Dungeon Defence – ตอนที่ 37

ผู้พิทักษ์แห่งแดนเหนือ, ขุนนางมาร์เกรฟแห่งโรเซนเบิร์ก, จอร์จ ฟอน โรเซนเบิร์ก

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 16

ณ ละแวกปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยน

 

 

“ท่านแม่ทัพครับ มีกองทหารของข้าศึกอีกกองได้ปรากฏตัวข้างหน้าครับ “

 

“ว่าไงนะ?”

 

ข้าได้ขมวดคิ้วเนื่องจากรายงานของนายกองข้า

 

หลังจากได้รับชัยชนะอันไม่อาจเข้าใจได้ของพวกเราจากเช้าวันนี้ —ข้าอาจได้ผ่านสนามรบมานับไม่ถ้วนในชั่วชีวิตของข้า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับ ‘ชัยชนะอันไม่อาจเข้าใจได้’ แทนที่จะเป็น ‘การแพ้ที่ไม่อาจเข้าใจได้’—   ต่อจากนั้นกองทหารของพวกเราก็ปรับขบวนทัพใหม่และเคลื่อนพลต่ออีกครั้ง

 

ตามปกติ มันสมควรที่จะยอมให้ทหารของข้าได้พักหลังจากการสู้รบ ความอ่อนล้าของทหารแต่ละคนที่ได้รับระหว่างสู้ในสนามรบนั้นสุดที่จะหยั่งได้เลย มันเป็นดุลพินิจอันเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว

 

แต่ทว่า ในคราวนี้ข้าไม่สามารถยอมให้พวกเขาพักผ่อนได้ เหตุผลก็ง่ายนิดเดียว เสียงแห่งเหตุผลและสามัญสำนึกของข้าได้หลอมรวมกันและบอกว่า ‘สิ่งนั้น’ ไม่อาจมองว่าเป็นการสู้รบได้หรอกนะ ในเมื่อไม่มีการต่อสู้งั้นก็ไม่มีการพัก มันไม่มีช่องโหว่ในตรรกะของข้าเลย

แต่การที่กองทหารข้าศึกได้ปรากฏตัวอีกครั้งเรอะ? เขากำลังพูดอะไรน่ะ?

 

“บอกข้ามาให้ละเอียดหน่อยซิ นายกอง”

 

“ครับ มันประมาณการได้จำนวนทหารข้าศึกจะอยู่ราวๆ 150 นายในคราวนี้เช่นกันครับ พวกมันดูเหมือนจะอยู่ในขบวนทัพพร้อมรบบนเนินเขาสูงครับ “

 

“……ทำไมกองทหารนี้ถึงไม่อยู่ด้วยกันกับกองทหารที่เราได้ ‘ปะทะ’ กันเมื่อเช้านี้นะ?”

 

“ผมขออภัยด้วยครับ แต่ผมก็ไม่แน่ใจในเรื่องนี้เหมือนกันครับ”

 

นายกองข้าก็สับสนพอๆกับข้าเลย มันคงยากที่จะคาดหวังคำตอบที่ถูกต้องในที่นี้

 

พร้อมกับกองทหารม้าที่ตามมาด้านหลังข้า ข้าก็เดินนำอยู่ข้างหน้า และก็จริงอย่างที่ว่า มีกองกำลังของข้าศึกอีกหนึ่งกองได้ยืนอยู่ข้างหน้า ธงทัพอันไม่ทราบฝักฝ่ายกำลังโบกสะบัดอีกครั้งนึง

 

อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่แตกต่างกันอย่างแน่นอนเกี่ยวกับทหารเหล่านี้เมื่อเทียบกับกองทหารที่เราได้เผชิญหน้าเมื่อเช้านี้

 

“นายกอง อย่าบอกนะว่า…… “

 

“……ใช่ครับท่านแม่ทัพ หลังจากได้เห็นด้วยสายตาตนเอง ผมก็เข้าใจเช่นกันครับ”

 

นายกองข้าได้พูดพึมพำออกมา

 

“ว่ากองร้อยนั่น ไม่มีอะไรนอกจากพลหน้าไม้เลยครับ”

 

“……”

 

ทัศนวิสัยของข้ารู้สึกเลือนรางขึ้น

 

อันที่จริง นี่คือกลุ่มคนที่อุกอาจมากนะ

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นกองทหารแบบนี้ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมาของข้าเลย

 

โดยปกติแล้ว กองทหารราบจะประกอบไปด้วยพลหอกและพลหน้าไม้ มันไม่จัดทัพแบบนั้นอย่างไร้เหตุผลหรอกนะ มันมีคำชี้แจงเหตุผลสำหรับเรื่องนี้อยู่

 

พลหอกจะใช้หอกยาวของตนเพื่อป้องกันไม่ให้กองกำลังอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ได้ เมื่อถึงเวลาสมควร พวกเขาก็ชี้ปลายหอกออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้ทหารต่างๆ เช่น ทหารม้า จะพุ่งจู่โจมเข้ามาได้

 

สำหรับเหตุการณ์ ‘ปะทะกัน’ เมื่อเช้านี้ —ใช่แล้ว ข้าจงใจที่จะใช้คำนี้เองล่ะ — คนของข้าไม่ได้บุกเข้าไปอย่างบุ่มบ่ามตั้งแต่ต้นหรอกนะ เป็นเพราะพลหอกของข้าศึกได้ยืนแถวโดยไม่เปิดช่องว่าง ดังนั้น พวกเราจึงได้สาดลูกธนูลงมายังพวกมันจากระยะไกลเพื่อบังคับให้เปิดช่องว่างในแนวทัพพวกมัน จากนั้นการบุกโจมตีก็ได้เกิดขึ้นหลังจากนั้น

 

นายกองข้าได้พูดอย่างไม่พอใจว่า

 

“แต่ว่าดูเหมือนพวกมันได้ตั้งไม้แหลมรอบๆที่มั่นของพวกเขานะครับ…… “

 

“อืม”

 

กองกำลังข้าศึกได้วางไม้แหลมรอบๆพวกมันเองหยั่งกับรั้วเลย เพื่อต่อต้านทหารม้าน่ะ เหมือนดั่งพวกมันพยายามชดเชยสิ่งที่พวกมันบกพร่องอยู่ แน่นอนว่า ไม้เหล่านั้นได้ผลดีทีเดียวในการยับยั้งกองทหารม้าของพวกเราจากการเข้าใกล้ แต่ไม้แหลมนั้นโหลยโท่ยเกินกว่าที่จะแทงจนเกินบาดแผลได้ ดังนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ที่สกัดกั้นทหารม้าของพวกเราได้อย่างสิ้นเชิง

 

“นายกอง นั่นมัน บางที อาจจะเป็นกลยุทธ์ที่กำลังนิยมในสนามรบใสมัยนี้รึเปล่าน่ะ? เนื่องจากข้าแก่แล้ว ข้าจึงไม่สามารถตามทันเทรนด์ล่าสุดได้ “

 

“ผมขออภัยครับ ท่านแม่ทัพ ถ้าบางสิ่งบางอย่างแบบนั้นกำลังอินเทรนด์ งั้นทางจักรวรรดิคงจะรวมทวีปเป็นปึกแผ่นได้นานแล้วครับ และผมคงตกงานอีกทั้งตอนนี้ก็คงจะว่างงานอยู่”

 

“นี่เราควรจะ……….ประเมินมันว่าเป็นกลยุทธ์ต้นแบบดีรึเปล่า?”

 

“ท่านใจดีจังนะครับ ท่านแม่ทัพ ถ้าเป็นผม ผมจะบอกว่ามันปัญญาอ่อนสุดๆเลยมากกว่าครับ “

 

เพราะเอาชนะความแตกต่างระหว่างวัยลงได้ ข้าจึงสามารถมาวิเคราะห์ร่วมกับนายกองของข้าได้……

 

ในตอนนั้นเอง ราวกับว่านายกองข้านึกอะไรบางอย่างออก เขาจึงเบิ่งตาของเขากว้าง

 

“ท่านแม่ทัพ ข้าศึกอาจจะใช้กลยุทธ์เช่นนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้นะครับ! “

 

“โดยไม่ได้ตั้งใจ งั้นเรอะ?”

 

“ใช่ครับ นี่อาจจะไม่มากไปกว่าการคาดเดาของผมเอง แต่ทหารเหล่านั้นตรงนู้นต้องวางแผนที่จะสมทบกับกองทหารที่เราได้ปะทะกันเมื่อเช้านี้แน่ครับ พวกมันน่าจะตั้งใจเผชิญกับเราพร้อมๆกันทั้งสองกอง แต่ว่า เนื่องจากพวกมันสมทบกันล่าช้าเกินไป พวกมันจึงลงเอยด้วยการพ่ายแพ้เสียก่อนครับ! “

 

“อืม……”

 

มันรู้สึกคล้ายกับวิสัยทัศน์ของข้าได้กระจ่างชัดขึ้นเลย ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ

 

“อย่างงี้นี่เอง มันเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง…… นั่นอธิบายได้ว่าทำไมกองกำลังที่เราเผชิญหน้าเมื่อเช้านี้จึงไม่ยอมตอบโต้เลย พวกมันกำลังรอกำลังเสริมของพวกมันที่จะมาถึงนี่เอง “

 

“ก็นั่นแหละครับท่านแม่ทัพ และพวกเราได้มาถึงก่อนที่กองทหารพวกมันจะสมทบกันได้ พวกมันน่าจะไม่ทันคาดคิดว่าพวกเราจะเคลื่อนทัพได้เร็วขนาดนี้ มันต้องเหนือความคาดหมายของพวกมันอย่างแน่นอนครับ “

 

“อืมไม่ผิดแน่”

 

ในที่สุด ทุกสิ่งก็สมเหตุสมผลสักที

 

การ ‘ปะทะกัน’ เมื่อเช้านี้เป็นเพียงความผิดพลาดของข้าศึก พวกมันได้สู้รบก่อนที่กองกำลังของพวกมันจะสมทบกัน สรุปได้ว่า มันส่งผลให้เกิดการพ่ายแพ้ที่น่าแปลกประหลาดและน่าขำขันของพวกมันนั่นเอง

 

แน่นอนว่า บรรดาทหารของข้าศึกเมื่อเช้านี้น่าจะยังไม่มีผู้บัญชาการของพวกมัน ในช่วงเวลานั้น พวกมันอาจกำลังรอคอยผู้บัญชาการและกองกำลังของพวกมันที่จะมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ แต่สุดท้าย ผู้บัญชาการพวกมันก็ไม่สามารถมาถึงได้ทันเวลาและกองทหารทั้งหมดของพวกมันก็ลงเอยด้วยความย่อยยับไป……

 

“เป็นเพราะความเฉียบแหลมของท่านแน่ๆครับท่านแม่ทัพ! หากท่านได้จัดกองกำลังของเราเน้นไปด้วยทหารราบเกราะหนักและทหารม้าเกราะหนักแล้ว ความเร็วในการเดินทัพของเราก็คงจะช้าลงเช่นกัน จนเราน่าจะมาถึงสนามรบหลังจากที่ข้าศึกมาสมทบกันซะแล้วแน่ครับ “

 

“อืม ก็แค่โชคดีเท่านั้นแหละ”

 

“พวกเขากล่าวกันว่าถ้าความบังเอิญเกิดขึ้นถึงสองครั้งงั้นมันก็คือโชคชะตาแล้วครับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหล่าเทพธิดากำลังคอยเฝ้าดูแลท่านอยู่แน่ๆครับท่านแม่ทัพ โอ้ ชัยพรของเทพธิดาอธีน่าได้อยู่เบื้องบนของพวกเราแล้ว! “

 

นายกองข้าได้ตื่นเต้นและตะโกนออกมา

 

พวกทหารมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาศาสนาเนื่องจากประสบการณ์อันลำเค็ญในสนามรบของพวกเขา ไม่มีเรื่องใดเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่กองทัพมากไปกว่าการรู้ว่าเทพธิดาได้อยู่ฝ่ายพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่นายกองข้า ผู้รู้ซึ้งถึงข้อเท็จจริงนี้ กำลังตะโกนอย่างกระตือรือร้น

 

“เทพธิดาอธีนาได้ประทานท่านมาร์เกรฟ โรเซนเบิร์ก ด้วยเทวพิทักษ์ของเธอ!”

 

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

 

ครั้นได้เอ่ยถึงนามของเทพธิดา ทหารบังคับการคนอื่นๆต่างมารวมตัวกัน

 

เมื่อนายกองข้าได้อธิบายเรื่องนี้อย่างกระตือรือร้น ใบหน้าของพวกเขาก็สดใสชื่นมื่นกันถ้วนหน้า

 

“ยินดีด้วยครับ ท่านมาร์เกรฟ!”

 

“เห็นได้ชัดว่าท่านเทพธิดาทรงปรารถนาที่จะปกป้องดินแดนของท่านจากความตายสีดำเป็นแน่แท้ครับ!”

 

ผู้บังคับการคนอื่นๆต่างแสดงความยินดีหยั่งกับพวกเราได้รับชัยชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ด้วยสีหน้าที่เย็นชา ข้าได้ส่ายหน้าและกล่าวว่า

 

“เงียบซะ มันเร็วเกินไปที่จะฉลองชัยชนะของพวกเราขณะที่ข้าศึกยังคงอยู่ต่อหน้าเรานะ มันไม่สายเกินไปหรอกที่จะดื่มฉลองหลังจากที่เราได้กลับไปยังดินแดนของพวกเราแล้ว “

 

ถึงแม้ว่า ข้าก็ดีใจมากก็ตาม แต่นี่มันด่วนดีใจเกินไปหน่อยนะ

 

การสู้รบยังไม่จบลงหรอกนะ การประจัญบานจะดำเนินต่อไปจนกว่าพวกเราจะโค่นล้มศัตรูลงและกลับไปที่ถิ่นฐานของเรา ความประมาทย่อมนำมาซึ่งความย่อยยับอย่างไม่ทันคาดคิดเสมอ

 

“พวกเจ้าทุกคน กลับไปที่หน่วยทหารของเจ้าและจัดขบวนรบได้! ให้เตรียมพร้อมไว้จนกระทั่งได้ยินเสียงแตรเขาสัตว์ “

 

“ครับ ท่านแม่ทัพ!”

 

เหล่าทหารบังคับการได้ตอบรับโดยพลัน พวกเขาได้เข้าใจเจตนาของข้าในทันที พวกเขาช่างชาญฉลาดจริงๆ เงินเดือนของพวกเขาไม่สูงลิบลิ่วโดยไร้เหตุผลหรอกนะ เพราะพวกเขาเป็นเหล่าบุคลากรที่ไว้วางใจได้เป็นอย่างดี

 

“นายกอง ออกคำสั่งให้กองร้อยทหารม้าบุกจู่โจมได้ สั่งสอนพลหน้าไม้ของข้าศึกว่าบางสิ่งที่กระจ้อยร่อยดั่งเช่นไอ้พวกไม้แหลมนั้นย่อมกลายเป็นการต่อต้านอันเปล่าประโยชน์จากการกระโดดข้ามพวกมันด้วยม้าของเรา”

 

“ผมจะถ่ายทอดคำสั่งของท่านให้ครับ พวกเราจะทำให้แน่ใจว่าได้ทุบตีไอ้พวกคนแคระเหล่านั้นจนกระทั่งตูดของพวกมันแดงก่ำเลยครับ “

 

หลังสิ้นเสียงแตรเขาสัตว์ บรรดาทหารม้าของเราก็วิ่งควบไปข้างหน้า

 

ส่วนหนึ่งของทหารม้าพวกเราได้ถูกทำให้พลัดตกจากม้าโดยห่าธนูของข้าศึก แต่มันก็เท่านั้นแหละ

 

ทหารของพวกเราได้หลบเลี่ยงไม้แหลมอย่างชำนาญและเข้าเหยียบย่ำกองกำลังข้าศึก

 

‘มันจบแล้ว’

 

ความรู้สึกอันพึงพอใจนี้ได้ดึงเอาความกังวลออกจากจิตใจของข้า

 

ด้วยผลลัพธ์นี้ กองทหารของจอมปีศาจดันทาเลียนก็น่าจะหมดเกลี้ยงไป

 

ในเวลานี้มันไม่มีอุปสรรคใดๆที่จะยับยั้งการเดินทัพของพวกเราอีกแล้ว

 

มาเคลื่อนพลด้วยก้าวย่างที่ผ่อนคลายกันดีกว่า

 

 

 

 

 

จอมปีศาจที่อ่อนแอที่สุด , อันดับที่ 71st, ดันทาเลี่ยน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1505, เดือน 9, วันที่ 16

ณ ละแวกปราสาทของจอมปีศาจดันทาเลี่ยน

 

 

“ข้าจะขยี้เจ้า”

 

“อ๋อยยย, แง้ว—อ๊า, อ๊า—, อย่าน้า อย่าน้านายท่านนน—”

 

“จริงอยู่ ที่ข้าแนะนำให้เจ้ากระทำการบ้าบิ่น และข้ายังแนะนำให้เจ้าทำตัวให้หาญกล้าขึ้น ข้ายอมรับผิดเองทั้งหมดเลย แต่ว่า ใครบอกให้เจ้าทำตัวเหมือนกระบือกันฟะ!? นั้นหลุดไปจากความคิดสร้างสรรค์และหย่อนกองทหารพวกเราเข้าสู่ความฉิบหายอย่างง่ายดายเกินไปแล้วเฟ้ย! “

 

“อ๋อย— ต่อการที่เล่นงานกลางกระหม่อม นั่นช่างเป็นกลเม็ดสูงส่งอันชาญฉลาดจัง…… หญิงสาวผู้นี้ไม่สามารถทนทานได้อีกต่อไปแล้วค่ะ……หญิงสาวผู้นะนะนี้ อ๊า— หญิงสาวผู้นี้กำลังถูกขยี้โดยเจ้านายของนางนิ…… “

 

มีอะไรที่ต้องปิดบังกันอีกเล่า?

 

ตามจากหน่วยทหารที่ 1 ก็คือหน่วยทหารที่ 2 ที่ถูกกวาดล้างเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน แต่ละกองร้อยมีทหาร 150 นาย ซึ่งสาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้ส่งกองทหารอันชาญศึกจำนวน 300 นายออกไปสู่ความเวิ้งว้างว่างเปล่าเพียงชั่วเวลาเสี้ยวหนึ่งของวันเท่านั้น นี่ไม่ใช่ความสามารถอันน่าประทับใจหรือไงฮึ?

 

“เจ้าแค่ใช้กองกำลังของเราทั้งหมดและปิดฉากพวกมันลงก็สิ้นเรื่อง แต่ทำไมเจ้าถึงส่งเศษเล็กเศษน้อยจำนวน 150 นายต่อครั้งห๊า!? เจ้าเป็นพวกซาดิสม์หรือไง? ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ หรือเจ้าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ได้รับความสุขจากการผลักดันตัวเองเข้าสู่สถานการณ์จนตรอก? ถ้าเจ้าต้องการความเจ็บปวดถึงขนาดนั้น งั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นสวรรค์เป็นการส่วนตัวเอง อ๋าาา? ตรงนี้ใช่มั้ย? ตรงนี้เป็นจุดอ่อนเจ้าใช่รึเปล่า? “

 

“ไม่น้าค้า……..ขืนทำอีกแต่ไป ฟุเอ๊— จะะะะะ…… “

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้แผ่หลาประหนึ่งเยลลี่

 

ผมสีบลอนด์ของเธอได้ยุ่งเหยิงเหมือนเค้กข้าวไม่มีผิด ผมได้ยุติเมื่อถึงจุดนี้น่ะ

 

หลังจากเป็นก้อนเนื้อนิ่มๆมานานโขอยู่ ลอร่าก็พึมพำออกมา

 

“แต่นี่แปลกนะคะ ตามการคาดคะเนของหญิงสาวผู้นี้ พวกเขาอย่างน้อยควรจะสามารถต้านทานทหารม้าได้ “

 

“ไอ้ที่แปลกคือสมองของเจ้าต่างหาก ฟายแท้ๆ”

 

“นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวผู้นี้ถูกด่าว่าโง่ตลอดชั่วชีวิตที่ผ่านมาของเธอเลยนะคะ หญิงสาวผู้นี้มักสงสัยมาตลอดว่า คนที่ถูกด่าว่าคนโง่อยู่เสมอ จะรู้สึกยังไง แต่หลังจากโดนกับตัว มันน่าหดหู่ใจอย่างเหลือเชื่อเลยคะ เรานี่อยากจะฆ่าตัวตายจัง……”

 

ด้วยสีหน้าที่ปริ่มน้ำตา สาวน้อยฟาร์เนเซ่ก็ได้สางผมให้เรียบร้อยและกล่าวว่า

 

“……ดูแล้วทหารม้าฝ่ายศัตรูไม่ได้ขี่ม้าธรรมดาทั่วไปแต่เป็นม้าพันธ์ุผสมที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งก็คือม้าศึกค่ะ”

 

“ม้าศึก?”

 

“อืม สายพันธุ์ผสมที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างเซนทอร์และม้า หญิงสาวผู้นี้เคยได้ยินว่าเมื่อเทียบกับม้าธรรมดาแล้ว ม้าศึกจะไม่กลัววัตถุแหลมคมหรือหลบเลี่ยงไฟค่ะ แม้ว่าม้าศึกจะถือได้ว่าเป็นแกนหลักสำคัญของกองทัพราชอาณาจักรบริตตานี แต่ศัตรูดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากที่นั่นนะคะ เนื่องจากมันถูกเขียนอยู่ในหนังสือซึ่งหญิงสาวผู้นี้ได้อ่านมาว่าม้าศึกบริตตานีนั้นมีขนาดใหญ่พอๆกับออร์คเลยค่ะ “

 

“ข้าไม่สนการอวดรู้ของเจ้าหรอกนะ แสดงเป็นผลลัพธ์ออกมาสิ ผลลัพธ์น่ะ!”

 

ผมได้กล่าวออกมา

 

“สิ่งที่ข้าเหยียดหยันที่สุดในโลกคือการเสียสละโดยปราศจากการพัฒนานะ อย่าบอกข้านะว่าหลังจากตายไป 300 คนแล้ว เจ้าก็ยังไม่พัฒนาอีกเหรอ? “

 

“น่าเกลียดจัง ก็ท่านเป็นคนบอกให้เราปฏิบัติต่อพวกเขาดั่งเช่นของเล่น…… “

 

“ข้าหมายความว่าอย่างน้อยเจ้าควรเล่นภายในขอบเขตของสามัญสำนึกที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้น่ะ”

 

ลอร่าได้จ้องมองตรงมาที่ผม

 

“นายท่าน มันไม่สนุกเลยหรือไงคะ?”

 

“หืม?”

 

“หญิงสาวผู้นี้สนุกจังค่ะ มันรู้สึกเหมือนเรากำลังเล่นเป็นทหารชั้นประทวนยังไงยังงั้นเลย “

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้กล่าวออกมา

 

ถึงแม้ว่าในใจกลางดวงตาสีมรกตของเธอยังคงหม่นหมองอยู่ก็เถอะ แต่มันเริ่มมีรอยแต้มของความร่าเริงมากขึ้นในดวงตาคู่นั้นกว่าที่เคยนะ

 

“อันที่จริง หญิงสาวผู้นี้รู้สึกประหลาดใจนะคะ ที่นายท่านได้สั่งให้หญิงสาวผู้นี้ปฏิบัติต่อชีวิตของพวกทหารดั่งเช่นของเล่น แต่มันก็เกิดคำถามขึ้นว่าหญิงสาวผู้นี้จะทำตามได้รึเปล่า แม้จะขาดอวัยวะที่เรียกว่ามโนธรรมในตัวหญิงสาวผู้นี้ แต่หญิงสาวผู้นี้ยังคงมีความเข้าใจในแนวคิดเรื่องจริยธรรมและหลักศีลธรรมนะคะ หญิงสาวผู้นี้เชื่อว่าความสนุกที่แท้จริงมาจากภาวะเคลิ้มสุขของสมองค่ะ ดังนั้นคำถามก็คือหากร่างกายหญิงสาวผู้นี้ยอมรับการกระทำที่ขัดต่อตรรกะของหญิงสาวผู้นี้ว่าเป็นความสุข…… “

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

จริงๆแล้ว มันเงอะง่ะเกินกว่าจะมองว่าเป็นรอยยิ้มได้หรอกนะ

 

มันเหมือนกับจักรกลที่เลียนแบบมนุษย์มากกว่า มันขาดจิตวิญญาณไปน่ะ

 

รอยยิ้มที่ทำตามอัปกิริยาของการ ‘เหยียดมุมปากของคุณขึ้น’ แบบนั้นแหละ

 

ถึงยังงั้นก็ตาม

 

“—มันสนุกเหนือจินตนาการของหญิงสาวผู้นี้เลยค่ะ”

 

นั่นคือช่วงเวลาที่ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ ดูดีที่สุด

 

“มันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง การปฏิบัติต่อชีวิตของผู้อื่นดั่งเช่นของเล่นเป็นการละเล่นที่น่าสนใจที่สุดในโลกเลยค่ะ มากเท่ากับตอนที่เราได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เลยเชียวแหละ ไม่สิ มันน่าตื่นเต้นมากกว่าการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ มันมหัศจรรย์มากค่ะ หญิงสาวผู้นี้ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย….. “

 

“……”

 

ผมฉีกยิ้มกว้างออกมา

 

ด้วยการแตะที่นุ่มนวล ผมได้ลูบหัวของสาวน้อยฟาร์เนเซ่และกล่าวว่า

 

“จริงๆเล้ย เจ้าเหมือนข้าไม่มีผิดเลย เดอ ฟาร์เนเซ่ ความรู้สึกนั้น เจ้ารู้รึเปล่าว่าผู้คนเรียกสิ่งนั้นว่าความสุขน่ะ? “

 

“ไม่ค่ะ เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ”

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้ส่ายหน้า

 

“ได้โปรดบอกเราเถอะค่ะ นายท่าน ช่วยมอบความกระจ่างแจ้งแก่หญิงสาวผู้โง่เขลานี้ที ว่าความรู้สึกที่น่ารื่นเริงอย่างแปลกๆนี้เรียกว่าอะไรกันคะ สิ่งที่หญิงสาวผู้นี้เรียกว่าความสุขอันรู้สึกราวกับมันซึมซาบออกมาจากหัวใจของหญิงสาวผู้นี้และปกคลุมไปทั่วหน้าอกของนางคืออะไรกันแน่? “

 

“บางคนเรียกมันว่าสัญชาตญาณความอยากครอบครอง ส่วนคนอื่นๆกล่าวกันว่ามันคือจิตใต้สำนึกที่อยากจะบงการ และบุคคลที่ฉลาดกว่าคนอื่นเล็กน้อยได้กล่าวว่ามันเป็นกระบวนการซึ่งสนองความพอใจของคนที่มีอำนาจ อย่างไรก็ตาม ถ้าข้าจะพูดในภาษาของข้าล่ะก็ งั้นมันก็คงเข้าใจง่ายกว่ามากและมีเพียงแค่คำเดียวเท่านั้นเอง “

 

“คืออะไรล่ะคะ?”

 

“มันก็คืออำนาจยังไงล่ะ”

 

ผมได้ลูบไล้แก้มของเธอ

 

สีหน้าของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้กลายเป็นงงงวยหยั่งกับเธอพึ่งโดนฟ้าผ่ามา

 

“อำนาจ……”

 

“ก็นั่นแหละ อำนาจ เพื่อนคู่ซี้ของข้า ซึ่งมันคือแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังการนองเลือดไม่รู้จบในโลกของเรา มันยังเป็นมูลเหตุของตัวข้าเองที่ได้พยายามรักษาชีวิตห่วยๆของข้าไว้อีกด้วยนะ “

 

“อำนาจ นี่นายท่านดำรงชีวิตของท่านเพื่อที่จะสนุกกับอำนาจอย่างเต็มที่ใช่รึเปล่าคะ? “

 

ผมหัวเราะออกมา

 

ถ้านี่คือลาพิส ลาซูรี่ เธอคงจะไม่ถามคำถามแบบนี้ออกมาตั้งแต่ทีแรกหรอกนะ

 

เพราะมันคือเรื่องที่เห็นได้ชัดอยู่แล้วยังไงล่ะ

 

“ลองคิดดูสิ เดอ ฟาร์เนเซ่ กลิ่นเลือดอันฉุนเฉียว กลิ่นอวัยวะภายในที่น่ารังเกียจสุดๆซึ่งมันทำให้เจ้าอยากจะอ้วกออกมา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือไงว่าทำไมผู้คนถึงยังหลงระเริงอยู่กับการฆ่าและการสังหารอันไม่รู้จบนี้ล่ะ? ก็มันเป็นเพราะความหอมหวานของอำนาจนั้นช่างน่าสุขสันต์ยิ่งนักจนมันกลบกลิ่นโสโครกของคาวเลือดจนหมดสิ้นไปนั่นเอง “

 

“……”

 

“อ้า แน่นอนว่า คนที่ไม่เคยลิ้มรสที่อร่อยเป็นพิเศษนี้ไม่สามารถเข้าใจได้หรอกนะ พวกเขาไม่สามารถหยั่งถึงมันได้แน่ๆ เหมือนกับเจ้านั่นแหละ ฟาร์เนเซ่ ผู้ที่ไม่เคยเจอความรู้สึกแบบนี้มากว่า 16 ปีของชีวิตเจ้า…….. “

 

ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่เป็นเด็กที่ไร้เดียงสานะ

 

เธอใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตโดนจองจำอยู่ภายในห้องของเธอเอง

 

สถานที่ซึ่งสาวน้อยคนนี้หลบหนีจากการถูกทารุณกรรมและการจองจำก็คือห้องสมุด

 

เธอได้ปกป้องจิตใจของเธอเองโดยการเนรเทศตนเองเข้าสู่โลกของหนังสือ

 

จักรวาลภายในหนังสือไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นจักรวาลของเธอเอง

 

ในช่วงการเปลี่ยนแปลงนั้น วิธีการทำสีหน้าต่างๆ สัญชาตญาณในการเพ่งความสนใจของดวงตา และแม้แต่วิธีการเพิ่มและลดระดับเสียงเสียงของคน เธอได้ลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไป

 

ทั้งมวลเลย

 

……จากมุมมองของบุคคลที่สาม เธอไม่มีอะไรมากไปกว่าบุคคลที่ล้มเหลวอย่างมากในการปรับตัวให้เข้ากับโลก

 

แต่ในมุมมองของเธอ มันกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากความพยายามและความเสียสละทั้งหมดของเธอได้มุ่งเน้นไปเป็นการปรับตัวให้เข้ากับโลกของเธอเอง

 

ความหลงใหลของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน ความปรารถนาลึกๆภายในที่เธอมี แรงดลใจที่ควรจะเรียกง่ายๆได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของเธอ ได้สะท้อนออกมาให้เห็นหลังจากที่ถูก ‘บิดเบือนไปครั้งนึง’

 

ก็เพราะเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ทั้งหมดเป็นประวัติศาสตร์ของการใช้อำนาจทั้งสิ้น

 

จนถึงตอนนี้ สาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้ใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่าเดิมทีเธอเป็นคนแบบไหนกัน และเลือดประเภทไหนได้ไหลไปตามเส้นเลือดของเธอ

 

“เจ้าไม่อยากได้มากกว่านี้หรือไง?”

 

ดังนั้น

 

บทบาทที่ผมได้มอบต่อเด็กผู้หญิงคนนี้ย่อมถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว

 

เสมือนปีศาจที่กำลังล่อลวงสาวน้อยบริสุทธิ์ยังไงยังงั้น

 

“เจ้าไม่อยากได้มากขึ้นหลังจากที่เจ้าได้ลิ้มรสไปครั้งนึงเรอะ? เพื่อบงการผู้คนอีกครั้ง ผลักดันผู้คนให้เข้าสู่ความตาย นี่เจ้าไม่อยากรู้สึกราวกับว่าเจ้ามีอำนาจคล้ายพระเจ้างั้นเหรอ? “

 

“……”

 

“เจ้านั้นเป็นทาสก็จริง แต่ข้าจะบอกเจ้าว่าเจ้าจะเป็นทาสแบบไหนกันนับแต่นี้ไป มันไม่ใช่บางอย่างเช่นทาสเซ็กส์หรอกนะ ไม่มีทางจะเป็นแบบนั้นเลย ถ้าเจ้าจะกลายเป็นทาสเซ็กส์งั้นเจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถูกล่ามโซ่โดยข้านะ เดอ ฟาร์เนเซ่ เจ้าเป็นได้แค่ทาสของอำนาจเท่านั้นแหละ “

 

ผมเลื่อนมือของผมไปที่ปากสาวน้อยฟาร์เนเซ่

 

และลูบปลายนิ้วมือของผมลงบนริมฝีปากอันนุ่มเนียนของเธอ

 

“ทาสประเภทอื่นๆมีแต่จะรั้งเจ้าให้ตกต่ำลง แต่ทาสของอำนาจนั้นต่างออกไป อำนาจมีแต่จะปลดปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระ หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นผู้กุมอำนาจก็มีทางเลือกเดียวที่เจ้าสามารถเลือกได้ก็คือการเป็นทาสของอำนาจเป็นอันดับแรก! นี่คือดินแดนที่อิสระเสรีได้พำนักพักพิงและหายใจอยู่ เพราะฉะนั้น นี่คืออาณาจักรที่เหล่าทาสไม่ช้าไม่นานจะกลายเป็นเจ้านาย และเจ้านายกลายเป็นพวกทาสได้ “

 

ผมได้แสดงหลักการใช้ชีวิตที่เหมาะสมแก่รุ่นน้องซึ่งยังคงเยาว์วัยอยู่ของผม

 

เป็นทำนองเดียวกับตอนที่ผมได้สอนเรื่องนี้แก่เหล่าน้องต่างแม่ของผมอย่างอ่อนโยนเลยนั่นแหละ

 

……แต่น่าเสียดาย ที่บรรดาน้องของผมนิสัยไม่เหมือนผมเลยอ่ะนะ

 

ถึงยังงั้นก็ตาม ผมมั่นใจว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผมนี้กำลังเดินตามเส้นทางเดียวกับที่ผมได้เดินและก็ยังคงกำลังเดินอยู่

 

มั่นใจได้เลย

 

“……ฮาา ฮาา”

 

สาวน้อยฟาร์เนเซ่หอบหายใจออกมา

 

มันเป็นลมหายใจซึ่งเต็มไปด้วยไอร้อนของหัวใจเธอ

 

“นายท่าน หญิงสาวผู้นี้……ไม่เคยรู้สึกว่าทรวงอกของเธอได้เต้นแรงมากเท่ากับในตอนนี้มาก่อนเลย น่าแปลกจังค่ะ หญิงสาวผู้นี้รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงสัจธรรมในคำพูดของนายท่าน ซึ่งทำให้หัวใจของเรายังคงเต้นต่อไปเรื่อยๆ…… “

 

เธอยังคงไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้ดีบนใบหน้าของเธอ

 

แต่มันไม่สำคัญหรอก ลมหายใจอุ่นๆของเธอเป็นเครื่องพิสูจน์มากกว่าความจริงใจอื่นใดของเธอซะอีก

 

สีหน้าของคนเป็นเรื่องเล็กน้อยนะ ยังไงก็เถอะ ไม่ใช่ว่าลาพิส ลาซูรี่ก็ทำหน้าตายด้านเสมอมาเช่นกันเหรอ แต่กลับถูกครอบงำโดยความกระหายอำนาจมากกว่าใครเพื่อนเลยนี่เนอะ? อำนาจได้เหนือกว่าอารมณ์มานมนานแล้วแหละ และลึกซึ้งเกินกว่าที่จะแสดงออกทางใบหน้าได้นะ

 

“เจ้ารู้สึกเหมือนเจ้ามีชีวิตชีวาขึ้นสินะ?”

 

“ใช่ค่ะนายท่าน หญิงสาวผู้นี้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นจัง…… “

 

“จารึกไว้ในความทรงจำของเจ้าเลยว่าเจ้าเป็นมนุษย์จำพวกที่สามารถรู้สึกถึงชีวิตได้จากสิ่งนี้เท่านั้น ถ้าเจ้าได้รู้สึกว่าอะไรบางอย่างผิดแปลกไป ก็จงมองย้อนกลับไปว่าเจ้าเป็นมนุษย์จำพวกไหนกัน ถ้าเจ้าไม่ลืมรากเหง้าของเจ้าแล้ว เจ้าก็จะไม่หลงไปจากเส้นทางเจ้า…… “

 

มันเป็นตอนนี้ผมกำลังจะให้คำแนะนำสุดท้ายแก่เธอ

 

ก็มีเสียงของใครบางคนได้เปิดเล่นขึ้นในหัวของผมอย่างกะทันหัน

 

 

 

‘ข้าขอโทษ’

 

‘เพื่ออะไรคะ?’

 

‘นั่น……’

 

 

 

หืม

 

ชิ้นต่อชิ้น เสมือนเสียงที่ก้องกังวานเมื่อใดก็ตามที่ฝนได้ตกลงไปในน้ำ ความทรงจำแต่ละอย่างได้สั่นเป็นระลอกคลื่นอย่างค่อยๆโดยเสียงเหล่านั้น

 

 

 

‘นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ’

 

‘ปัญหาที่แท้จริงคือเรื่องอื่นต่างหากค่ะ’

 

‘นี่ฝ่าบาทไม่รู้จริงๆเหรอคะ?’

 

 

 

ตัวคลื่นได้แผ่กระจายออกเป็นวงกว้างและค่อยๆลอยกระเพื่อมออกไป

 

จนในที่สุด ส่วนต่างๆของจิตสำนึกผมได้ตอบสนองต่อมัน

 

มันไม่ใช่แค่เสียงเท่านั้น แต่ยังมีใบหน้าของเธอ สายตาของเธอ และพลังในแต่ละคำพูดของเธอทุกคำได้คงอยู่ไว้ครบถ้วนและเปิดเล่นให้ได้ยิน

 

 

 

‘มันไม่ใช่การถกเถียง แต่มันเป็นการทดสอบแบบง่ายๆค่ะ’

 

‘ฝ่าบาท’

 

‘……ท่านดันทาเลี่ยน’

 

 

 

คุณพระช่วย

 

เป็นไปได้ยังไง

 

ปากผมได้เปิดออกและริมฝีปากของผมก็สั่นกระตุก

 

ทั่วร่างของผมถูกปกคลุมไปด้วยอาการที่เกิดขึ้นอยู่นี้เพราะความช็อตน่ะ

 

 

 

‘ดูท่าฝ่าบาทยังคงไม่ทราบว่าเราผู้นี้เป็นคนแบบไหนกัน’

 

‘……เราผู้นี้ผิดหวังมากค่ะ’

 

‘กรุณาตราตรึงช่วงเวลานี้ลงในสมองของฝ่าบาทด้วยค่ะ’

 

 

 

น่าจะใช่นะ

 

ไม่สิ ต้องใช่แน่ๆเลย—

 

 

 

‘ลาซูรี่’

 

‘คะฝ่าบาท เชิญพูดค่ะ’

 

‘เธอคือนังมารร้ายชัดๆ’

 

‘จนถึงบัดนี้ ฝ่าบาทคิดว่าเราผู้นี้เป็นคนเยี่ยงไรคะ?’

 

 

—ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้กระจ่างแล้ว

 

ผมได้รู้แล้วว่าทำไมลาพิส ลาซูรี่ถึงโกรธและผิดหวังในตัวผม

 

และผมก็ได้แต่ตกใจกับความจริงที่ว่าผมดันคิดออกช้าถึงเพียงนี้ นี่หล่อนกำลังบอกผมว่าผมเป็นไอ้งั่งสินะ? ขนาดคำตอบอยู่ตรงหน้าผมแท้ๆ ผมกลับไม่สามารถมองเห็นมันได้เรื่อยมาจนถึงตอนนี้

 

โอ้แม่เจ้า, พระเจ้าที่รัก, แม่จ๋า, พ่อจ๋า, น้องๆของผมเอ๋ย, แฮมเบอร์เกอร์ไก่เอ๋ย, ตั้งแต่พระอัลเลาะห์ไปจนถึงพระพุทธเจ้าเอ๋ย

 

ผมมันโง่บัดซบแท้ๆ

 

ผมมันโง่บรมและจิตวิปริตฉิบหายเลย

 

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมลาพิส ลาซูรี่จึงได้ทำตัวเกเรเป็นเวลายาวนานขนาดนี้ มันเป็นที่ชัดเจนว่าต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว มันเป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนั้น ถ้าลาพิส ลาซูรี่ได้ทำตัวแบบที่ผมทำ งั้นผมก็คงโกรธเหมือนกันนั่นแหละ!

 

ผมบ้าชะมัดเลย

 

วิกลจริตอย่างแรง

 

เพราะเหตุใดหนอที่ผมถึงได้มีชีวิตอยู่และยังไม่ฆ่าตัวตายสักทีน้า? ผมจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในโลกนี้ด้วยสมองอันต่ำกว่ามาตรฐานเยี่ยงนี้ สิ่งเดียวที่สมควรทำก็คือกัดลิ้นของผมเองและฆ่าตัวตายไปซะ แม้แต่เด็ก 6 ขวบก็น่าจะฉลาดกว่าผมด้วยซ้ำ

 

“นายท่านคะ?”

 

สติของผมได้กลับคืนมาอย่างรวดเร็วโดยเสียงเรียกของสาวน้อยฟาร์เนเซ่

 

เธอกำลังเหม่อมองมายังผม

 

“ท่านเป็นไรมั้ยคะ? นายท่านได้หยุดพูดอย่างกระทันหันและเริ่มตัวสั่นซะงั้น ถ้าเผอิญ นายท่านอยากจะเข้าห้องน้ำ ก็ไม่ต้องสนใจผู้หญิงสาวผู้นี้และเดินไปเถอะคะ “

 

สาวฟาร์เนเซ่ได้วางมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าอกของเธอ

 

มันวางอยู่ตรงหัวใจของเธอ

 

“คำพูดซึ่งนายท่านต้องการที่จะสื่อถึงหญิงสาวผู้นี้ ได้บรรลุมาจนถึงตรงนี้แล้วค่ะ ในรูปแบบที่เล็กแต่เด่นชัด…… หญิงสาวผู้นี้จะไม่ลืมคำพูดของนายท่านตราบจนถึงวันที่เธอได้ตายลงเลยคะ”

 

 

 

[วาทศิลป์อันชั่วร้ายของคุณได้ทำให้อีกฝ่ายตราตรึงใจ!]

 

[ค่าความชอบของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ได้เพิ่มขึ้นมา 24!]

 

 

 

ด้วยสายตาซึ่งตื่นตกใจ ผมได้หันมองไปยังเธอ

 

ด้วยการตอบรับสายตาของผมอย่างจริงใจ— นัยน์ตาของลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่ก็ทอประกายเจิดจ้าขึ้น

 

“เพราะอย่างงั้น มันไม่เป็นไรหรอกค่ะที่จะรีบไปแล้วค่อยกลับมาน่ะ”

 

แม้มันจะยังเป็นการยิ้มเลียนแบบอย่างเงอะงะ แต่ความรู้สึกของเธอได้ถูกบรรจุไว้อย่างดีในตัวมันนะ

 

มันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เธอได้เกิดมาซึ่งเธอได้ยิ้มโดยความตั้งใจของเธอเอง

 

“อย่ากังวลกับการรบเลยคะ การทดลองได้จบลงแล้ว การตรวจสอบว่าแง่มุมของตำราพิชัยสงครามอันไหนถูกต้อง ได้สำเร็จแล้วคะ บัดนี้สิ่งที่หญิงสาวผู้นี้ต้องทำก็มีแค่ประยุกต์ใช้ความรู้นี้ตามสมควรก็แค่นั้นเองคะ “

 

“……”

 

ผมได้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

 

ถึงแม้หลังจากที่ลุกตัวเองขึ้นมา ผมกลับยังเดินไปมาตรงที่เดิมของผมสักครู่นึง สิ่งที่ผมวางแผนที่จะทำต่อจากนี้ได้ถูกจัดเรียงลำดับไว้ในหัวของผมแล้ว สาวน้อยฟาร์เนเซ่กำลังมองมาที่ผมราวกับผมทำตัวพิกล แต่ผมไม่แคร์หรอกนะ

 

ในเมื่อการใคร่ครวญนั้นยาวนาน การตกลงปลงใจก็มั่นคงตามไปด้วย

 

“เดี๋ยวข้ากลับมานะ”

 

ผลสุดท้าย ผมนั้นไม่ได้เป็นคนที่มีบุคลิกที่ไม่เด็ดขาดและลังเลใจนะเออ โดยปกติแล้ว ผมรังเกียจพฤติกรรมแบบนั้นซะด้วยซ้ำ การตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนย่อมมีรสชาติที่ดีที่สุดอยู่แล้วแหละ

 

“อืม ดูเหมือนว่านายท่านมีนิสัยชอบอดทนจนถึงที่สุดก่อนที่จะใช้ห้องน้ำสินะคะ งั้นก็เชิญตามสบายเลยค่ะ—”

 

ผมไม่สามารถได้ยินคำพูดที่เหลือซึ่งสาวน้อยฟาร์เนเซ่ได้กล่าวออกมา ผมได้รีบวิ่งปรี่อย่างบ้าคลั่งย้อนกลับไปที่ปราสาทจอมปีศาจของผม เนื่องจากกองบัญชาการของเราได้จัดตั้งขึ้นอยู่ด้านนอก ผมจึงต้องวิ่งเป็นระยะเวลาพอสมควรก่อนที่จะถึงตัวปราสาท

 

ผมสงสัยจังว่าเป็นระยะทางเท่าไหร่แล้วที่ผมได้วิ่งมาน้า มันเป็นที่ชัดเจนว่าผมได้วิ่งนานพอดูจนมันถือได้ว่ามากเกินต่อแรงกายอันน่าสมเพชของพวกหมกตัวอยู่แต่ในบ้านนะ จริงๆแล้ว มันน่าจะสะดวกสะบายมากกว่านะถ้าผมได้ขอให้หนึ่งในเหล่าแม่มดจากพี่น้องเบอร์เบเร่ให้แวะส่งผมหน่อย แต่ผมพึ่งคิดเรื่องนี้ได้ในภายหลังอ่ะนะ ถ้าจะให้แม่นยำก็คือ ผมคิดเรื่องนี้ได้หลังจากที่ผมมาถึงตรงหน้าห้องทำงานของลาพิส ลาซูรี่ภายในปราสาทของผมแล้ว

 

ปัง

 

“ลาล่า!”

 

ผมได้กระแทกประตูให้เปิดออก

 

โชคดีจัง ที่ลาพิส ลาซูรี่ยังอยู่ในห้องทำงานของเธอ เว้นแต่ว่า จังหวะอาจจะไม่ดีสักเท่าไหร่นัก อันที่จริง มันแย่สุดๆเลย ลาพิส ลาซูรี่ได้เปลือยอยู่ครึ่งตัวและกำลังเปลี่ยนถุงน่องสีดำของเธออยู่ ไม่สิ ถ้ามีอะไรนอกไปจากนั้น ไม่ใช่ว่านี่เป็นจังหวะที่ดีสุดๆหรือไง? ผมไม่แน่ใจแฮะ

 

“……”

 

ลาพิส ลาซูรี่ได้มองมาทางนี้และถอนหายใจเบาๆออกมา

 

“ฝ่าบาท เราผู้นี้ไม่เคยบอกฝ่าบาทหลายต่อหลายครั้งเหรอคะว่าให้เคาะประตูก่อนที่เข้าห้องเราผู้นี้น่ะ? “

 

“เดี๋ยวสิ ฟังสิ่งที่ข้าต้องพูดจากตรงนั้นก่อน “

 

ผมได้สูดหายใจเข้าลึกๆ

 

เนื่องจากผมได้วิ่งอย่างบ้าคลั่งมา ทรวงอกของผมจึงกำลังเผาผลาญเกินจำเป็น ผมได้หอบหายใจอย่างหนักหน่วง จนต้องการเวลาจำนวนมากก่อนที่ลมหายใจของผมจะสงบลง นี่คือเหตุผลที่ผมถึงเกลียดการออกกำลังกายแบบคร่ำเคร่งน่ะ มันชอบขโมยความสำรวมของคนเรา เพราะเหตุผลนี้ผมถึงได้มีสมองที่ปลอดโปร่งและเยือกเย็นอยู่เสมอยังไงล่ะ

 

“……มั่นใจได้เลยว่า ฝ่าบาทได้วิ่งมาตลอดทางจนถึงที่นี่ใช่มั้ยคะ? นี่น่าประหลาดใจจังค่ะ จนถึงทุกวันนี้ เราผู้นี้คิดไว้เสมอว่าฝ่าบาทรู้แค่เพียงวิธีเดินและล้มตัวนอนนอกจากนั้นก็ไม่รู้วิธีเคลื่อนไหวร่างกายอื่นๆอีกค่ะ “

 

“ฟังให้ดีนะลาล่า”

 

ผมขยับหลังผมให้ตั้งตรง

 

และใช้มือทั้งสองข้าง ทำมือทำไม้สารพันรูปแบบออกมา

 

“สิ่งที่พวกเราต้องการในตอนนี้ก็คือการสนทนานะ มันมีความจำเป็นต่อพวกเราที่ต้องบรรลุถึงความเข้าใจร่วมกันผ่านความซับซ้อนและละเอียดอ่อน แต่สำคัญสุดๆ การสนทนานี้จึงเป็นสิ่งที่เร่งด่วน นี่เป็นเรื่องเกี่ยวพันทางการเมืองที่ร้ายแรงมากๆ อีกทั้งมันยังเป็นปัญหาสำคัญที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดด้วย “

 

“……..ทำไมจู่ๆฝ่าบาทถึงทำตัวแบบนั้นล่ะคะ? เมื่อใดก็ตามที่ฝ่าบาทเริ่มเลียนแบบการพูดพิลึกนั่น เราผู้นี้อดไม่ได้ที่จะถูกครอบงำโดยความกังวลแบบแปลกๆคะ”

 

ผมยกนิ้วชี้ขึ้นและกล่าวว่า

 

“ช่วยไม่ได้อ่ะนะ ก็สภาวการณ์ปัจจุบันของพวกเรานั้นไม่ดีเอาซะเลย มันคงไม่เป็นการเกินจริงที่จะพูดว่าพวกเรากำลังเผชิญปัญหาหนัก กองกำลังศัตรูราวๆหนึ่งหมื่นนายกำลังเข้ามาถึงเราในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องนำอะไรบางอย่างเช่นเรื่องการเมืองทิ้งไปจากความคิดของเราก่อน นั่นคือเหตุผล ที่ข้าจะพูดเพียงหนเดียวเท่านั้น เนื่องจากพวกเราตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายต่างๆ ข้าจึงจะพูดเพียงหนเดียวเท่านั้นนะ แน่นอนว่า เรื่องของพวกเราจะดีขึ้นเรื่อยๆนับจากนี้ไป และวันที่เราไม่ต้องหัวหมุนมากขนาดนี้ก็อาจจะตามมาด้วย แต่ก็ยังหนเดียวเท่านั้น อย่ามาขอให้ข้าพูดซ้ำอีกนะ สำหรับข้า นี่เป็นการตัดสินใจที่เหลือเชื่อ, น่าตกตะลึง, และยากลำบากแสนสาหัสเลย ดังนั้น ข้าขอบอกเธอตรงๆเลยว่าการบอกเธอซึ่งๆหน้าแบบนี้ทำให้ข้าตกอยู่ภายใต้ความกดดันอันน่าขนลุกมาก “

 

“ฮ้า”

 

ลาพิส ลาซูรี่ได้เอียงศีรษะของเธอ

 

เธอตะลึงด้วยใบหน้าที่ไร้ซึ่งการแสดงออก

 

“เชิญพูดคะ”

 

“ข้ารักเธอ”      (ต่อให้เธอเป็นใครต่างกันเท่าไหร่ แค่เพียงมีใจรักกัน ฉันสัมผัสรักของเธอได้จากสายตา~)

 

ห้วงเวลาได้หยุดยั้งลง

 

นาฬิกาลูกตุ้มได้ส่งเสียงติ๊กต็อกออกมา

 

มันรู้สึกราวกับว่าแม้แต่อากาศเองก็ได้หยุดพัดไหวยังไงยังงั้นเลย

 

หลังจากนิ่งงันกันมานาน ลาพิส ลาซูรี่ก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า

 

“เราผู้นี้ขออภัยค่ะ แต่เราผู้นี้ไม่สามารถเข้าใจได้เลยค่ะ”

 

“ข้ารักเธอนะ ลาพิส”

 

“…………”

 

ในช่วงเวลาที่เธอได้อ้าปากของเธอ

 

ผมก็ได้ตบมือในท่าทางที่โอเว่อร์เกินไปหน่อยและกล่าวว่า

 

“ดีจริงๆ ข้าดันพูดถึงสองหน ข้าพูดถึงสองหนจนได้สิน่า ข้าได้ตกลงใจและสาบานกับตนเองว่าจะพูดเพียงหนเดียว แต่ท้ายที่สุดข้าก็พูดสองหนซะงั้น ก็ดี ไม่เป็นไร นี้ยังอยู่ในขอบเขตของการคาดการณ์ข้า ไม่มีปัญหาเลย เออแล้วอย่ามาขอให้ข้าพูดซ้ำอีกล่ะ สำหรับข้าแล้ว นี่เป็นการตัดสินใจที่เหลือเชื่อ, น่าตกตะลึง, และยากลำบากแสนสาหัสเลย ดังนั้น ข้าขอบอกเธอตรงๆเลยว่าการบอกเธอซึ่งๆหน้าแบบนี้ทำให้ข้าตกอยู่ภายใต้ความกดดันอันน่าขนลุกมาก พวกเราจะปรึกษารายละเอียดกันในภายหลังนะ ตอนนี้ข้าขอตัวไปดูแลกองกำลังศัตรูที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง ถ้าเธอลองพิจารณาให้ดีแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่จอมปีศาจควรทำหรอกนะ รักษาตัวให้ดีล่ะ ลาก่อนนะ ข้าจะออกไปแล้ว “

 

ปัง

 

ผมได้ปิดประตูลง

 

ผมเบ้สีหน้าของผมเล็กน้อย

 

ความเงียบงันยังคงลอยคล้อยต่อไป ความสงบสุขภายในปราสาทของผมได้เป็นไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด เสียงน้ำหยดจากหินย้อยก็สามารถได้ยินจากที่ไหนสักแห่งนึง ในระหว่างที่คงตำแหน่งเดิมซึ่งแนบหลังของผมกับประตูไว้ ผมก็ได้หลุดเสียง ‘อืม’ ออกมา

 

“นั่นไร้ที่ติชิบเป๋งเลย”

 

มันของแน่อยู่แล้วเนอะ

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset