Dungeon Defence – ตอนที่ 20

หลักฐานว่า ความตายสีดำ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

 

 

‘แต่หลักฐานแบบไหนกันที่ทำให้เธอ …… อะฮ่า’

 

 

ผมปล่อยคำอุทานออกมาในหัวของผม

 

 

อย่างงี้นี่เอง.

 

 

ทำไมผมถึงไม่ทันคิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกฟ่ะ?

 

 

มองผ่านทั้งบาร์บาทอสและไพม่อน, ผมได้เหลือบมองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆผม

 

 

ลาพิส ลาซูรี่

 

 

ถ้าคุณลองคิดดูแล้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดา

 

 

06/27,  ลาพิส ลาซูรี่อยู่ในสถานที่ซึ่งเกิดการระบาดครั้งแรกของโรค ‘ความตายสีดำ’ และได้พบเห็นด้วยตัวเองในวันที่ความตายสีดำได้เริ่มก่อตัวแพร่ระบาด เธอได้ยืนอยู่ ณ จุดเริ่มต้นเลยตั้งแต่แรก

 

 

ลาพิส ลาซูรี่ได้ไปที่เมืองนี้เนื่องจากคำแนะนำของผม แต่ทว่า, สำหรับมุมมองบุคคลที่สามจะเห็นต่างไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

นังซัสคิวบัสผู้ที่บังเอิญได้ซื้อสมุนไพรสีดำ, และโดยบังเอิญเป็นคนแรกที่พบเห็นการระบาดของโรค, และสุดท้าย, โดยบังเอิญอีกเช่นกันที่ความตายสีดำกลับกลายเป็นโรคที่รักษาได้ด้วยสมุนไพรสีดำ

 

 

มันคงจะปรากฏเป็นแบบนี้ต่อมุมมองบุคคลที่สาม

 

 

เป็นไปไม่ได้หรอก, พวกเขาคงจะพูดเช่นนี้แน่

 

 

และไพม่อนก็คงจะคิดว่า ‘เป็นไปไม่ได้หรอก’ เช่นเดียวกัน

 

 

ถ้าคิดแบบนี้ สถานการณ์ต่อไปก็น่าจะเป็นไปได้มากขึ้น บาร์บาทอสได้สร้างโรคความตายสีดำและลาพิส ลาซูรี่ได้ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อแพร่กระจายไปในเมือง หลังจากนั้นลาพิส ลาซูรี่ก็หลบหนีไปยังตัวเบี้ยของบาร์บาทอส , ซึ่งก็คือดันทาเลี่ยน ……

 

 

คนร้ายที่แท้จริงคือ บาร์บาทอส

 

 

ตัวเบี้ยก็คือ ดันทาเลี่ยน

 

 

บุคคลที่ดำเนินแผนการ คือ ลาพิส ลาซูรี่

 

 

โครงสร้างรูปแบบนี้ได้ถูกจัดตั้งขึ้น

 

 

ผมอยากจะปฏิเสธเรื่องนี้ว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ แต่ในทางตรงกันข้าม ไพม่อนจะคิดว่าคำแก้ตัวของผมเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระแทน

 

 

ถ้าไพม่อนถามว่า ‘เจ้าคาดเดาการระบาดของโรคความตายสีดำได้อย่างไรและทำไมลาพิส ลาซูรี่ถึงอยู่ที่นั้นได้ล่ะ?’  ผมคงตอบได้แค่ว่า “ผมรู้เรื่องนี้เพราะมันอยู่ในเกม” และแม้ว่าผมจะโกหกและพูดว่า  “เพราะผมเห็นนิมิตในความฝัน” ผมคงไม่สามารถโต้เถียงกลับได้หากพวกเขาปักใจเชื่อว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ . ไพม่อนก็คงจะตัดสินจากหลักเหตุผลนี้เช่นกัน ……

 

 

‘ถึงแม้ว่า เธอจะลงเอยด้วยการโจมตีผมเพราะเหตุผลนี้ก็เถอะ’

 

 

เอาล่ะ

 

 

การกระทำทั้งหมดของไพม่อนได้ถูกแจกแจงให้เหตุผลแล้ว

 

 

ถ้าเป็นเช่นนั้นละก็ งั้นมันก็เหลือเพียงคำถามเดียวเท่านั้น

 

 

ใครเป็นคนบอกไพม่อนเกี่ยวกับที่อยู่ของลาพิส ลาซูรี่ในตอนนั้นล่ะ?

 

 

ตลอดเวลาทั้งวัน ลาพิส ลาซูรี่ได้ปลอมตัวของเธอตอนอยู่ในสถานที่แห่งนั้น

 

 

มีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้ความจริงว่าลาพิส ลาซูรี่อยู่ที่เมืองต้นกำเนิดของโรคความตายสีดำ ซึ่งก็คือเมืองซีราคิวส์(Syracuse) ระหว่างวันที่ 06/20 ถึง 07/16 . พูดตรงๆก็คือ มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่รู้

 

 

คนแรก.

 

 

‘ตัวผมเองที่สั่งให้ลาพิส ลาซูรี่ไปที่นั่น’

 

 

แน่นอนว่า ผมไม่ได้บอกอะไรกับไพม่อนเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

อีกคนที่เหลือคือ

 

 

‘คนที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรู้ว่าลาพิส ลาซูรี่กำลังทำงานอยู่ที่ไหน’

 

 

กล่าวอีกอย่างก็คือ หัวหน้าของเธอนั่นเอง

 

 

คนที่ได้รับรายงานจากเธอ

 

 

เจ้านายเก่าของลาพิส ลาซูรี่

 

 

อีวาน ล๊อทบรอค—-

(แอส : ความจริงโทรูเคลเป็นคนบอกแต่ดันทาเลี่ยนยังไม่รู้จักโทรูเคล เลยเพ้อกาวแบบนี้ออกมา)

 

 

ผมหันไปมองที่เจ้าแวมไพร์เฒ่า สุภาพบุรุษผู้มีหนวดเคราที่เล็มตกแต่งอย่างดูดีกำลังยืนอยู่อย่างเหม่อลอย ราวกับว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดๆทั้งสิ้น เหมือนกับตั๊กแตนที่ซ่อนตัวอยู่ในดงหญ้าสูงและนอนรอคอยโอกาสที่จะซุ่มโจมตี การพรางกายของเจ้าแวมไพร์นี้น่าทึ่งมากๆเลยให้ตายเถอะ

 

 

‘ใช่แล้ว.’

 

 

แกคือคนที่คอยบงการทุกอย่างจากเบื้องหลัง

 

 

‘เป็นแกนี่เอง.’

 

 

ผู้สมรู้ร่วมคิดถูกเปิดเผยแล้ว

 

 

ขั้นที่สองของการคาดเดาของผมได้เสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย

 

 

‘ผมยอมรับเลย’

 

 

อีวาน ล๊อทบรอคเป็นนักล่าที่เก่งพอตัวทีเดียว

 

 

เหมือนกับสิงโตตัวเมีย เขาพยายามไล่ล่าผมอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาวางแผนและสร้างตาข่ายรอบๆตัวผม ต่างจากไอ้พวกอ่อนหัดอย่างจอมปีศาจแอนโดรมาเรียสหรือนักผจญภัยริฟโดยสิ้นเชิง

 

 

บางทีเขาอาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเผชิญหน้ามานับตั้งแต่ได้มาสู่โลกนี้เลย

 

 

อย่างไรก็ตาม มันมีโอกาสที่การคาดคะเนทั้งหมดของผมนั้นผิดพลาด

 

 

ก่อนที่จะดำเนินการล่าอีวาน ล๊อทบรอคอย่างเต็มรูปแบบนั้น มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่ผมต้องตรวจสอบดูก่อน

 

 

ผมพูดกระซิบด้วยเสียงต่ำ

 

 

“ลาพิส ลาซูรี่”

 

 

ในทันทีที่ผมขยับลิ้นของผม

 

 

เวลาที่ชะลอตัวลงชั่วคราวได้กลับมาเร็วขึ้นอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของไพม่อน เสียงกระซิบของคนอื่นๆ และแม้กระทั่งอากาศที่ผมสัมผัสได้บนจมูกของผม ทุกอย่างได้กลับคืนสู่ความเร็วดั้งเดิมของพวกมัน

 

 

“…… . นั่นคือเหตุผล ที่ผู้หญิงคนนี้เรียกร้องให้ดำเนินการลงโทษดันทาเลี่ยนโดยทันที การฆาตกรรมในครั้งนี้เป็นการกระทำที่ไม่อาจให้อภัยได้! “

 

 

ไพม่อนได้ชี้มาที่ผมด้วยพัดของเธอและพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า

 

 

“มันจะสมควรเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขาที่จะจ่ายเงินค่าปรับจำนวน 1,000,000 ลิบรา เป็นค่าชดเชยจากการฆาตกรรมแอนโดรมาเรียส และตัวดันทาเลี่ยนจะต้องถูกคุมขังในคุกน้ำแข็งเป็นเวลา 15 ปีด้วย!”

 

 

ผมสงสัยว่าพวกเขาคิดว่ามันเป็นบทลงโทษที่รุนแรงเลยเถิดเกินไปหรือเปล่า ผู้คนทั้งตรงนี้และตรงนั้นภายในห้องบอลรูมเริ่มขยับตัวกัน ครึ่งหนึ่งของผู้คนกำลังมองดูราวกับพวกเขากำลังเฝ้าดูบางสิ่งที่น่าสนใจอยู่ และอีกครึ่งหนึ่งกำลังพยักหน้าอย่างจริงจังราวกับว่าพวกเขากำลังเพลิดเพลินกับสถานการณ์นี้

 

 

ในสถานการณ์เช่นนี้ ลาพิซ ลาซูรี่ได้ขานรับอย่างเงียบๆว่า

 

 

“คะ, ฝ่าบาท?”

 

 

“ข้าต้องการให้เธอทำตามคำสั่งต่อไปนี้ของข้าโดยไม่โต้แย้งใดๆทั้งสิ้น ถอยห่างจากข้าไปห้าก้าว และจากนั้น แสร้งทำราวกับว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่เร่งด่วนเกิดขึ้น และเดินไปที่ทางเข้าของห้องบอลรูมอย่างรวดเร็ว “

 

 

“…… เราผู้นี้เดินต้องเดินออกไปยังข้างนอกเลยมั้ยคะ?”

 

 

เสียงของลาพิส ลาซูรี่ค่อนข้างแข็งกระด้าง ก็นะ, ในสถานการณ์ที่พวกเรากำลังถูกกล่าวหาโดยจอมปีศาจอันดับที่ 9 มันเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วแหละ

 

 

ด้วยความเห็นอกเห็นใจเธอ ผมเลยกระซิบอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ว่า

 

 

“ไม่ มันไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก ตั้งแต่บัดนี้การแสดงละครสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นเธอต้องอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าชมมันจวบจนกระทั่งสิ้นสุดลง อย่าลืมจับตามองจากที่นั่งVIPล่ะ “

 

 

“ที่นั่งVIPงั้นเหรอคะ …… ?”

 

 

ลาพิส ลาซูรี่งงงันเล็กน้อยจากท่าทีอันไร้ความกังวลของผม

 

 

ขณะที่ผมกำลังซุบซิบกับเธอ ผมก็ได้สำรวจทุกพื้นที่ของห้องบอลรูมอย่างระมัดระวัง มีบุคคลสำคัญ 65 คนรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงแห่งนี้ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นเจ้าของสมองอันปราดเปรื่องที่สุด ถ้าผมต้องจับพิรุธคนทั้งหมด 65 คนในที่นี้ ผมคงต้องเอาจริงสักหน่อยแล้วล่ะ

 

 

“ข้าจะนับถอยหลังจากห้านะ”

 

 

ผมสั่งเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ

 

 

“ลงมือทันทีเมื่อตอนที่เลข ‘หนึ่ง’ ออกมาจากปากของข้านะ ห้า. สี่. สาม. สอง……”

 

 

หนึ่ง

 

 

ลาพิส ลาซูรี่ได้เริ่มก้าวเท้าของเธอ

 

 

เธอได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผมโดยก้าวถอยหลังไปห้าก้าว จากนั้น ค่อยๆเพิ่มความเร็วของเธอไปยังประตูทางเข้าของห้องบอลรูม

 

 

‘ถ้ามีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นที่นอกเหลือจากอีวาน ล๊อทบรอคละก็’

 

 

ผมรวบรวมสมาธิจดจ่ออยู่กับประสาทการรับรู้ของผมไปยังทุกคนที่อยู่ในห้องบอลรูมแห่งนี้

 

 

“พวกเขาต้องไม่ได้ให้ความสนใจต่อหุ่นเชิดอย่างดันทาเลี่ยนแน่ แต่เฝ้าระวังคนดำเนินแผนการที่แท้จริงแทน ซึ่งก็คือ ลาพิส ลาซูรี่”

 

 

65 คน

 

 

ในหมู่คนเหล่านี้ คนใดที่เฝ้ามองลาพิส ลาซูรี่ตลอดจนจบคนๆนั้นก็คือ ‘ศัตรู’ นั่นเอง

 

 

เมื่อลาพิส ลาซูรี่ได้เดินไกลออกไป  21 คนจาก 65 คน ได้หันไปมองที่เธอตามสัญชาตญาณ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่นานคนเหล่านั้นก็เลิกสนใจความเคลื่อนไหวของนังซัคคิวบัสตัวเล็กๆนี้ และหันสายตาของพวกเขากลับไปหาไพม่อนหรือตัวผมคนใดคนหนึ่ง สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาสนใจต่อลาพิส ลาซูรี่เลย

 

 

‘ออกมาซะ’

 

 

ผมยิ้ม

 

 

ผมสงสัยว่ามันอาจเป็นเพราะสมองของผมได้ทำงานอย่างหนักเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ เหมือนเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันร้อนขึ้น จึงได้มีเหงื่อหยดหนึ่งเกิดขึ้นบนหน้าผากของผม

 

 

‘เปิดเผยตัวตนของแกซะ เจ้าเหยื่อของข้า’

 

 

เมื่อสามวินาทีผ่านไป จำนวนผู้ต้องสงสัย 21 คนได้ลดลงเหลือ 15 คน

 

 

หลังจากผ่านวินาทีที่ห้าไป จำนวนผู้ต้องสงสัย 15 คนก็ลดลงอย่างรวดเร็วเป็น 4 คน

 

 

สุดท้าย หลังจากผ่านไป 11 วินาที …… ก็เหลือเพียงคนเดียว

 

 

มีแค่อีวาน ล๊อทบรอคเท่านั้น

 

 

เจ้าแวมไพร์ผู้แสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ในระหว่างที่กำลังย่นหน้าผากของเขา ก็ได้เฝ้ามองลาพิส ลาซูรี่ตลอดจนถึงที่สุด

 

 

‘อะฮ่า’

 

 

ผมเหยียดยิ้มที่มุมปากของผม

 

 

‘แสดงว่า แกกำลังบอกผมว่ามันไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นอีกนอกจากไพม่อนงั้นเหรอ?’

 

 

เมื่อเป็นเช่นนั้น ขั้นที่สามของการคาดเดาของผมก็ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

 

 

ค้นพบเป้าหมายของตัวการ – ตรวจเจอผู้สมรู้ร่วมคิดของตัวการ – และสุดท้ายก็ยืนยันความถูกต้องของการคาดเดาของผม – ทั้งสามขั้นตอนนี้ได้บรรลุผลอย่างสมบูรณ์

 

 

‘ไม่ใช่ว่าแค่สองคนไม่เพียงพอหรอกหรือ อีวาน ล๊อทบรอค?’

 

 

ในความเป็นจริง มันน้อยอย่างเหลือเชื่อเลยวะ

 

 

โอ้ พ่อแวมไพร์ผู้ชาญฉลาดเอ๋ย

 

 

ไม่เพียงแค่ไพม่อน แกยังควรจะดึงเอาบาร์บาทอสและมาร์บาสเข้าฝ่ายของพวกแกด้วยสิ แกบอกว่าตัวแกเองเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของปีศาจไม่ใช่เหรอวะ มันเป็นไปไม่ได้เหรอที่จะติดสินบนบาร์บาทอสและมาร์บาสถ้าแกใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของแกน่ะ?

 

 

แต่ดันดึงจอมปีศาจมาเพียงแค่คนเดียวนี่สิ

 

 

เฮอะ อย่างมากมีแค่ไพม่อนก็พองั้นเหรอ!

 

 

เพื่อเป็นการฉีกภาพลักษณ์บุคคลที่น่ารังเกียจผ่าเหล่าที่สุดคนเดียวในโลก ผมใช้เงินทั้งหมดของผมและกู้เงิน 10,000 เหรียญทองมาและได้วางเดิมพันอนาคตทั้งหมดของผมไว้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการเป็นสิงโตที่ทุ่มเทกำลังทั้งหมดของพวกเขาในการล่ากระต่ายไงล่ะ!

 

 

ถ้ามีใครบางคนมาหาคุณด้วยเจตนามุ่งร้าย งั้นคุณก็ไม่ควรลังเลที่จะใช้ทุกสิ่งที่คุณมีเพื่อต่อกรกับพวกเขา

 

 

การได้ประสบกับความไร้มารยาทเช่นนี้ ส่วนลึกในจิตใจของผมถึงกับร้องคร่ำครวญออกมาเลย

 

 

อันที่จริงโลกใบนี้เต็มไปด้วยคนที่ไร้มารยาทนะ ในฐานะที่ผมเป็นคนชอบพยายามอย่างเต็มที่เพื่อใช้ชีวิตอย่างสุภาพอ่อนน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ โศกนาฏกรรมของโลกนี้มักจะห้อมล้อมความรู้สึกอันน่าสังเวชมาสู่รอบๆตัวผมเสมอ

 

 

ทำไมคนเราถึงได้ไร้ยางอายกันขนาดนี้หนอ?

 

 

ทำไมคนเราถึงไม่ขี้เกียจสักหน่อยเมื่อตอนที่ไล่ฆ่าคนอื่นฟ่ะ?

 

 

ทำไมคนเรา ผู้ซึ่งต้องข่มความขี้เกียจของพวกเขาไว้เพื่อไล่ฆ่าคนอื่น ทำตัวอิดออดอย่างมากในเรื่องที่ต้องใช้เงินเพิ่มอีกหลายเหรียญทอง เมื่อตอนที่พวกเขาควรจะวางเดิมพันทั้งหมดในการล่าล่ะ?

 

 

น้องสาวต่างแม่คนที่สองของผมได้เคยประเมินไว้ว่า ผมมีความคิดที่โหดเหี้ยมที่สุดมากกว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกเลย แต่นั่นมันผิดแล้วแหละ ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงได้ใช้ชีวิตของพวกเขาแบบ ‘เปิดเผยจริงใจ’ ผมซื่อบื้อในเรื่องพวกนี้น่ะ ……

 

 

ไม่มีอะไรที่ผมจะแก้ได้แล้วล่ะ

 

 

ผมจะสอนแกเองว่ามารยาทที่เหมาะสมนั้นเป็นอย่างไร

 

 

ผมจะทำให้แกเสียใจที่ไม่ทุ่มเทเสี่ยงชีวิตของตัวแกเองเมื่อแกตัดสินใจด้วยตนเองแล้วว่าจะทำลายชีวิตที่สุขสบายของผู้อื่น

 

 

“ผู้หญิงคนนี้อยากจะเสนอแนะให้ได้ยินทั่วกันอย่างเป็นทางการว่า! ฉัน,ไพม่อน, ในฐานะที่เป็นจอมปีศาจอันดับที่ 9 อีกทั้งยังเป็นจอมปีศาจผู้รับหน้าที่ดูแลความยุติธรรม ขอแจ้งข้อกล่าวหาแก่ จอมปีศาจดันทาเลี่ยน ปีศาจอันดับที่ 71 “

 

 

ใช่แล้ว.

 

 

ตั้งแต่เริ่มแรกเลยนะ ไพม่อน

 

 

เธอเป็นตัวปัญหาลำดับแรกเลย

 

 

เธอได้คิดตามหลักเหตุผล และตัดสินว่าผมเป็นเบี้ยของบาร์บาทอส เพราะผมได้ช่วยเหลือและสนับสนุนการแพร่กระจายของโรคระบาด และไม่ยอมทำห่าอะไรเลยในขณะที่ชีวิตคนนับล้านกำลังตายลงเรื่อยๆ

 

 

ภายในเกม   ไพม่อนผู้ไม่เหมาะสมต่อการเป็นจอมปีศาจ ได้แสดงความเป็นมิตรต่อมนุษย์มาก เธอมีงานอดิเรกในการแต่งกายตัวของเธอเองให้เหมือนกับมนุษย์เพื่อล่าผู้ชาย แม้แต่ในเกม ตัวละครหลักก็ยังได้เจอกับไพม่อน ‘ผู้ซึ่งปลอมตัวเป็นมนุษย์’ โดยบังเอิญขณะเดินเตร่อยู่ในเมือง

 

 

ไพม่อนตกหลุมรักฮีโร่ตั้งแต่แรกพบ และจนกระทั่งยามที่เธอต้องเผชิญหน้ากับฮีโร่ เธอก็ยังยืนกรานความรักต่อเขา แม้แต่ตอนที่เธอถูกเสียบด้วยดาบของฮีโร่ในท้ายที่สุดแล้วก็ตาม

 

 

– นี่คือร่างกายที่กำลังตายจากไป

 

 

– ท่านจะไม่มอบจูบสุดท้ายแก่ผู้หญิงคนนี้หน่อยหรือ?

 

 

เธอสารภาพรักของเธอต่อฮีโร่ทั้งอย่างนั้นเลย

 

 

ฮีโร่ ไม่สามารถที่จะปฏิเสธความปรารถนาก่อนตายของเธอได้ จึงตัดสินจูบไพม่อน ถึงแม้ว่าจะมีนางเอกจำนวนมากเล็งที่จะได้จูบแรกจากฮีโร่ แต่คนที่ขโมยจูบแรกของเขากลับเป็นไพม่อน จอมปีศาจผู้เป็นศัตรูของมนุษยชาติ มันเป็นเรื่องราวของความรักที่ค่อนข้างแปลก, ว่ามะ

 

 

เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคความตายสีดำ จึงมีมนุษย์ทยอยตายไปเป็นจำนวนมาก ในมุมมองของไพม่อน ผู้ซึ่งถือว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาทัดเทียมกัน จึงมองว่าความตายสีดำเป็นภัยพิบัติที่ไม่อาจให้อภัยได้

 

 

‘ฉันไม่สามารถให้อภัยบาร์บาทอสต่อโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ได้’

 

 

‘และฉันยังจะลงโทษดันทาเลี่ยนผู้ที่ประพฤติตัวดั่งเบี้ยของหล่อนด้วย’

 

 

พอเถอะ มันไม่เป็นไรหรอกนะ

 

 

เมื่อใช้สามัญสำนึกในการพิจารณาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะ

 

 

มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำของคนทั่วไปที่หลงผิดคิดว่าคนอื่นเป็นฆาตกรทั้งๆที่พวกเขาได้ดำเนินชีวิตตามปกติ แต่ทว่า เมื่อคิดดูดีๆแล้ว ที่ความเข้าใจผิดมันเกิดขึ้นได้ เป็นเพราะเธอไม่ลองพยายามพูดคุยกับผู้คนตั้งแต่ทีแรกเลยนี่หว่า?

 

 

ทำไมเธอถึงโจมตีในทันทีทันใดเลยฟ่ะ?

 

 

เธออยู่ในช่วงเวลานั้นของเธอหรือไงห๊า? บางทีเธอนั้นอาจจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของโรค อยู่-ใน-ช่วง-เวลา-นั้น-ของเดือน-ตลอด และได้ถูกครอบงำโดยความปั่นป่วนทางอารมณ์อย่างควบคุมไม่ได้ของเธอใช่มั้ย? นั้นเป็นปัญหาใหญ่เลย ผมขอแนะนำให้เธอไปหาหมอและวินิจฉัยอาการของเธอเพื่อรับการรักษาในทันที

 

 

แต่ก่อนหน้านั้น ผมจะซ่อมหัวของเธอก่อนเลย

 

 

ทำตัวเป็นเด็กดีน้าและก็เรียนรู้ว่าการมีมารยาทที่แท้จริงนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่ด้วยล่ะ

 

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset