Dungeon Defence – ตอนที่ 68

▯ราชาแห่งไพร่ ลำดับที่ 71 ดันทาเลี่ยน

ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือน 3 วันที่ 11

ที่ราบเนอริส, ค่ายทหาร

 

 

 

“ชู่ววววววววว”

 

บาร์บาทอสปลุกผมให้ตื่นขึ้น

 

“เงียบๆหน่อย”

 

ร่างกายของผมเหนื่อยล้าหลังจากเล่นกับบาร์บาทอสตั้งแต่เที่ยงวัน จึงผล็อยหลับไป บาบาร์ทอสเอง ก็ไม่น่าจะเเข็งเเรงดีเพราะเหนื่อยเช่นเดียวกันกับผม แต่ในตอนกลางคืน ในคืนเเห่งความพยายามซึ่งไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนก เธอก็ปลุกผมให้ตื่นขึ่นมา นี่ก็เเค่เป็นตัวอย่างนะ เเต่คนที่ผมดูถูกที่สุดในโลกคือคนที่มาปลุกขณะที่ผมหลับอยู่ ผมจะถือว่าใครก็ตามที่ชอบมาปลุกตอนคนจะนอนมันเป็นเเค่ไอ้โรคจิตและเป็นผู้ป่วยทางจิตทั้งนั้น ผมพูดออกมาได้เต็มปากโดยไม่ต้องมีข้อโต้เเย้งเลย

 

 

“มีเรื่องสำคัญอะไร?”

 

“ตามข้ามาเงียบๆ”

 

 

 

บาร์บาทอสลดเบาเสียงลงและหัวเราะคิกคัก แม้ว่าเธอบอกให้ผมตามเธอไป แต่เธอก็จับมือผมไว้และเริ่มลากผมออกไปเเทน ตอนนี้ผมกับบาร์บาทอสอยู่ในสถาพไม่มีเเม้เศษด้ายพันตัวเองแม้แต่นิดเดียว ซึ่งหมายความว่าตอนนี้เรากำลังล้อนจ้อนกันอยู่ พระเจ้า. ผมรู้สึกช็อค บาร์บาทอสพยายามลากผมออกไปนอกห้องขณะที่พวกเรากำลังเปลือยกายกันอยู่

 

 

“เฮ้ เธอเป็นบ้าไปเเล้วเหรอ”

 

“ข้าจะพาเเกไปดูของดี”

 

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าจะให้ดูอะไร แต่ผมไม่ออกไปข้างนอก ในขณะที่ตัวเองกำลังโป๊อยู่หรอกนะ!”

 

“ข้าบอกให้เงียบๆไง ไอ้โง่”

 

 

 

 

 

บาร์บาทอสยังคงหัวเราะต่อไป เธอเป็นผู้หญิงที่ไร้สามัญสำนึก เเละส่วนที่เลวร้ายเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้มีอีกก็คือความจริงที่ว่าเพราะนังนี่เเม่งไร้สามัญสำนึกเเล้ว เเต่แรงจับของเธอยังมีพลังมหาศาลโดยไม่จำเป็นต้องมีไปอีก เธอไปเค้นเอาความแข็งแกร่งนี้มาจากไหนในร่างเล็กของเธอกัน? เมื่อบาร์บาทอสออกเเรงลากผม ผมก็จะถูกลากตามไปอย่างช่วยไม่ได้เหมือนเศษฟางที่ล่องไปตามแม่น้ำ โอ้พระผู้เป็นเจ้า. นังบ้านี่ลากผมออกไปนอกเต็นท์จริงๆด้วย!

 

 

ตอนนี้มันก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ในค่ายเลยเงียบสงัด มีเพียงคบเพลิงของทหารลาดตระเวนถืออยู่กระจายออกไปตามที่ต่างๆเท่านั้นเเละหนึ่งในนั้นก็กำลังกระพริบเข้ามาใกล้ ผมโวยวายออกมา

 

 

 

“ช่วยผมด้วยเถอะ ท่านเทพธิดาแห่งความเมตตา!”

 

 

“ชู่วววว หุบปากหน่อยได้ไหม? เเกนี่มันไม่ฟังเวลาคนอื่นพูดเลยจริงๆใช่มั้ยวะ”

 

 

“เธอพูดเเบบนี้กับผมได้ยังไง? กันวะครับ  นี่น่ะเหรอคือสิ่งที่เธออยากจะสื่อให้ผมดูตอนนี้?”

 

 

 

 

“โอ้ เปลวเพลิงเเห่งการปลอบประโลมเอ๋ย.”

 

บาบาร์ทอส เป่าลมหายใจของเธอลงบนฝ่ามือตัวเอง จากนั้นบาร์บาทอสก็เอามือขวาแตะไปที่หน้า คอ ไหล่ หน้าอก และก้นของผม ขณะที่เธอทำเช่นนั้น ความร้อนความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณที่บาร์บาทอสสัมผัสในค่ำคืนฤดูหนาวอันหนาวเหน็บนั้นผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นราวกับยามเย็นในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง หิมะที่โปรยปรายในอากาศละลายก่อนที่มันจะตกไปถึงผิวของผม

 

“ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง”

 

“ขอบใจมาก เธอนี่ช่างเเสนรู้คุณดีจัง ผมล่ะรู้สึกขอบคุณเธอจริงๆเลย แต่มันก็ยังมีปัญหาพื้นฐานมากกว่านั้นอีก เธอไม่คิดว่าเราเจอกับปัญหาพื้นฐานที่มากกว่านี้มั่งเหรอ?”

 

“ปัญหาพิ้นฐานจริงๆเเล้วก็คือ เเกมันน่าเกลียดไงล่ะ?”

 

“นังตัวเเสบนี่……”

 

 

“หึ ข้าจะพาเจ้าไปดูของดี มีให้ดู ก็เเค่ตามข้ามาเอง คงจะดีกว่าถ้าเพียงไอ้จ้อนท่อนล่างของเเกมันยาวขึ้นได้อีก แต่น่าเสียดายที่ปากของเเกเเม่งก็ยาวตามกันมาอีก ลิ้นของเเกก็เสือกจะยาวมากกว่านั้นจนเอามาวนรอบฟาร์มได้เเล้วเว้ย ข้าควรฉีกไอ้จ้อนของเเกเเล้วเอามายัดตูดเเกเลยดีไหม ไอ้สารยำอย่างเเกที่เเค่อยากจะอ้าปากเเต่ไม่ยอมหุบรูตูด  รู้ไหมว่ากลิ่นอาจม จากทะเลเเดนเหนือมันลอยข้ามสมุทรมาสู่ทะเลขาวได้ไอ้ลูกกะหรี่เอ้ย หืม? อย่าทำให้ข้าต้องระเบิดรูขี้ของเเกจนกลายไปเป็นรูโหว่เสียเชียวนะ เพราะเดี๊ยวหูรูดของเเกจะมีน้ำไหลออกมาทุกย่าวก้าวที่เเกเดิน ไอ้โรคจิตมือใหม่ ก็เเค่ต้องหุบปากแล้วตามข้ามาเท่านั้นเว้ย”

 

 

 

 

บาร์บาทอสพาผมไปนอกค่ายทหาร เราเกือบถูกจับโดยหน่วยราดตระเวรหลายครั้ง ขณะหลีกเลี่ยงพวกทหาร เราก็หลบเลี่ยงเลี้ยวผ่านค่ายทหารออกไปได้ ในช่วงเวลานั้น บาบาร์ทอส จะหันกลับมาจูบผมโดยไม่มีเหตุผล บาบาร์ทอส เป็นผู้หญิงที่จูบเมื่อเธอรู้สึกอยากจูบ ผมทำได้เพียงเเค่ยอมแพ้เท่านั้น  

 

 

เพราะหิมะตกลงมาปกคลุม ด้านนอกค่ายจึงกลายเป็นทุ่งสีขาว ศพถูกฝังอยู่ใต้ทุ่งหิมะ และเหนือร่างเหล่านั้น หิมะตกลงทับถมมากกว่าเดิม และศพถูกกลบฝังใต้กองพะเนินลึกลงไปเรื่อยๆ หลังจากที่เรามาถึงจุดนี้แล้ว บาร์บาทอสก็ปล่อยมือของผม

 

 

“เอาหล่ะ. ตอนนี้เธอวางเเผนอะไรถึงพามาที่นี่……”

 

บาบาร์ทอส เดินไปที่ทุ่งหิมะด้วยตัวเธอเอง

 

มุ่งหน้าสู่ท้องฟ้ายามราตรีที่หิมะโปรยปรายลงมา บาร์บาทอสกางแขนออก เธอเริ่มร้องเพลง ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะมาทำอะไรที่นี่ตอนกลางคืนกันเเน่ ผมจึงจ้องไปที่ผู้หญิงคนนั้น

 

เป็นเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องมีแต่เสียง

 

บาบาร์ทอส แหงนมองท้องฟ้าราวกับว่าเธอเป็นนักบุญหญิงที่ได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้า เมื่อเธอเดินไปที่ทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด เธอรวบพายุหิมะเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเธอราวกับว่าเธอกำลังจะหายตัวไปตลอดกาล

 

 

—.

 

 

 

หิมะกำลังร่ำไห้ในอ้อมเเขน เสียงร้องอันเยือกเย็นของฤดูหนาวแทรกซึมผ่านความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังผมได้อย่างง่ายดาย ที่คอของผมตอนนี้อุณหภูมิค่อยๆเย็นลง

 

 

เธอได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเส้นเสียงของตัวเอง เพลงของ บาบาร์ทอส ค่อยๆทรงพลังมากขึ้น บาร์บาทอสอ้าปากกว้างและหรี่ตาลง เธอโอบรับพายุหิมะที่ตกลงมาจากฟากฟ้าพร้อมกับท่วงทำนองของเธอ สายลมเเปรปรวนกำลังพัดขึ้นไปด้านบน รู้สึกราวกับว่าเสียงของเธอได้เข้าสู่โทนเสียงที่หูของผมไม่สามารถจะรับฟังได้อีก

 

 

อา–…… ลมหิมะพัดพาเสียงนี้มา ลมได้พัดพาเสียงจากด้านนี้ของดินหิมะไปที่อีกด้านหนึ่ง จนถึงชายขอบป่าของต้นป็อปลาร์ฮยอน กังวาลไปจนหมาป่าโผล่หัวออกมาจากป่าเพื่อเฝ้าดูเราอย่างเงียบๆ สั่นสะท้านไปจนถึงช่องว่างไรฟันของหมาป่า จนถึงซากศพที่ใบหน้าถูกผลักลงสู่ดินเเดนเยือกแข็ง จนถึงดวงตาของศพที่เลือดแข็งตัว จากที่นี่ถึงที่ๆห่างออกไปเเสนไกล และแม้แต่บริเวณที่ห่างไกลจากสถานที่นี้ พายุหิมะ ได้ย่างกรายเข้าไปในสถานที่เหล่านั้นและท่วงทำนองเพลงก็ซึมเข้าไปสู่ที่เเห่งความเวิ้งว้างตามไปเช่นกัน

 

 

 

 

เเกร๊กกกกก.

 

จากใต้พื้นพสุธาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แขนที่เน่าเสียของซากศพกำลังชูขึ้นมา ชิ้นส่วนของเนื้อที่ถูกฉีกออกจากแขนเผยให้เห็นกระดูก แม้แต่ก้อนหิมะฝังตัวอยู่ในกระดูกก็มองเห็นได้ด้วย ‘เสียงกระหึ่ม’ เสียงที่เกิดขึ้นจากเเขนที่โผล่พ้นบนหิมะดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ เเกร๊กก เเกร๊กก ทุกครั้งที่เสียงนี้สะท้อนให้ได้ยิน ก็จะมียกแขนถูกยกขึ้นจากหิมะขึ้นมา ราวกับว่าพวกมันกำลังพยายามคว้าอะไรบางอย่างไว้ มือที่เย็นเฉียบโบกสะบัดพัดไปมาในอากาศที่ว่างเปล่า หลายพันมือชูไปบนท้องฟ้า

 

เพลงของ บาบาร์ทอส จบลงอย่างช้าๆ โดยมีเธออยู่ตรงกลาง แขนที่ตายแล้วจำนวนนับไม่ถ้วนได้ปะทุขึ้นจากหิมะ เมื่อมองไปรอบๆเศษซากโครงกระดูก บาร์บาทอสก็พูดขึ้น

 

 

-พวกเจ้าทุกตน. จงหวนคืนสู่ชีพวัน

 

 

ราวกับพวกมันกำลังรอคำสั่งสุดท้ายจากบาบาร์ทอส?

 

การเคลื่อนไหวของแขนศพได้หยุดลงไป ในที่ว่างอันเวิ้งว้างที่ว่างเปล่า แขนทั้งได้สองกำหมัดแน่น ขณะที่ศพลุกขึ้นยืน หิมะโปรยปรายลงตามไป เมื่อกองหิมะหลายพันกองได้ลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน พายุหิมะก็โหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นอีก และจากนั้นหิมะก็ค่อยๆลดความรุนเเรงคกลงมา เมื่อมันสงบลง มีซากศพนับพันยืนอยู่บนทุ่งที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

 

บาร์บาทอสถอนหายใจ ผมจ้องมองไปที่เธอ ลมหายใจสีขาวที่มองเห็นได้ของเธอไหลออกมาจากระหว่างริมฝีปากของเธอ

 

 

ผมเพิ่งได้เห็นหนึ่งในความสามารถที่ผมไม่สามารถจะมีได้ไม่ว่าผมจะดิ้นรนแค่ไหนก็ตาม ผมยังได้เห็นเหตุผลที่ว่าทำไมระบบสังคมซึ่งคล้ายกับแบบของชนเผ่ายังคงไม่ล่มสลายภายในโลกปีศาจ จอมมารไม่เพียงแต่เป็นขุนนางเท่านั้น แต่ยังเป็นได้ทั้งนักบวช หมอผี และนักบุญอีกด้วย ปีศาจตัวอื่นๆยอมเชื่อฟังจอมมารเพราะพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่สลักเสลาอยู่ภายในชื่อศักดิ์สิทธิ์นั้นเอง

 

 

ในวันข้างหน้า อำนาจของผมก็อาจจะยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้ควบคุมชีวิตของผู้อื่นได้ตามที่ผมต้องการ อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ไม่มีชีวิตได้ ความสามารถทางการเมืองของผมก็จะกลายเป็นความสามารถอ่อนโยนไปเลยเมื่อเอาเทียบกับของ บาบาร์ทอส ผมจะขโมยมันมาได้ยังไง? ผมจะควบคุมเจ้าพวกนี้ได้ยังไง? มันจะยอมรับผมหรือ? ผมจึงถามออกไป

 

 

“บาร์บาทอส เธอเป็นใครกันเเน่”

 

 

บาร์บาทอสวางริมฝีปากบนซากศพ เธอไม่ได้แยกศพที่มีเนื้อฉีกขาดและโครงกระดูกที่สูญเสียเนื้อไปออกจากกัน เธออวยพรศพทั้งหมดด้วยการจูบ พายุหิมะพัดผ่านผืนทุ่งมะไป บาบาร์ทอส จับศีรษะของศพไว้ในมือของเธอและหันมามองที่ผมเท่านั้น

 

เธอยิ้ม

 

 

“นังตัวแสบไงล่ะ”

 

 

กองทัพโครงกระดูกได้เข้าร่วมทัพ ด้วยเหตุนี้เอง

 

 

 

 

…………………………………………………………………………………………..

ช่วงนี้คนเเปลป่วยติดโควิด สมองอาจเบลอๆตอนแปลไปบ้าง ยังไงก็ขอให้สนุกกัยนะครับ

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset