Dungeon Defence – ตอนที่ 34

จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด, อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 20

นิฟเฮม, ณ พระราชวังเจ้าเมือง

 

 

 

หยดเทียนได้เลื่อนไล้ลงไปตามตัวเทียน

 

มันคือเวลากลางคืนแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างจึงได้มืดเป็นที่เรียบร้อย

 

ผมได้กล่าวพลางจ้องมองเทียนที่กำลังลุกโชนอย่างแผ่วเบา

 

“ข้าสงสัยว่าข้าได้ทำอะไรผิดกันแน่”

 

“……”

 

“ระหว่างที่เดินทางบนฟ้าจากพาเวียไปยังจักรวรรดิฮับส์บูร์ก และตลอดทางการไปปราสาทของข้าในแบล็กเมาน์เทน ลาพิสและข้าไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และในหัวข้าก็ยังสับสนอยู่”

 

ผมเงยหน้าขึ้น

 

บาร์บาทอสได้นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามกับผม

 

คิ้วของเธอได้ขมวดเป็นรูป 八 และริมฝีปากเธอก็รั้งขึ้นหยั่งกับว่าเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เว้นแต่ว่า บาร์บาทอสไม่สามารถเปล่งวาจาได้แม้แต่คำเดียว จนถึงช่วงนึงในระหว่างที่กำลังฟังเรื่องราวผม เธอก็ได้ลืมดื่มเหล้าและจ้องมองที่หน้าผมเท่านั้น

 

พูดไม่ถูก

 

แบบนั้นแล

 

“ข้าได้ตกลงใจอย่างแน่วแน่ ว่าหากลาพิสทำตัวเกินเลยอีกครั้ง งั้นข้าก็จะแสดงให้เธอรู้ฐานะของเธอเอง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ……ไม่ว่าจะเป็นความโกรธหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกๆอารมณ์กลับหายวับไปและเหลือไว้เพียงแต่ความสับสนเท่านั้น “

 

สิ่งที่ลาพิสหวังไว้คืออะไรกันแน่

 

“มันเป็นเพราะข้าไม่เข้าใจน่ะ ลาพิสได้หยุดข้าเมื่อตอนที่ข้าได้พยายามฆ่าหญิงชรา เธอได้หยุดข้าอีกครั้งเมื่อข้าพยายามฆ่าสาวใช้นั่น มันไม่น่าแปลกใจเลยเหรอ? ว่างั้นมะ? บาร์บาทอส นี่มันผิดปกติชัดๆเลย “

 

ผมเหยียดมุมปากของผมขึ้น

 

ผมตั้งใจที่จะยิ้มแต่ปากของผมดันจบลงตรงที่การกระตุกแทน

 

สำหรับบาร์บาทอส สารรูปตอนนี้ของผมจะต้องแสดงออกมาอย่างทุเรศแน่ๆ

 

ในเมื่อมันคือหลักฐานว่าอารมณ์ผมได้หลุดจากการควบคุมของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเลยปล่อยมันไว้อย่างงั้นแหละ

 

……เอาเป็นว่าตอนนี้ มันคงจะดีกว่าหากปล่อยเอาไว้แบบนั้นอ่ะนะ

 

“ถ้าเธอหวังให้ข้าเป็นวายร้ายอำมหิต ถ้าคำขอร้องของลาพิสคือให้ข้ากลายเป็นวายร้ายที่อำมหิต…….งั้นเธอคงจะไม่ขัดข้า เมื่อตอนที่ข้าพยายามฆ่ายัยแก่นั่นและตอนที่ข้ากำลังจะฆ่าสาวใช้นั่น มันน่าจะเป็นเรื่องถูกต้องที่จะปล่อยให้ข้าทำในสิ่งที่ข้าต้องการในช่วงเวลานั้น นั่นแหละที่พฤติกรรมของเธอจึงจะดูสมเหตุสมผล ใช่มะ? “

 

“……ใช่เลย”

 

“ทำไมเธอถึงขอให้ข้าแสดงความเมตตาในบางครั้ง และจากนั้นก็ขอให้ข้าทำร้ายคนอื่นน่ะ? เธอต้องการสิ่งใดจากข้ากันแน่? ข้าเริ่มกลุ้มใจเมื่อใดก็ตามที่ข้าคิดถึงเรื่องนี้…… “

 

ผมปิดตาด้วยมือของผม

 

“บาร์บาทอส เชื่อข้าเหอะ ข้าตั้งใจที่จะพิจารณาสิ่งใดก็ตามที่ลาพิสร้องขอจากข้า หากลาพิสขอให้ข้าเป็นเจ้านายที่เมตตาและใจกว้าง ข้าก็จะยอมทำตามอย่างจริงจัง หากเธอขอให้ข้าเป็นทรราชย์ผู้เหี้ยมโหด ข้าก็เต็มใจทำตามนั้นเช่นกัน ข้าได้เตรียมใจไว้แล้ว ข้าได้เตรียมใจที่จะเดินไปตามแนวทางนั้นกับเธอ มันคือความสัตย์จริง”

 

“……”

 

“แต่ว่า ข้าไม่สามารถเป็นได้ทั้งสองอย่างหรอกนะ นั่นเป็นไปไม่ได้เลย เดินตามแนวทางที่แตกต่างกัน 2 แนวทางในเวลาเดียวกันไม่มีทางเป็นไปได้ งั้นจะเหลือทางเลือกอะไรอีกล่ะ? ฮึ? การทำตามความคิดพิลึกของลาพิส หรือนั่นเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่?

 

“……”

 

“นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน นั่นคือการกระทำที่บ้าบอที่สุดที่ข้าจะทำ แม้แต่ข้าก็มีขีดจำกัดนะ ต่อการไว้ชีวิตผู้คนเมื่อลาพิสบอกข้าให้ทำ ต่อการฆ่าผู้คนเมื่อลาพิสบอกให้ข้าลงมือ……ข้าไม่สามารถเป็นหุ่นเชิดแบบนั้นให้เธอได้หรอกนะ ไม่มีทาง”

 

นั่นหมายถึงความตายสำหรับผม

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างลาล่ากับผมกำลังพังทลายลง

 

แม้กระทั่งหลังจากกลับมาที่ปราสาทผม เราก็ไม่ได้พูดคุยกันสักนิดเลย วิถีชีวิตการใช้ห้องนอนร่วมกันของเราแน่นอนว่าก็หายวับไปเหมือนกัน

 

ในการเตรียมรับมือกองทัพ 2,000 นายที่กำลังจะบุกเรา พวกเราได้มาวางแผนและเตรียมการต่างๆ แต่ก็แค่นั้นแหละ

 

ถ้อยคำที่โต้ตอบกันได้ถูกคงไว้ในระดับที่น้อยที่สุด

 

แบบการสนทนาทางวิชาการและธุรกิจอ่ะนะ

 

นอกเหนือจากเรื่องเหล่านั้น ก็ไม่มีถ้อยคำอื่นอีกได้แบ่งปันกันระหว่างพวกเรา

 

เวลาได้ล่วงเลยไปอย่างช่วยไม่ได้

 

จนบาร์บาทอสได้กล่าวออกมา

 

“……มาพักสักหน่อยดีกว่านะ ดันทาเลี่ยน”

 

การเยาะเย้ยและดูถูกที่เธอแสดงออกมาตอนเริ่มแรกได้อันตรธานหายไปจากสายตาแล้วในเวลานี้

 

คงไว้แต่ความสังเวชเล็กน้อยและความลังเลใจอย่างเห็นได้ชัดบนใบหน้าเธอ

 

สาเหตุที่ความสังเวชเธอมีน้อยนิดก็เพราะเธอกำลังทำสุดความสามารถเพื่อไม่แสดงความเห็นใจต่อผมน่ะ และเหตุผลที่ความลังเลใจของเธอเห็นได้ชัดก็เพราะเธอกำลังยั้งตัวเองไว้จากการให้คำแนะนำอันไม่รอบคอบ แค่จากสีหน้านั้นเพียงอย่างเดียว ผมก็สามารถบอกได้ว่าบาร์บาทอสเป็นผู้หญิงที่ดีคนนึงทีเดียว

 

“พักผ่อน?”

 

“เจ้าโง่เอ๊ย มันดึกแล้วนะยะ นายพูดมาหลายชั่วโมงแล้วน้า เสียงนายได้แตกพร่าและหน้านายก็ดูเหมือนศพเน่าๆไม่มีผิดเลย “

 

ผมได้นำกระจกเล็กๆออกมาอย่างเงอะงะและก้มมองมัน

 

อย่างที่บาร์บาทอสบอกเลย หน้าผมได้ซีดเซียวเหมือนซอมบี้ไม่มีผิดนั่นแหละ

 

ดูเหมือนผมจะอินในบทผมเกินไปหน่อยนะ

 

“อืม…..ข้าก็ว่าพวกเราควรจะพักสักครู่นึง”

 

“นายไม่มีอะไรให้ดื่มเลยเหรอยะ?”

 

บาร์บาทอสได้เขย่าแก้วในมือขวาเธอ ซึ่งแก้วของเธอนั้นว่างเปล่าอยู่ เธอฉีกยิ้มเหมือนเด็กนิสัยเสียและกล่าวว่า

 

“มาคิดๆดูแล้ว นี่ไม่ใช่สหายที่น่าตลกหรอกเหรอ? เน่, ดันทาเลี่ยน ข้าได้ฟังอย่างอ่อนน้อมต่อเรื่องรักใคร่ของนายมาสักพักแล้วน้า แต่นายกลับไม่แม้แต่จะบริการข้าด้วยเหล้าแจ่มๆสักหน่อยหรอกยะ? สำหรับไอ้เวรที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากการขายสมุนไพรสีดำ นั่นทำถูกแล้วรึ? ถ้านายทำตัวแบบนั้นต่อ นายจะทำให้คนอื่นๆหนีหน้ากันนะ “

 

“ฮ่าๆ”

 

เธอคงพูดถากถางอย่างขบขำเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ

 

ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงนิดหน่อยจากอีกฝ่ายนึง

 

อย่างที่คิดเลย บาร์บาทอสเป็นผู้หญิงที่ดีนะ

 

ในชีวิตที่น่าจืดชืดนี้ การเป็นห่วงก็เหมือนกับเกลือ ไม่ว่าชีวิตจะไร้รสชาติเต็มกลืนแค่ไหน หากคุณเติมเกลือนิดหน่อยงั้นอย่างน้อยมันก็น่ากินขึ้นบ้าง บาร์บาทอสได้รู้วิธีใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นอย่างเหมาะสมจริงๆ

 

“ย่อมได้อยู่แล้ว และข้ารู้ว่าเธอจะชื่นชอบสิ่งนั้นชัวร์”

 

“หืม แล้วไอ้สิ่งนั้นคืออะไรเล่า? “

 

“รอแปปนะ ข้าจะนำบางสิ่งที่เธอจะต้องชอบแน่ๆ “

 

ผมเดินเข้าหามุมห้องรับรองและหยิบขวดออกมาจากตู้ มันคือขวดไวน์อันนึง หลังจากแสดงขวดต่อบาร์บาทอสพร้อมกับส่งเสียง ‘แต๊น-แต๊น’ ใบหน้าเธอก็แข็งทื่อในทันที

 

“อย่า-อย่าบอกนะว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดไว้ ใช่มั้ย?”

 

ผิดจากตัวเธอยามปกติ คำพูดของบาร์บาทอสได้สั่นเครือ

 

ผมได้ยิ้มกริ่ม

 

“บ่อเพลิงโลกันตร์ ดินแดนซึ่งโด่งดังที่สุดในโลกของปีศาจที่ได้กลั่นไวน์ชั้นสูง ในหมู่พื้นที่ภายในดินแดนนั้น มันเป็นไวน์ที่มีคุณภาพเยี่ยมที่สุดซึ่งผลิตขึ้นเพียงปีละครั้งในดินแดนของเค้าท์ลาวา ยอดไวน์ในหมู่ไวน์ ผลิตในปีบาเลลีเนียมที่ 1101 มันคือไวน์ที่กลั่นในพิธีรำลึกถึงสงครามเวียดครั้งที่ 2 เป็นผลิตภัณฑ์ของแท้ที่มีอายุกว่า 400 ปี “

 

“บ้าน่า!”

 

บาร์บาทอสตะโกนโพล่งออกมา

 

“นั่นเป็นไวน์ชั้นเยี่ยมที่แม้แต่ตาแก่บาอัลยังลำบากในการได้มานะยะ!”

 

“ข้าได้ลงแรงขวนขวายนิดหน่อยอ่ะนะ”

 

จริงๆก็คือ ผมได้ใช้ความพยายามของอีวาน ล๊อทบรอคนิ

 

นี่คืออุทาหรณ์อันเด่นชัดที่แสดงให้เห็นว่าการมีลูกกระจ๊อกที่เส้นใหญ่ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นเยอะเลย

 

“โอ้เหล่าเทพธิดาเอ๋ย นั่นบ้าไปแล้ว! ของแท้งั้นเหรอ? นั่นไม่ใช่ของแท้ ใช่มั้ย!? “

 

บาร์บาทอสได้เด้งตัวออกจากโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ความพิศวาสต่อไวน์ของจอมปีศาจบาร์บาทอสเป็นที่โจษจันกันดี

 

เธอคิดว่าตนเองเป็นนักดื่มที่เก่งที่สุด และจอมปีศาจคนอื่นๆก็ยอมรับว่าเธอเป็นนักดื่มคอทองแดงที่สุดในหมู่พวกเขา สำหรับเธอ ไวน์นี้เปรียบเสมือนน้ำจอกศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้ เมื่อเปลื้องมารยาทและศักดิ์ศรีทิ้งไป เธอก็วิ่งกรูเข้ามาหาผม

 

“เอามาให้ข้า!”

 

“ได้สิ เอ้านี่”

 

ผมโยนขวดขึ้นไปในอากาศ

 

แบบนุ่มนวล ราวกับผมกำลังเล่นลูกบอลอยู่

 

“กรี๊ดดดดด!?”

 

“รับให้ดีนะจ๊ะ”

 

“ไอ้เวรนี่—!?”

 

บาร์บาทอสได้ใช้เวทออกมาทันทีเพื่อคว้าขวดที่อยู่สูงในอากาศ จากที่ผมพอจะมองออก วงเวทมนต์ดำ 3 ชั้นได้ถูกเปิดใช้พร้อมๆกัน

 

เริ่มแรก บาร์บาทอสได้เหยียบเท้าลงบนพื้นและกระโจนขึ้นไปบนอากาศกว่า 3 เมตร หมอกดำได้ปรากฏขึ้นในพื้นที่ว่างใกล้ๆขวดและม้วนพันรอบมัน เป็นเพราะเวทนั้น การตกลงมาของขวดจึงได้ช้าลง ต่อจากนั้น ก็มีมือล่องหนคว้าจับขวดไวน์ไว้

 

หากนักเวทคนอื่นๆได้เห็นฉากเหตุการณ์นี้ งั้นพวกเขาคงจะไม่สามารถระงับความงงงวยไว้ได้แน่ เหตุผลแรก คือเรื่องที่ว่าวงเวท 3 ชั้นได้ถูกใช้ออกพร้อมๆกัน เหตุผลที่สอง คือเรื่องที่ว่าวงเวท 3 ชั้นได้ใช้ออกเป็นผลสำเร็จโดยไม่มีการท่องหรือการร่ายคาถาอะไรแบบนั้นเลย และเหตุผลสุดท้าย คือเรื่องที่ว่าสุดยอดทักษะเวทมนตร์นี้ใช้เพื่อคว้าขวดไวน์ไว้เพียงขวดเดียว

 

เชื่อได้เลยว่า เป็นที่ชัดเจนว่าบาร์บาทอสไม่สนหรอกว่านักเวทคนอื่นๆจะคิดยังไงกับเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอต่างจดจ่ออยู่กับ ‘บาเลลีเนียมปี 1101’ ทักษะทางเวทมนตร์ซึ่งเธอได้ฝึกฝนแล้วและฝึกฝนเล่ามาตลอดชั่วชีวิต 500 ปีของเธอ ณ เวลานี้ ถูกนำมาใช้ต่อขวดแก้วที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 10 ซ.ม. ผมสงสัยว่าแม้แต่เทพธิดาก็คงประทับใจโดยความตั้งใจของเธอแน่

 

ในที่สุด ขวดก็เข้ามาสู่มือเธอและเธอก็ลอยลงบนพื้นอย่างปลอดภัย

 

“อ๊าาาาาาา!”

 

บาร์บาทอสได้ชูขวดไวน์ขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้าง ประหนึ่งนักบาสเกตบอลที่รับลูกรีบาวด์ได้สำเร็จในช่วงนาทีชี้ขาด

 

ในเวลานี้ เธอนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า คือจ้าวพสุธาไปแล้ว

 

“นายเห็นมั้ย แม่เจ้าโว้ย! นี่แหละคือความเจ๋งเป้งของอันดับที่ 8 บาร์บาทอสล่ะเว้ย!

 

“อืม”

 

ผมเผลอปรบมือให้เธอซะงั้น

 

“ข้าไม่แน่ใจนะ แต่ดูเหมือนว่าการแสดงผาดโผนที่น่าอัศจรรย์บางอย่างได้เกิดขึ้นตะกี้นะ”

 

“ดันทาเลี่ยน ไอ้เห็บหมา!”

 

บาร์บาทอสได้เขม่นมองผมอย่างดุร้าย

 

“พวกเห็นแก่ตัวอย่างนายไม่ได้มีสิทธิ์แม้แต่จะชิมหยดน้ำอันเลิศรสนี้ด้วยซ้ำ! นายกล้าดียังไงถึงโยนบาเลลีเนียมนี้ดั่งของเล่นเด็กสักอย่างเลยยะ! อ๋าาาาา!?”

 

มันน่าทึ่งนะ สำหรับคนที่ดูคลับคล้ายอายุ 13 ปี ดันมีออร่าอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากสายตาเธอได้ ถ้ามันไม่ใช่เพราะขวดไวน์ที่ถูกกอดไว้อย่างเอาเป็นเอาตายในอ้อมแขนเธอเฉกเช่นสมบัติล้ำค่า ผมก็อาจกลัวขึ้นมาจริงๆก็เป็นได้ จริงๆน้า ไม่ได้พูดเล่นไป

 

“อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆจังว้อย! ไม่อยากเชื่อเลย ไวน์ที่มีอายุกว่า 400 ปีเชียวน้า! นักกลั่นไวน์ ได้ใช้เวทมนตร์พิเศษที่สุดในโลก เวทมนตร์ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อเก็บรักษาไวน์ อีกทั้งยังลงเวทใหม่ทุกๆครึ่งเดือนด้วย ไวน์นี้ที่ได้รับเก็บรักษามาหลายชั่วอายุคนเพียงเพื่อกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตอนนี้! ต่อการที่นายโยนไวน์นี้ที่ไม่แม้แต่จะวางขายในตลาดทั้งหลาย และเป็นของกำนัลเท่านั้นต่อบุคคลที่อาร์คดยุคแห่งบ่อเพลิงโลกันตร์ตัดสินใจเองว่าเป็นผู้ที่สูงส่งและสง่างามที่สุด! กลับโยนมันหยั่งกับของต่ำตมอันนึง! ไอ้ระยำที่ไม่แม้แต่จะมีค่าเท่ากับเศษดินบนกรงเล็บอีกาด้วยซ้ำนี่! “

 

ผมพยักหน้าและกล่าวว่า

 

“ข้ามั่นใจมากขึ้นแล้วว่าเธอขี้เหล้าหนักขนาดไหน”

 

“ข้าไม่ใช่พวกขี้เหล้านะ ข้าแค่ชอบดื่มเฉยๆย่ะ!”

 

ระหว่างที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บาร์บาทอสก็มองลงที่ขวดแก้ว พลังมนต์ดำได้ไหลออกมาจากมือเธอ เธอคงจะตรวจสอบว่าไวน์เป็นของแท้หรือเปล่าผ่านเวทมนตร์น่ะ

 

“!?”

 

บาร์บาทอสได้อ้าปากค้าง

 

สีหน้าเธอได้เปลี่ยนเป็นยาวเรียวแบบในหนังเรื่อง [The Scream] ของ Edvard Munch

 

“นะ-นาย…… ถ้านี่ไม่ใช่ของจริง หากเป็นงั้น ข้าจะไม่ปล่อยนายแน่สำหรับข้อหาหลอกลวงกัน…… “

 

“ข้าจะให้เธอได้ดื่มจิบแรก”

 

“—!”

 

บาร์บาทอสถึงกับสะอึก

 

“แต่จิบแรกนี่……รสเด็ดสุดๆเลยนะ รู้มั้ย?”

 

“ก็นั่นแหละข้าถึงให้เธอได้มันไป”

 

ผมฉีกยิ้มกว้างให้เธอ

 

สำหรับเธอในตอนนี้ ผมคือเทวดาดีๆนี่เอง

 

ผมน่าจะเปล่งแสงโชติช่วงออกมาราวกับนักบุญผู้ได้รับพระวจนะจากเหล่าพระเจ้า

 

“เราไม่ใช่เพื่อนกันหรอกรึ บาร์บาทอส?”

 

“ดันทาเลี่ยน……”

 

บาร์บาทอสได้มองมาทางนี้ด้วยสายตาที่ซาบซึ้งใจ

 

“นายอาจจะเป็นไอ้เห็บหมา แต่นายก็เป็นเห็บหมาที่ดีนะ”

 

“……แม้ข้าลำบากใจจังว่าจะมองมันเป็นคำชมดีหรือเปล่า แต่เพื่อเห็นแก่มารยาท ข้าจะรับมันเป็นคำชมเชยก็แล้วกันนะ”

 

“นะ-นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับเรื่องนั้นน้า แก้วไวน์ล่ะ ข้าทิ้งแก้วไวน์ไว้ไหนว้า!? “

 

บาร์บาทอสได้แกว่งแขนไปรอบๆอย่างลนลาน เมื่อเธอทำเช่นนั้น แก้วที่กำลังกลิ้งไปมาบนพื้นพรมก็ลอยเข้าสู่มือเธอ บาร์บาทอสกลืนน้ำลายก่อนกล่าวออกมา

 

“ดะ-ดีมาก, บาเลลีเนียมปี 1101เอ๋ย จงแสดงกลิ่นสัมผัสแห่งตัณหาของเจ้าแก่ข้าซะ”

 

“ข้าคิดว่าสิ่งที่เป็นตัณหาไม่ใช่ตัวไวน์หรอกนะ แต่เป็นภายในหัวของเธอ…… “

 

“หุบปาก”

 

บาร์บาทอสเริ่มต้นร่ายเวทมนตร์ ผมรับประกันได้ว่าจากเวทมนตร์ทั้งหมดที่ผมได้พบเห็นจนถึงปัจจุบัน นี่คือสิ่งที่น่าดลใจมากที่สุดจากเวททั้งมวล เหตุผลก็เพราะนี่คือเวทที่ไร้ค่าจริงๆ เวทนี้ ซึ่งก็คือเวทเปิดจุกขวด ได้ถูกร่ายโดยบาร์บาทอสเพียงเพื่อดึงจุกขวด ขณะที่เธอพึมพำคาถา จุกไม้ก๊อกก็ค่อยๆเลื่อนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ด้วยเสียง “ป๊อป” ตัวจุกก๊อกก็หลุดออกมา

 

บาร์บาทอสนำขวดที่เปิดแล้วไปที่ปลายจมูกของเธอและสูดดม

 

“……”

 

อา นั่นคือใบหน้าของคนที่เสียสติไปแล้ว

 

ราวกับว่าสติของเธอได้โผบินขึ้นไป 500 เมตรสู่นภาอากาศเป็นที่เรียบร้อย

 

แม้ว่าจะยังไม่ได้ลิ้มรสไวน์ ใบหน้าของบาร์บาทอสก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยความสุขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“ทะ-ที่แท้สวรรค์นั้นมีจริงนิ”

 

“ในฐานะที่เป็นคนมอบของขวัญให้เธอ ข้ามีความสุขนะที่เธอพอใจกับอีแค่กลิ่นเพียงอย่างเดียว เอาล่ะทีนี้ก็ดื่มเลยสิ “

 

“ดื่ม? เนี่ยนะ……?”

 

บาร์บาทอสเริ่มตัวสั่นสะท้านไปพร้อมกับขวดไวน์และแก้วที่อยู่ในมือของเธอด้วย

 

“ดันทาเลี่ยน นายไม่รู้หรอกว่าสิ่งนี้มีค่าแค่ไหน นายสามารถดื่มของล้ำค่าได้ยังไง? นายไม่ควรดื่มของล้ำค่าหรอกนะ นายไม่ควร…… “

 

“ข้าคิดว่าเธอบอกว่าเธอชอบดื่มเหล้านะ เหล้าที่ดีที่สุดอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่เธอกลับยังไม่ดื่มอีกเหรอ? “

 

“อึก…… !”

 

บาร์บาทอสได้บิดหน้าของเธอสู่ความท้อใจ

 

“ความขัดแย้งนี้คืออะไรกันเนี่ย? เพราะข้าพิสมัยเหล้ามากกว่าใครเพื่อน ข้าจึงใฝ่ฝันต่อบาเลลีเนียมมาตลอด แต่เป็นเพราะข้าพิสมัยเหล้ามากกว่าใครเพื่อน แต่ถึงยังงั้น ข้ากลับไม่สามารถดื่ม บาเลลีเนียมได้! ความขัดแย้ง! ความปวดร้าวใจ! หรือนี่คือชะตาชีวิต…… ! “

 

อีกแค่นิดเดียวเธอก็จะค้นพบสัจธรรมของจักรวาลแล้วอ่ะนะ

 

เสน่ห์ของฝ่าบาทบาร์บาทอสกำลังป่นปี้เนื่องจากขวดไวน์เพียงขวดเดียว

 

“เอามานี่ ข้าจะรินให้เอง “

 

“โอ-โอเค”

 

บาร์บาทอสส่งขวดแก้วให้ผมอย่างเชื่อฟัง

 

เพื่อทำตามมารยาทการดื่ม ผมจึงรินไวน์อย่างสุภาพด้วยแขนข้างเดียว บาร์บาทอสได้มองแก้วซึ่งเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงสดด้วยสีหน้าที่กระวนกระวาย ผมคิดจริงๆว่าเธอคงจะฆ่าผมแน่ถ้าผมทำหกแม้เพียงหยดเดียว

 

“ชนแก้ว”

 

“ชน……ชนแก้ว”

 

กริ๊ง

 

เสียงสะท้อนสดใสได้ก้องกังวาลเมื่อแก้วของเราชนกัน ระหว่างที่ผมดื่มด่ำไปกับไวน์ในอิริยาบถที่ผ่อนคลาย บาร์บาทอสก็ได้จ้องผมอย่างกระสับกระส่าย

 

“มะ-มันยอดมั้ย?”

 

“ก็นะ แน่นอนว่ายอดอยู่แล้วแหละ”

 

“แล้วรสชาติมันเป็นไงบ้าง ฮึ? อธิบายให้ละเอียดที่สุดเท่าที่นายทำได้หน่อยสิ “

 

“……ข้าไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงขอให้ข้าทำอย่างนั้นในเมื่อเธอแค่ดื่มมันเองก็สิ้นเรื่องแล้ว”

 

“เพราะมันจะเสียของอ่ะจิ…… “

 

ผมขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้

 

บาร์บาทอสเป็นผู้หญิงที่เกินเยียวยาแล้วแล

 

“ฮู่ ฮ่า ฮู่ ฮ่า”

 

บาร์บาทอสเริ่มหายใจยาวลึก อีกทั้งเธอยังเริ่มพูดพึมพำกับตนเองว่า “นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าไวน์แดง” ผมสงสัยว่าการพึมพำของเธอคงมีผลเพราะสีหน้าเธอเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หากผมจะพูดอะไรบางอย่างในมุมมองส่วนตัวของผมเอง ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าเธอนั้นบ้าไปแล้ว

 

ในที่สุด บาร์บาทอสก็จรดแก้วบนริมฝีปากเธอและจิบไวน์ ดวงตาเธอได้ปิดอยู่เป็นเวลานาน จากนั้น ไหล่เธอก็เริ่มสั่นเทาและจู่ๆเธอก็บ่อน้ำตาแตก

 

“ฮือออ…… ข้าทำดีมากที่มีชีวิตอยู่มาได้ ถึงมันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ถึงมันจะยากที่มีชีวิตถึง 500 ปี แต่ว่า, ฮือออ, ข้าทำดีจริงๆที่อยู่มาได้นานขนาดนี้”

 

“……ก็จริงนะ”

 

แม้แต่ผมก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตกตะลึงกับสถานการณ์แบบนี้

 

บาร์บาทอสจิบไวน์พลางหลั่งน้ำตาอุ่นๆออกมา สิ่งที่น่าแปลกใจ คือระหว่างที่เธอกำลังดื่ม วิธีการดมกลิ่นผ่านจมูก วิธีการกลั้วไวน์บนลิ้นเธอ ฯลฯ เธอทุ่มเทเพื่อให้แน่ใจว่าได้กระทำวิธีการชิมทั้งหมดอย่างครบถ้วน แม้เธอจะเป็นคนวิกลจริต แต่เธอก็วิกลจริตอย่างมีเหตุผลนะ

 

“เอามานี่”

 

บาร์บาทอสเทน้ำในแก้วเธอทิ้งโดยทันทีและแย่งขวดจากผมไป โดยไม่สามารถขัดขืนได้ ผมเลยส่งขวดให้เธอ

 

“ฮึกฮือออ ฮึก อึก”       (ร้องไห้แล้วดื่มมั้ง)

 

พลางร้องไห้ไปด้วย

 

“ฮือออ”

 

แล้วเทเพิ่มอีกแก้ว

 

“ยอดมาก มันช่างยอดมากจริงๆ เวรเอ๊ย”

 

และร้องไห้อีกครั้ง

 

ฉากอันค่อนข้างซึ้งใจได้บังเกิดขึ้นต่อหน้าผม

 

ภาพของเด็กสาวที่มีรูปลักษณ์ภายนอกอายุ 12 ปีกำลังร้องไห้ขณะที่เธอเทและดื่มเหล้า ถ้าคุณมองมันในแง่ดี มันคือภาพเหมือนฝันเลย ถ้าคุณมองมันในแง่ร้าย เธอออกจะรั่วนิดหน่อยอ่ะนะ

 

ผมกล่าวออกมาว่า

 

“ทำไมเธอถึงทำให้คนอื่นหมดอารมณ์ดื่มโดยการสบถด่าและดื่มไปด้วยห๊า? ข้าว่าเธอได้บอกว่ามันยอดมากนี่นา “

 

“ฮึกฮือ ในเมื่อมันรสเด็ดมาก แต่ละครั้งที่นายดื่ม ปริมาณเดียวกับที่นายดื่มก็หายไปจากปริมาณทั้งหมดด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่น มันเวรสุดๆเลย หนำซ้ำ ผู้คนต่างกล่าวว่านายไม่สามารถพูดคุยความรู้สึกนี้กับคนที่มีบาเลลีเนียมโดยไม่หลั่งน้ำตาได้หรอกนะยะ”

 

มันเป็นคำพูดที่ชวนให้คุณสงสัยแห่งที่มาจัง……

 

เอาเถอะ เราประสบความสำเร็จในการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันแล้ว

 

เดิมที เนื่องจากสภาพร่างกายของจอมปีศาจ มันจึงเป็นไปได้ที่จะดื่มเหล้ามากแค่ไหนก็ได้และไม่เมาหัวทิ่ม เป็นเพราะพลังมานาที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายเราซึ่งได้ขจัดสารพิษโดยอัตโนมัติอ่ะนะ แต่ทว่า จากที่บาร์บาทอสเคยกล่าว เมื่อ’รับ’บาเลลีเนียม มันถือว่าเป็นการหยาบคายมากที่จะไม่เมาโดยมัน บาร์บาทอสจึงได้จงใจหยุดการไหลเวียนของมานาในร่างกายเธอและปล่อยให้ตนเองเมา

 

พวกขี้เหล้านี่ค่อนข้างน่ากลัวเนอะ

 

“แล้วไงล่ะ? เกิดอะไรขึ้นต่อ? “

 

บาร์บาทอสกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่แดงฝาดของเธอ ดูเหมือนเธอจะเมาพอเหมาะแล้วนะ

 

“หลังจากฟังเรื่องราวนายแล้ว มันไม่ใช่ตอนที่นายเลิกกันใช่มะ? งั้นนั่นหมายความว่ามีช่วงเวลาที่แตกหักอื่นอีกสินะ ค่อยๆปล่อยออกมาให้หมดเลยเจ้าหนูน้อย ในเมื่อข้าได้ลิ้มรสชาติของบาเลลีเนียม ข้าจะรับผิดชอบนายจนถึงที่สุดเอง “

 

“นั่นค่อนข้างอุ่นใจจัง”

 

ผมยิ้มอย่างขื่นขมใจ

 

“เรามาชนแก้วกันก่อนดีมั้ย?”

 

“โอ้ ใช่ ชนแก้ว!”

 

ขณะที่การดื่มดำเนินต่อไป มันก็เริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ จากหน้าต่างของห้องรับแขก ได้มีเสียงนกฮูกร้องออกมา ผมสามารถขยับปากผมได้อย่างผ่อนคลายกว่าก่อนหน้า และบาร์บาทอสก็พูดแทรกด้วยความกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

 

“เริ่มแรกเลย มีกองทัพบุกปราสาทของข้า”

 

“โฮ่ ที่แท้ข้อความนั่นเป็นของจริงสินะ”

 

“อืม ถึงแม้ว่าจำนวนจะผิดไปนิดหน่อยเมื่อเทียบกับที่ได้เขียนไว้…… “

 

พร้อมกับเสียง ‘ติ๊ง’

 

นาฬิการุ่นคุณปู่บนชั้นแรกของพระราชวังเจ้าเมืองได้ส่งเสียงดังตามเวลาที่กำหนดไว้

 

แจ้งต่อทุกคนว่ามันเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

ชื่อ: ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่

เผ่าพันธุ์: มนุษย์

อาชีพ: ทาส(A+)

ชื่อเสียง: นักเรียนดีเด่น

 

ความเป็นผู้นำ: S   พละกำลัง: D   ความฉลาด: A

การเมือง: F   เสน่ห์: S+   ความชำนาญ: A

 

สมญานาม: 1.ลูกนอกสมรส 2.อัจฉริยะ 3.นังโรคจิต

ความสามารถ: บรรณานุกรม S, ดนตรี A-, การแต่งเพลง B

ทักษะ: เรียนรู้ไว(A+)

 

[ประวัติความสำเร็จ: 1]

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset