Dungeon Defence – ตอนที่ 88

▯จอมมารอมตะ อันดับที่ 8 บาร์บาทอส

ปฏิทินเอ็มไพร์: ปี 1506 เดือนที่ 4 วันที่ 7

ที่ราบบรูโน ปีกขวาของกองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว

 

 

.อ่าาาา นี้มันไม่สนุก

 

นี่มันไม่สนุกเอาเสียเลย⎯⎯⎯

 

ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ สงครามครั้งนี้ไม่เป็นไปตามที่ข้าต้องการเลยเเม้เพียงนิด

 

เราได้ประจัญหน้ากับกองทัพจักรวรรดิแห่งฮับส์บวร์กเมื่อสองสามวันก่อน แต่พวกพวกเเม่งเคลื่อนทัพไม่เป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้เลย

 

ไอ้เจ้าคนที่ชื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธเป็นคนคอยสั่งการสินะ? เเม่งมีความรอบรู้พื้นฐานของการใช้ยุทธวิธี

ทุกครั้งที่เราบุกเข้าไปเธอก็จะรับมือกับมันด้วยความใจเย็นเเละหากเราถอยทัพกลับไปมันก็จะยกทัพตามมาแบบเอาสุด  

 

 

ที่หนึ่งคือศัตรูที่น่าชัง ที่สองรองลงมาคือพันธมิตรที่อ่อนด้อย อืมม. ข้าขอทำนายว่านี่จะกลายเป็นสงครามยืดเยื้อเเน่ๆ······เอาเถอะ เราก็เเค่ต้องไปปล้นสะดมเสบียงสิ่งที่เราขาดมาก็ได้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

 

อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปล่อยให้กองทัพจักรวรรดิทำแบบนี้ต่อไปได้อีกเเล้ว เราเข้าสู้กับอีกฝ่ายไปสองครั้งก่อนหน้านี้ แต่ทุกครั้งที่ข้ามองไปยังอีกกองทัพจากด้านข้าง พวกมันกลับสร้างความเสียหายอย่างหนักให้ทั้งฝ่ายขุนเขาและฝ่ายเป็นกลาง ทั้งสองต่างก็พ่ายแพ้ต่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิไปแล้วครั้งหนึ่ง ไอ้เชี่ยเอ้ย. โลกนี้เเม่งช่างน่าเวทนาเสียจริง ข้าคงเป็นกลุ่มพันธมิตรเดียวที่ยังคงความน่าเชื่อถือได้ในตอนนี้

 

······ไม่สิ ถ้าข้าควรจะพูดถึงเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ ข้าควรจะยอมรับไอ้หญิงเลวคนนั้นด้วยไหม

 

ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่.

 

เด็กสาวที่ดันทาเลียนพามาจากที่ไหนก็ไม่รู้และถูกแต่งตั้งให้เป็นเเม่ทัพรักษาการของมันอย่างหุนหัน นางเหมือนกับเจ้านายของนางตรงที่ยังคงความหยาบคายทางวาจาไว้ตรบถ้วน

 

เธอไม่ได้เเม้เเต่จะเอาจริงในสงคราม นี่คือสิ่งที่ข้าบอกได้ทันทีเมื่อมองไปที่เธอ ผู้หญิงคนนั้นมันกำลังสนุกไปกับสงครามอยู่

 

เธอสามารถดึงศัตรูเข้ามาหาและทำลายล้างพวกมันได้อย่างง่ายดาย แต่เธอกลับทรมานพวกมันเป็นเวลา 3 ชั่วโมงแล้วปล่อยกลับไป เหตุผลเเสนจะง่ายของเธอ ก็เเค่เป็นเพราะมันจะเสียเปล่าถ้ากลืนกินพวกมันทันทีทันใด ด้วยความตั้งใจของเธอที่อยากฉีกพวกมันกินทีละน้อยและก่อกวนพวกมันจนถูกบีบให้แห้ง ข้ารู้ถึงความตั้งใจนั้น มันเล็ดลอดออกมาจากเธอเหมือนควันที่พวยพุ่ง ในฐานะผู้บัญชาการทหารที่มีเกียรติเพียงคนเดียวข้ายืนยันได้เลย

 

นางเป็นขยะ⎯⎯

 

เป็นขยะโดยสมบูรณ์

 

เหตุใดข้าราชบริพารของ ดันทาเลี่ยน จึงเต็มไปด้วยขยะกันวะ? ผู้คนบอกว่าเจ้านายและคนรับใช้มักจะเหมือนกัน และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทั้งทีข้าตั้งใจจะขจัดหนอนเเมลงของดันทาเลี่ยนสักตัว แต่ไอ้ตัวเมียไพม่อน ยังเข้ามมาแทรกแซงอีก

 

“เฮ้ออออออออ”

 

ข้าถอนหายใจออกมาเอง

 

ข้าต้องกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต้องทำลายล้างกองกำลังศัตรู ต้องฆ่า ไพม่อน และต้องไปกระทืบดันทาเลี่ยนเป็นมารยาทอีก มีหลายสิ่งที่ต้องทำ แต่เวลาก็ยังผ่านพ้นไป แบบๆช้าๆ ในอัตราเร็วเช่นนี้ ข้าเกรงว่าสิ่งต่างๆ จะยังคงดำเนินแบบนี้ต่อๆ แม้ว่าจะผ่านไปอีก 500 ปีก็ตาม

 

การเดินทางนับพันไมล์เริ่มต้นจากหนึ่งก้าว หากไม่รวมคิดว่าเเค่ก้าวเดียวนั้นมันน่าเบื่อเเละน่ารำคาญก็ตามที

 

ด้วยดวงตาที่เหนื่อยล้า ข้ามองออกไปที่แนวหน้าและครุ่นคิดว่าเราควรไปที่ไหนเพื่อต่อสู้

 

ทันใดนั้น.

 

“······?”

 

กองทัพเดียวภายใน พันธมิตรจันทร์เสี้ยว เริ่มเคลื่อนไหว หลังจากใช้เวทย์มนตร์เพื่อทำให้สายตาของข้ามองเห็นได้ไกลขึ้น ก็เห็นธงสีดำที่มีเส้นสองเส้นเขียนด้วยด้ายสีเงิน

 

อำนาจเพื่อเลือด

 

เลือดเพื่ออำนาจ

 

 

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคติพจน์สุดวิเศษนั้นเป็นของคนเพียงคนเดียว ไอ้เจ้าดันทาเลี่ยน นั่นหมายความว่านังมนุษย์นั่นได้ยกทัพออกไปข้างหน้า

 

มันพาทั้งกองทัพคลานไปจนถึงใจกลางที่ราบและเริ่มวางรั้วไม้อย่างโจ่งเเจ้ง ข้าควรเรียกตรงนั้นว่าเป็นตำแหน่งป้องกันได้ไหมฟะ? ไม่ว่ายังไงแผ่นดินมันอ่อนแอโคตรๆเพราะจากฝนตกมาหลายวัน ดังนั้นแม้ว่าพวกมันจะสร้างรั้วไม้กั้นไว้ตรงนั่น รั้วพวกนั้นมันก็ถูกลิขิตให้พังในไม่ช้านี้หรอก ณ ใจกลางสนามที่รกร้างว่างเปล่า กองทัพของไอ้เด็กระยำนั่นก็ได้เริ่มตั้งหลัก

 

“······ฮ่าฮ่า? เชี่ยเอ้ย พวกแม่งพยายามจะทำอะไรกันอีกวะ?”

 

ข้าหันไปถาม จอมมารฝ่ายผืนราบ ที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น ลูกน้องของข้าหันมาสบตากัน แต่พวกเขาไม่สามารถหาคำตอบได้ นั่นชัดเจนเเล้ว ไม่มีใครในฝ่ายเราที่เป็นกลางพอที่จะตีความการกระทำที่ไร้สาระได้ตามปกติเลย

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าลังเลเเละพยายามเลี่ยงคำตอบออกไป อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่คิดอะไรได้เข้าท่าอยู่ เขาจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย

 

“······แม้ว่ากระผมจะกลัวที่จะตัดสินเจตนาของใครด้วยการไม่ตริตรองให้เเน่ชัด เเต่ไม่ว่าจะมองมันอย่างไร พวกนั้นมันไม่ได้พยายามยั่วยุกองกำลังศัตรูอย่างงั้นหรือ”

 

“ยั่วยุ?”

 

“ครับ. ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา กองทัพมนุษย์จำนวนมากถูกพวกเขาจัดการไปแล้ว หลังจากได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องจากเด็กผู้หญิงที่อายุไม่เกิน 17 ปี มันคงเป็นเรื่องยากที่จะทนรับความจริงนั้น เพราะความรู้สึกเย่อหยิ่งที่มนุษย์เหล่านั้นมี ถ้าพวกเขายั่วยุมนุษย์อย่างอาจหาญเช่นนั้น แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันเสี่ยงต่อชีวิตเเละเกียรติภูมิ แต่พวกมนุษย์ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบุกเข้ามา”

 

อืม.

 

มันไม่ใช่ตรรกะไร้สาระเสียเต็มประตู

 

ปัญหาคือถ้าการยั่วยุนั้นได้ผลจริง แม้ว่าพวกมันทำให้มันออกมาเป็นเเบบไหน แต่มนุษย์ก็มีกองทัพจำนวนมหาศาลเรือนแสน กองทัพของพวกมนุษย์เป็นเหมือนดั่งกลุ่มที่ผสมกันของพวกชนชั้นเลว แต่ฝ่ายเราก็เองก็ไม่ต่างกัน แม้ว่าจะมีกองทัพกระจ้อยร่อยเเปะไปบนกองทัพดุุจเศษผ้าในกองกำลังของมนุษย์ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากองทัพของหญิงสาวจำนวน 7,000 นายคงไม่สามารถยืนหยัดสู้กับกองทัพจำนวนมหาศาลนับแสนคนที่กำลังเข้ามาใกล้ได้

 

ต้องขอบคุณเเม่งเลยที่พุ่งไปข้างหน้าแบบนั้น ค่ายทหารที่หย่อนยานของพวกเราซึ่งมีกองทัพของนางที่คอยเชื่อมต่อกันด้วยปีกซ้าย-กลางกองทัพ-ปีกขวา เเยกออกจากกัน หากเกิดช่องโหว่ขึ้นในกองทัพตรงกลางแบบนี้ คนที่แบกรับภาระก็คือพวกเรา เพราะต้องมาคอยจัดกระบวนทัพที่เหลือใหม่

 

อ๊าาา······. ไม่ช่วยไม่ได้เว้ย น่ารำคาญน่ารำคาญชิบหาย เพราะมันน่ารำคาญข้าจึงขยับมืออกคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ

 

“โอ้ย เตรียมตัวอุดรูที่ไอ้ตัวแสบทำเเตกในไปหน่อยดิ๊ เซปาร์ นำกองทหารสำรองของเราไป เเละเตรียมพร้อมย้ายไปที่ตรงกลางหากจำเป็น”

 

“ครับ ท่านเจ้าคุณ”

 

ทหารกองหนุนกว่าพันนายก็จากไปทันที ภายในปากของข้าตอนนี้มีรสขม อย่างไรก็ตาม หากการสั่งการเช่นนั้นทำให้เราสามารถป้องกันไม่ให้กองทัพตรงกลางพังทลายลงได้ มันจะดีกว่าสำหรับกำลังทหารของเราที่ลดน้อยลงเล็กน้อยลงไป

 

หลังจากสรุปการตัดสินใจแบบนั้น ข้ากำลังจะนึกแผนการทำสงครามของวันนี้ในหัว แต่จู่ๆ ก็มีบางอย่างหล่นลงมาที่คอของข้า มันเย็น. เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาหลายหยด มันตกลงมาแบบเมื่อวานนี้และวานซืนก่อนหน้านั้น ราวกับฝนต้นฤดูใบไม้ผลิกำลังอิดโรยลงมา

 

“······?”

 

เดี๊ยวก่อนสิวะ.

 

ฝน?

 

แรงจูงใจโดยใช้ฝน เรอะ?

 

 

⎯⎯⎯⎯ใจของข้าชัดเจนขึ้นทันที

 

ไม่ว่าในกรณีใด ผืนโลกที่ยังคงดูดซับความชื้นอย่างต่อเนื่องเนื่องจากฝนตกตลอดเวลา หลายพื้นที่ทั่วสนามรบถูกน้ำท่วมขัง หากฝนต้องตกลงที่นี่อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพมนุษย์หรือพวกเรา พันธมิตรจันทร์เสี้ยวก็ตาม จำนวนยุทธวิธีที่สามารถใช้ได้มันจะลดลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเป็นฝ่ายบุกและไม่ใช่ฝ่ายป้องกัน ข้าขมวดคิ้วและจ้องไปที่หน่วยของหญิงสาวคนนั้นซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง เมื่อนางเสร็จสิ้นการแปรรูปแบบการป้องกันของพวกตัวเองในแนวหน้า

 

“······อย่าบอกนะว่า”

 

ในตอนนั้นเอง เสียงแตรดังก้องกังวานจากอีกฟากหนึ่งของที่ราบ เมื่อข้าหันศีรษะไปทางเสียง กองทัพมนุษย์ก็ยกทัพโจมตีในที่สุด เพราะจากฝนที่ตกลงมา พวกมันจึงพุ่งเข้าใส่ทหารม้าที่ด้านหน้าแทนที่จะเป็นจอมเวทกลางอากาศ หลังจากเห็นเหตุการณ์นั้น อาการง่วงนอนใดๆ ที่หลงเหลืออยู่ในตัวข้าก็หายไปปลิดทิ้ง ข้าลุกขึ้นจากจุดที่อยู่เดิม

 

“อ๊าาาาา, ควยเฮอะ ไอ้เหี้ยนั่นกำลังจะทำอะไรสักอย่าง”

 

“ขออภัยครับ?”

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าจ้องมองมาที่ข้าทันที แม้ว่าจะไม่ชอบที่โดนทำแบบนี้ แม้ว่าข้าจะไม่ชอบการต่อสู้ในขณะที่ถูกชักจูงไปทที่ไหนก็ได้ โดยไม่ใช่ความตั้งใจของตัวข้าเองแต่เป็นคนอื่น แต่ถึงกระนั้นข้ากลับต้องออกคำสั่งโดยไม่คิดถึงสิ่งที่ข้าไม่ชอบออกไป

 

“เตรียมตัวออกรบได้แล้วไอ้ปัญญาอ่อน! การต่อสู้เพื่อการทำลายล้าง การต่อสู้แบบปิดล้อมแห่งการทำลายล้าง กำลังมาเเล้วตอนนี้!”

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset