต้องแล้วลูกพี่..แวมไพร์ที่ยังไม่ถึงขั้นบารอน หากตายในขณะที่กลายร่าง ก็จะกลับกลายเป็นมนุษย์เช่นเคย..”
“จากแวมไพร์ร่างใหญ่กลายเป็นค้างคาวตัวเล็กพวกเจ้าทำได้อย่างไร” หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับถามถึงวิธีการ..
“ลูกพี่ที่เคารพ..เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่มันเป็นสัญชาติญาณของเหล่าแวมไพร์ มันน่าจะเป็นเวทย์มนต์ พวกเราชาวตะวันตกเรียกมันว่าเวทย์มนต์..”
มันก็คล้ายกับที่เวลามนุษย์หิวก็ต้องกินมันเป็นสัญชาติญาณ เพียร์ซในฐานะที่เป็นแวมไพร์ก็ยังไม่สามารถบอกเหตุผลที่แวมไพร์สามารถกลายร่างเป็นค้างคาวได้
คงจะไม่ต่างจากคำถามที่ว่า‘มนุษย์เกิดมาจากใหน และตายแล้วจะไปใหน..’ มนุษย์เรามักถามคำถามลักษณะนี้มาตั้งแต่อดีตกาล แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่มีใครตอบได้
“เวทย์มนต์และสัญญชาติญาณงั้นรึ!”
หลิงหยุนขมวดคิ้วและไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะเรียกว่าการบ่มเพาะพลัง หรือเวทย์มนต์ แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นพลังพิเศษที่ต่างกันเพียงแค่ชื่อเรียก
เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะนั้นหลิงหยุนเคยเข้าสู่ขั้นปฐมจิตโดยบังเอิญมาแล้ว เขาได้พบเห็นผู้คนมีปีกมากมายที่เรียกกันว่าเทวดานางฟ้า และที่สำคัญเทวดานางฟ้าเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีพลังพิเศษมากมายด้วยเช่นกัน
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่รู้สึกแปลกใจเมื่อได้เห็นแวมไพร์มีปีกบินได้และสามารถกลายร่างเป็นค้างคาว และมีความสามารถพิเศษอื่นๆอีกมากมาย
“น่าสนใจไม่น้อย..”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและรำพึงรำพันประโยคที่มักพูดจนติดปากออกมา หลิงหยุนไม่ถามมากความอีก เพราะเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่ควร
เขาดึงกระบี่โลหิตแดนใต้ที่ปักไว้ที่หินออกมาและเก็บเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ จากนั้นจึงมองเข้าไปในถ้ำพร้อมกับร้องถามเกาเฉินเฉิน..
“เฉินเฉิน..คุณกลัวมั๊ย”
ภายนอกถ้ำนั้นมีทั้งพายุเสียงฟ้าร้อง และฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่เต็มไปหมด ฝนที่โปรยปรายลงมาเริ่มเบาลงกว่าก่อนหน้านี้มาก เกาเฉินเฉินที่อยู่ในถ้ำลึกไม่สามารถมองเห็นว่าหลิงหยุนอยู่ด้านนอกนั้นอันตรายมากเพียงใด จึงได้แต่ร้องตะโกนตอบไปอย่างเป็นห่วงว่า..
“ฉันไม่เป็นอะไรหลิงหยุน.. ข้างนอกดูเหมือนจะอันตราย นายต้องระมัดระวังตัวให้มากล่ะ!”
ท่ามกลางความมืดมิดเกาเฉินเฉินยิ้มให้หลิงหยุน นอกเหนือจากความห่วงใยในตัวหลิงหยุนแล้ว เธอก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวอะไรแม้แต่น้อย เพราะตลอดฝันร้ายราวกับตกอยู่ในขุมนรกทั้งสามเดือนนั้น ทำให้เกาเฉินเฉินชินชินชาต่อความหวาดกลัว
‘นายน้อยสี่..ท่านช่างดุดันนัก ชายแก่อย่างข้าเห็นเข้าถึงกับเลือดในกายพลุ่งพล่านเช่นกัน..’
แม้เกาเฉินเฉินจะไม่เห็นอะไรแต่เหล่ากุ่ยซึ่งเป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 นั้น ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ เขาจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน และได้แต่แอบชื่นชมหลิงหยุนอยู่ในใจเงียบๆ
‘น่าเสียดายที่บ่าวแก่ๆอย่างข้าฝีมือยังต่ำต้อยนักไม่สามารถช่วยอะไรนายน้อยสี่ได้มาก ช่างน่าละอายยิ่ง!’ เหล่ากุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมา..
เหล่ากุ่ยไม่มีทั้งกระบี่โลหิตแดนใต้และกระบี่มังกรขาว และกำลังภายในของเขาก็เทียบเท่ากับแวมไพร์ขั้นบารอน แต่หากให้รับมือกับแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์เวลานี้ ก็คงต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
อย่าว่าแต่เหล่ากุ่ยเลย..ต่อให้เป็นจอมยุทธชาวจีนขั้นเซียงเทียนคนอื่นๆ ก็ยากที่จะเอาชนะเหล่าแวมไพร์ที่ทั้งเป็นอมตะ มีพละกำลังมหาศาล เคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ อีกทั้งยังสามารถฟื้นตัวจากการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญแวมไพร์ขั้นบารอนนั้นยังสามารถบินได้อีกด้วย เช่นนี้แล้วยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนจะสามารถเอาชนะพวกมันได้อย่างไร
แต่หลิงหยุนนั้นแตกต่างจากจอมยุทธคนอื่นๆและเวลานี้ก็ได้กลายมาเป็นคู่ปรับที่น่ากลัวของเหล่าแวมไพร์ เพราะเขามีไพ่ตายในมืออยู่มากมาย!
หากพูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายหลิงหยุนก็มีวิชาดาราคุ้มกายที่ฝึกถึงขั้นที่สอง เขี้ยวและเล็บที่แหลมคมของเหล่าแวมไพร์จึงไม่สามารถทำอะไรหลิงหยุนได้แม้แต่รอยขีดข่วน
หากพูดถึงเรื่องความรวดเร็วหลิงหยุนก็มีมังกรพรางร่าง และหลังจากดูดซับพลังปราณจากยอดฝีมือเข้าไปในเมื่อคืนตั้งมากมาย หลิงหยุนก็สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึงหนึ่งร้อยเมตรด้วยการขยับเพียงแค่ครั้งเดียว เช่นนี้แล้วใครจะสู้กับหลิงหยุนได้เล่า!
หากพูดถึงเรื่องกำลังภายใน..แทบไม่มีใครเทียบหลิงหยุนได้เลย เพราะหากหลิงหยุนใช้กำลังภายในทั้งหมดที่มี ก็ดูจะเป็นการรังแกเหล่าแวมไพร์จนเกินไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบี่โลหิตแดนใต้กระบี่มังกรขาว และดาบพายุ อาวุธเหล่านี้เมื่อประกอบเข้ากับวิชาเคลื่อนที่ที่รวดเร็วของหลิงหยุนแล้วล่ะก็ จะทำให้สามารถฟันร่างของเหล่าแวมไพร์ขาดออกจากกันได้ไม่ต่างจากเต้าหู้เนื้อนิ่มเลยทีเดียว
นอกเหนือจากนี้หลิงหยุนยังมียันต์เตโชระดับห้ามีเนตรหยิน-หยาง และมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลัง..
ใหนยังจะมีคันธนูทองและลูกธนูที่ทำจากเงินทั้งดอกอีกด้วย..
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่หลิงหยุนพ่ายแพ้ให้แก่เหล่าแวมไพร์นั่นก็คือการบินได้!
“เหล่ากุ่ย..ท่านสบายใจได้ อีกไม่นานนักหรอก!”
หลิงหยุนรู้ว่าเหล่ากุ่ยกำลังคิดอะไรอยู่ในใจเขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยเพราะอีกไม่นานเขาก็จะเริ่มปรุงยาได้แล้ว
ตราบใดที่หลิงหยุนเริ่มปรุงยาได้เขาจะทำให้ผู้คนรอบตัวแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว ทุกคนจะต้องสามารถเข้าสู่ด่านกลางของขั้นเซียงเทียนได้ หรือไม่ก็ด่านสุดท้ายของขั้นเซียงเทียนโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายนัก
“ข้าจะกำจัดกองกำลังของศัตรูที่อยู่ที่นี่ให้หมดก่อนแล้วพวกเราค่อยไปจากที่นี่!”
หลิงหยุนเห็นแวมไพร์ขั้นเคานต์สามารถเข้าใกล้ลูกไฟได้ถึงสองร้อยเมตรจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และไม่ต้องการเสียเวลาเล่นสนุกกับพวกมันอีก
“เหล่ากุ่ย..ท่านไปยืนป้องกันอยู่ที่ปากถ้ำ และจุดยันต์เตโชทุกๆหนึ่งนาที ส่วนเพียร์ซเจ้าไปสังหารพวกมันกับข้า..”
ตูม!
พูดจบ..หลิงหยุนก็จัดการโยนยันต์เตโชขึ้นพร้อมกับกระโดดไปยืนบนหลังของเพียร์ซ
“บินขึ้นไปบนท้องฟ้าจัดการสังหารแวมไพร์ขั้นเคานต์ให้หมด!”
ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นฝ่ายบุกโจมตีก่อน!
ปีกของเพียร์ซกระพือและรีบพาร่างของหลิงหยุนบินสูงขึ้นไปกว่าหนึ่งร้อยเมตรพุ่งตรงเข้าหาแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งสิบเจ็ดตน!
ในเวลาเพียงไม่นาน..ทั้งเจ้านายและบริวารก็บินสูงขึ้นไปอีกห้าร้อยเมตร
ฟิ้ว!
ลูกธนูทั้งสามดอกพุ่งออกไปจากคันธนูพร้อมกัน!
หลิงหยุนยืนอยู่บนหลังเพียร์ซและจัดการยิงลูกธนูเข้าใส่แวมไพร์ทั้งสามตนที่อยู่ด้านหน้า
เพียร์ซบินขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนแม้แต่แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่บัญชาการอยู่ด้านบน ยังคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะกล้าบินขึ้นมาสู้กับพวกมันกลางอากาศเช่นนี้ เหล่าแวมไพร์ต่างก็ตั้งตัวไม่ทัน..
หลิงหยุนบุกเข้าประชิดกองกำลังของเหล่าแวมไพร์ที่เวลานี้อยู่ห่างกันไม่ถึงร้อยเมตรและบนท้องฟ้าที่สูงจากพื้นดินขนาดนี้ หลิงหยุนจึงไม่ต้องห่วงเกาเฉินเฉิน และเหล่ากุ่ย เขาจึงเดินพลังลับหยิน-หยางเต็มที่เพื่อถ่ายเทพลังหยินลงไปที่ลูกศรทั้งสามดอก
ลูกศรแหลมและเย็นเป็นน้ำแข็งของหลิงหยุนทั้งสามดอกนั้นพุ่งทะลุเจาะเข้าไปในร่างของแวมไพร์ทั้งสามตน ในขณะที่แวมไพร์ตนอื่นๆ ต่างก็บินหลบหนีกันอุตลุด..

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

Comment

Options

not work with dark mode
Reset