Dungeon Defence – ตอนที่ 61

มันมีกระท่อมน้ำแข็งตั้งอยู่ที่สถานที่ที่พวกเซ็นทอร์นำทางผมไป

 

 

เมื่อผมเข้าไปในกระท่อมน้ำแข็ง ผมเห็น ฟาร์นาเซ่ ซุกตัวอยู่อยู่ในมุมมืดของกระท่อม แม้แต่ในป่าแห่งนี้ ที่ซึ่งฤดูหนาวมีความรุนแรง ฟาร์นาเซ่ ก็ยังไม่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์เพิ่มความอบอุ่นของเธอเลย เธอสวมแต่ชุดทหารที่ทำจากผ้าเท่านั้น พวกทหารบอกกับผมมาว่าที่ฟาร์เนเซเป็นแบบนี้ เป็นเพราะว่าแม่ของเธอได้ให้กำเนิดเธอกองในหิมะ ทหารเชื่อว่าความหนาวเย็นต้องแทรกซึมเข้าไปในครรภ์มารดาและเข้าไปถึงในกระดูกของนางตั้งเเต่ยังเล็ก ดังนั้น ฟาร์นาเซ่ จึงไม่รู้สึกหนาวแม้เหมันต์จะรุนเเรงสักเพียงไหน ท่านเเม่ทัพเป็นเด็กผู้หญิงที่เกิดขึ้นมาภายใต้ความหนาวเย็นเเห่ง หิมะ เเต่ตอนนี้นางได้ขังตัวเองไว้อยู่อยู่กระท่อมน้ำแข็ง ฟาร์นาเซ่ พึมพำออกมาด้วยเสียงที่แทบจะไม่มีใครได้ยิน

“……โทษ……ขอโท……ษ……”

 

“ฟาร์นาเซ่?”

 

“……”

 

ฟาร์นาเซ่ เหมือนถูกเเช่เเข็งไว้

 

เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เเปลกๆไป ผมจึงวางมือบนไหล่ของเธอ และในขณะนั้นเอง เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ฟาร์นาเซ่ จับไปที่ศีรษะของตัวเองและทิ้งทั้งตัวลงกับพื้น ผมประหลาดใจกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เเล้วก้าวถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว

“เราขอโทษ……เราขอโทษพ่อ……ขอโทษ……”

 

ผมกลั้นหายใจ

 

หัวของผมเริ่มที่จะหนาวสั่น

 

กระดูกสันหลังรู้สึกชาราวกับว่ามีกระแสน้ำเย็นไหลผ่าน

 

ฟาร์นาเซ่ ยังคงไม่รู้ตัวว่าผมได้มาถึงแล้ว เเละยังคงพึมพำต่อไป

 

“เราขอโทษพ่อ จะไม่ทำมันอีกแล้ว……เราขอโทษ……”

 

ไอ้พวกทวยเทพสารยำเอ้ยย

 

ผมไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป ผมวิ่งออกไปจากกระท่อมน้ำแข็ง ถ้าผมลุกลี้ลุกลนเข้าหาคนที่มีสภาพจิตใจแบบนั้น มันจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ผมเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้ดีเพราะเคยผ่านประสบการณ์มา นั่นเเหละเป็นเหตุผลที่ผมต้องขอบคุณไอ้พระเจ้าสารยำ

 

ด้านนอกกระท่อมน้ำเเข็ง มีเซนทอร์หลายร้อยตัวกำลังลดกีบเท้าหน้าเพื่อก้มหัวลง หัวหน้าเซนทอร์คุกเข่าอยู่ข้างหน้า ผมชี้ไปที่กระท่อมน้ำแข็ง เเล้วถาม

 

“เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

เสียงของผมสั่นไปด้วยความโกรธ

 

“แม่ทัพกลายเป็นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“ตั้งแต่เราตั้งค่ายซุ่มโจมตีในป่าสนครับ……”

 

“เหตุผลคืออะไร?”

 

“คะ….คือผู้กระผมไม่รู้สาเหตุเรื่องนี้ดีนัก ในตอนเที่ยงท่านเเม่ทัพก็ยังสบายดีอยู่เลย แต่น่าแปลกที่เธอกลับกลายเป็นแบบนั้นในตอนกลางคืน ดูเหมือนว่าท่านเเม่ทัพจะกลัวต้นสนจนผิดปกติ เราเลยสร้างกระท่อมน้ำแข็งขึ้นมา นั่นเป็นสาเหตุที่ตัวของเเม่ทัพอาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่……”

 

“อาการดีขึ้นเล็กน้อยงั้นเรอะ?”

 

ผมมองกลับไปกลับมาระหว่างโรงน้ำแข็งกับเซนทอร์

 

“เเกกำลังบอกผมว่าอาการมันดีขึ้นใช่มั้ย? หรือจะบอกว่ามันดีขึ้นในทางที่เเย่ลงกัน?”

 

“……”

 

“บอกมาทีในตอนนี้. เเกกำลังคุกเข่าเพื่อร้องขอการให้อภัยหรือกำลังคุกเข่าเพื่อขอให้ตัดหัวของเเกออกมากัน?

ไหล่ของเซนทอร์สั่นสะท้าน

 

“ฝ- ฝ่าบาท อย่างน้อยได้โปรดไว้ชีวิตด้วย……!”

 

“ทำไมเเกถึงไม่มาบอกให้เร็วกว่านี้”

 

“ท่านแม่ทัพขอร้องไม่ให้พวกเราแจ้งต่อฝ่าบาท พวกเราเล..……”

 

ผมชักดาบยาวออกจากเอวและตัดคอของเซนทอร์ เลือดไหลพวยพุ่งออกมาจากคอที่ขาด เลือดสีแดงฉานได้โปรยปรายลงบนหิมะขาวบริสุทธิ์

 

ผมมองไปรอบๆและพูด

 

“ข้าเป็นเจ้านายของพวกเเก จงอย่าได้ลืมสิ่งนี้เด็ดขาด”

 

ทหารม้าเซ็นทอร์ก้มหัวลงไป ผมทิ้งพวกเขาไว้ เเละเดินเข้าไปในกระท่อมน้ำแข็งอีกครั้ง ฟาร์นาเซ่ ยังคงพึมพำด้วยน้ำเสียงที่รวยรินผสมปนเปกับการร้องไห้

“ฟาร์นาเซ๋”

 

ผมเข้าไปหา ฟาร์นาเซ่ และจับหัวเธอ เธอแทบจะไม่สามารถสบตากับผมได้เลยในตอนนี้

 

“ฟาร์นาเซ่ นี่ผมเอง. ดันทาเลียน”

 

“เราขอโทษ…… เราขอโทษ เราผิดไปเเล้ว……”

 

“ผมไม่ใช่พ่อของเธอมองดูให้ดีๆสิ ฟาร์นาเซ่ มองมาที่ผม.  จะไม่มีใครมาทุบตีเธอหรือมาล่วงเกินเธอได้ ผมจะไม่กักขังเธอไว้ในห้องสมุดและให้อาหารผ่านรูที่ประตูหรอกนะ มาดูดีๆสิ”

 

ผมกระซิบออกไปอย่างหมดหวัง

 

“ผมจะไม่ทำให้เธอต้องหิวโหยเพียงเพราะว่าเธอไม่เชื่อฟัง ผมจะไม่เผาหรือฉีกหนังสือที่เธอหวงแหน ฟาร์นาเซ่ ผมไม่ใช่พ่อของเธอ เเต่ผมคือดันทาเลียน จอมมารดันทาเลียนไง”

 

“……”

 

“เธอไม่ใช่ลูกนอกกฎหมายที่ถูกผูกมัดโดยครอบครัวอีกต่อไปเเล้ว ไม่มีใครมาตีตรวนเธอได้อีก ตอนนี้ ณ ที่นี่เธออยู่ตรงนี้เเล้ว. เธอคือคนของผม เเละผมเป็นเจ้านายของเธอ จงดูให้ดีเถิด. ตราบใดที่เธอไม่ทรยศผมก่อน ผมจะไม่ละทิ้งเธอไปไหนเเน่นอน”

 

เเววตาในรูม่านตาของ ฟาร์นาเซ่ ค่อยๆ กลับมา

 

“ท่า…จอ…ม..มา…ร“

 

“นั่นเเหละ.”

 

“ค-ต้นสน……”

 

ฟาร์นาเซ่ ตัวสั่น

 

ดูเหมือนว่าเธอจะลืมวิธีในการหลั่งน้ำตา ดังนั้นเธอจึงทำได้เเค่เพียงร้องไห้ด้วยน้ำเสียงของเธอผ่านลำคอ

 

“จั๊กจั่นจำนวนมากเกาะอยู่บนต้นสน…… พวกมันยังคงร่ำร้อง…… พ่อของเราทำกับหญิงสาวคนนี้…… ทำกับ…หญิงสาวคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า……”

 

“……”

 

เป็นเพราะแบบนี้เอง.

 

ต้นไม้ที่ฟาร์เนเซเคยเห็นผ่านหน้าต่างเมื่อตอนที่เธอยังเยาว์ เป็นต้นสนชนิดเดียวกันกับต้นไม้ที่นี่

 

ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของฟาร์นาเซ่

 

“มันไม่ใช่เสียงของจั๊กจั่น ที่นี่ไม่มีจั๊กจั่นพวกนั้น”

 

“แต่, เราได้ยิน…… เราได้ยินเสียงจั๊กจั่นที่ข้างนอกนั่น……”

 

“นั่นไม่ใช่เสียงของจั๊กจั่น มันคือเสียงของหิมะ ฟาร์นาเซ่ เธอกำลังสับสนกับเสียงหิมะเหมือนเสียงร้องของจั๊กจั่นเเน่ๆ เพราะความทรงจำของเธอถถูกผูกเข้ากับต้นสน ความทรงจำที่เลือนลางของเธอทำให้เกิดการเข้าใจผิดแบบนี้”

 

“ไม่ ฝ่าบาท…… นั่นไม่ใช่เเน่ๆ……เราได้ยินจริงๆ……”

 

“ผมจะพิสูจน์ให้เธอเห็นเอง”

 

ผมคว้าข้อมือของฟาร์เนเซ่แล้วลากเธอออกมา แม้ว่า ฟาร์นาเซ่ จะพยายามไม่ออกจากกระท่อมน้ำแข็ง แต่ผมได้ดึงเธอออกมาอย่างแรง ฟาร์นาเซ่ ตอนนี้รู้ว่าผมเป็นใคร นั่นหมายความว่าสมองของเธอเริ่มทำงานปกติ ไม่มีปัญหาเเล้วที่เธอจะจำคนผิดสลับตัวกัน ช่วงเวลานี้ที่สมองของเธอกำลังประมวลผลทำการรับรู้ตามปกติและกำลังประมวลผลความทรงจำอันสับสนของเธอที่ขัดแย้งไปพร้อมกัน ตอนนี้เเหละเป็นช่วงโอกาสที่เหมาะสมที่สุด ในช่วงเวลานี้ ผมต้องใช้การรับรู้สมองของเธอที่ยังประมวลผลไม่ทันในปัจจุบันเพื่อทำลายความทรงจำในอดีตนั้นของเธอซะ

 

พายุหิมะคร่ำครวญเมื่อมันพัดผ่านต้นสน ฟาร์นาเซ่ ก้มหน้าลงและพยายามไม่มองไปที่ไหน ผมจับคางของ ฟาร์นาเซ่ และบังคับให้เธอเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมของเธอ

 

“มองไปข้างหน้าให้ดีๆ ตอนนี้มันหน้าหนาวแล้ว!”

 

“……”

 

“ไม่มีจักจั่นสักตัว มันเป็นภาพหลอนทั้งหมดที่เธอสร้างขึ้นเอง เสียงของหิมะและเสียงร้องของจักจั่นมันเหมือนกันไหม? จงมองดูให้ดี ฟาร์นาเซ่ เปิดตาของเธอและมองดูสภาพแวดล้อมให้ชัดเจน เธออายุ 16 เเล้วนะ ถ้าอายุ 16 แสดงว่าเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว เธอจะคร่ำครวญไปอีกนานสักเท่าใดกัน หรือเป็นเพราะเธอถูกผูกมัดโดยพ่อเเละสายเลือดลูกครึ่งทาสรับใช้ที่เธอมีกัน!?”

 

ผมได้มองไปในสายตาของฟาร์เนเซ่อีกครั้ง รูม่านตาของ ฟาร์นาเซ่ สั่นเทา เเต่ยังไงก็เเล้วเเต่มันไม่ใช่การสั่นของดวงตาที่มองไม่เห็น แต่เป็นการสั่นของดวงตาที่ยังไม่พบจุดโฟกัสไปที่ๆควรมอง

 

“เธอไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไปเเล้ว ตอนนี้เธอคือผู้ล่า เธอไม่ได้เป็นคนอ่อนแอที่ถูกล่วงเกินอีกต่อไป แต่เธอกลายคนเข้มแข็งที่ไม่ว่าหน้าไหนก็มาล่วงเกินไม่ได้ ถ้ามีคนพยายามจะปลิดชีวิตเธอ ก็จงฆ่าพวกเเม่งซะ ก่อนที่พวกมันจะเข้ามา มันเป็นเรื่องง่ายมากๆ ถ้าไอ้ระยำตัวนั้นมันเป็นพ่อของเธอ ก็เเค่ปิตุฆาตมันไปซะ และถ้าคนคนนั้นเป็นพระเจ้า ก็จงลากมันลงมาเเละสังหารพระเจ้าไปด้วย”

 

“ฝ่าบาทท……”

 

“สิ่งที่เธอต้องทำคือฆ่าพวกมันทั้งหมด”

 

“แต่ถ้าฝ่าบาทออกห่าง หญิงสาวคนนี้ไป…… หญิงสาวคนนี้ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก”

 

“อย่าทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจสิ”

 

ฟาร์นาเซ่สะดุ้ง

 

“ผมไม่มีงานอดิเรกเลี้ยงตุ๊กตาที่พังไปเเล้วหรอกนะ”

 

“……”

 

ค่อยๆเป็นค่อยๆไป.

 

ทีละเล็กทีละน้อยตัวของ ฟาร์นาเซ่ ค่อยๆสั่นเพราะความหนาวมากขึ้น

 

ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเวลามันผ่านไป 30 นาทีหรือหนึ่งชั่วโมงแล้ว ยกเว้นว่าต้องขอบคุณแม่มดที่สร้างบาเรียร์ไว้รอบตัวพวกเรา มันทำให้พวกเราไม่หนาวจนเเข็งตายไปซะก่อนเเละท้ายที่สุดเเล้ว ฟาร์นาเซ่ ก็ได้เปิดปากของเธอ

 

“ฝ่าบาท……ที่นี่มันหนาวจริงๆ……”

 

“เธอเริ่มได้สติมาบ้างเเล้วรึยัง”

 

“หญิงสาวคนนี้ไม่เเน่ใจ……”

 

“เสียงของจั๊กจั่นยังก้องอยู่ในหูหรือเปล่า”

 

“ก็นิดหน่อย….แต่มันดีขึ้นกว่าเมื่อกี้นี้มากเเล้ว”

 

“ถือว่าโชคดีเเล้วที่คนที่ได้พบเธอก่อนเป็นผม ถ้าเป็นลาพิสนะเธอคงจะจับหัวเธอแล้วฝังมันไว้ใต้กองหิมะเเล้ว”

 

“อ่าาาา. หากเป็นพี่ลาพิส ก็คงเป็นไปได้แน่นอน—”

 

ผมผลักหัวด้านหลังของฟาร์เนเซ่ลงไปใต้กองหิมะทันทีและบังคับไม่ให้เธอเอาหน้าโผล่ขึ้นมา ฟาร์นาเซ่ พยายามสะบัดแขนสู้อย่างเต็มที่

 

หลังจากผ่านไป 4, 5 วินาที ผมก็ยกหัวของ ฟาร์นาเซ่ กลับขึ้นมา ‘ฟุว้าาา’ ฟาร์นาเซ่ ได้ถอนหายใจ ตั้งแต่คิ้วจนถึงจมูก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยหิมะ ผมยิ้มให้เธอ

 

“และลาพิสก็คงจะถามเธอต่อไปอีก คงจะเป็นคำถามที่ถามเพื่อเช็คสภาวะในจิตใจของเธอ ผมจะถามอีกครั้ง เธอได้ฟื้นคืนสติกลับมาครบถ้วนเเล้วหรือยัง? หรือผมต้องเอาฝิ่นมายัดปากเธอเพื่อทำให้หัวของเธอมันกระจ่างมากกว่านี้กัน?

 

“……เราเข้าใจเเล้ว บุคลิกของฝ่าบาทเป็นเหมือนกับหมาไม่มีผิด”

 

“โอ้? ในที่สุดสุภาพสตรีท่านนี้ก็กล่าวคำหยาบคายออกมาได้สักที ขอแสดงความยินดีกับเธออย่างจริงใจด้วยนะ  ค่อนข้างที่จะเเปลกใจดีเนาะในที่สุดเธอก็ได้เรียนรู้วิธีการพูดสบถออกมาสักที”

 

เมื่อผมปล่อยหัวของเธอ ฟาร์นาเซ่ ก็เช็ดใบหน้าของเธอด้วยขอบเสื้อของตัวเอง เธอหยิบหมวกที่ตกลงบนพื้นและทำการปัดเศษหิมะออก

 

“……ต้องพูดสบถหยาบคายขนาดไหนถึงจะระบายความรู้สึกอัดอั้นนี้ออกมาได้จนพอใจกัน? ฝ่าบาทเป็นคนที่ชอบอ้างว่ารู้ดีไปทุกอย่าง บอกเราให้เรารู้วิธีนั้นให้ทีสิ”

 

“แน่นอน. หากเธอสบถคำว่า ‘ฟัค’ ออกมาบ่อยๆเดี๊ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้นเองเเหละ”

 

“จริงๆด้วย. นี่มันรู้สึกเหมือนกำลัง (ฟัค) อยู่เลย

“That’s right. This feels like fuck.”

 

ฟาร์นาเซ่ ถอนหายใจ

 

ในที่สุดก็ถึงเวลาเข้าสู่หัวข้อหลัก

 

“ฝ่าบาทมาที่นี่เพื่อตามหาหญิงสาวคนนี้ด้วยเหตุผลอะไร?”

 

“กองทัพที่สองที่นำโดย มาร์บาส ได้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ไปเเล้ว”

 

“……”

 

ฟาร์นาเซ่ จ้องมองมาทางผม

 

สายตาอันเย็นชาได้กลับมาที่ดวงตาของเธอเเล้ว

 

“……ถ้าอย่างนั้น มาร์เกรฟ ก็น่าจะเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงเเล้วเเน่ๆ”

 

“นั่นคือสิ่งที่ผมก็คิดเหมือนเธอ ผมกำลังคิดวิธีหลอกล่อเขาอยู่ ที่มาที่นี่ก็เพื่อจะคุยเรื่องนี้ 

 

“อืมม. มาร์เกรฟเป็นทหารผ่านศึกที่มีความระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แม้ว่าเราจะแสร้งทำเป็นล่าถอย แต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เขาจะไล่ตามเราไปในทันที เราควรต้องสร้างความเชื่อแบบหนึ่งก่อนเพื่อเป็นสัญญาณที่เขาเห็นเเล้วจะได้รับรู้ว่าถึงเวลาอันควรเเล้วที่จะไล่บดบี้กองกำลังของเรา……”

 

ฟาร์นาเซ่ ถ่มน้ำลายลงบนพื้น ดูเหมือนว่าเธอจะถุยหิมะที่ผมกดลงไปใส่หน้าของเธอในวินาทีที่แล้ว ผมได้อธิบายสถานการณ์ที่เหลือต่อ

 

“เพราะความพ่ายแพ้ของ มาร์บาส บาบาร์ทอส ตอนนี้จึงเหมือนติดเกาะอยู่คนเดียว หลังจากที่เรายึด ปราการพิสุทธ์ ได้ภายในสองวัน กองกำลังของเราต้องเดินทางไปทางเหนือต่อโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น มันจะเป็นไปได้ไหม”

 

“……”

 

ฟาร์นาเซ่ หรี่ตาลง

 

“ไม่ใช่อีกสองวันฝ่าบาท  เเต่เป็นตอนนี้”

“ตอนนี้?”

 

“อา มีสองสถานการณ์ที่มาร์เกรฟกลัวมากที่สุด ประการเเรกเรารีบถอนทัพหนีทันทีที่ได้รับข้อความด่วนและสามารถหลบหนีได้อย่างปลอดภัย ประการที่สองคือ มาร์เกรฟ ไล่ตามเราในขณะที่เราถอนทัพออกอย่างสบายๆ และพบกับความพ่ายแพ้เพราะถูกเราซุ่มโจมตีอยู่ สองอย่างนี้เป็นสถานการณ์สมุติที่เลวร้ายที่สุดสำหรับมาร์เกรฟ ประการเเรกคือยอมให้ศัตรูถอนทัพออกไปต่อหน้าต่อตา มันจะกลายเป็นการไม่แสดงความจงรักภักดีต่อจักวรรดิ ประการที่สองพ่ายแพ้ต่อศัตรูเเละถูกโค่นล้มลง มันจึงหมายถึงจุดจบของชีวิตมาร์เกรฟนั่นเอง”

 

“พูดต่อสิ.”

 

“ข้อความด่วนเพิ่งมาถึงในวันนี้ มันมาถึงเมื่อครู่นี้เอง ฝ่าบาท มาร์เกรฟตอนนี้น่ะยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจริงๆเเล้วเขากลัวการไม่แสดงความจงรักภักดีต่อจักวรรดิ หรือกลัวความตายมากกว่ากันเเน่ เมื่อคืนนี้ผ่านไปและรุ่งสางมาถึง การตัดสินของมาร์เกรฟจะค่อยๆชัดเจนมากขึ้น ในค่ำคืนวิกาลอันแสนสับสนนี้ ที่ซึ่งมาร์เกรฟยังคงไม่มั่นใจในความกลัวของตัวเอง จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกองกำลังของเรา หากเราพลาดโอกาสในวันนี้ไป การล่อให้มาร์เกรฟออกจากป้อมปราการในอนาคตมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”

 

ฟาร์นาเซ่ ปัดหิมะออกจากตัวเธอและลุกขึ้นยืน

 

ฟาร์นาเซ๋ ได้จ้องมองไปที่แม่มดที่ล้อมรอบเราเป็นวงกลม เเละก็เธอพึมพำออกมา

 

“ฝ่าบาท พวกเรามาโยนเหยื่อล่อกันเถอะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

………………………………………………………………………………………………..

น้อนนโดนดุอีกเเล้ว เล่มนี้โดนบ่อยปุยมุ้ย

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset