Dungeon Defence – ตอนที่ 92

 

 

จอมมารแห่งความเมตตา อันดับที่ 9 ไพม่อน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7

ที่ราบบรูโน ปีกซ้ายของกองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว

 

 

“······”

 

ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย

 

ผู้หญิงคนนี้จับพัดขนนกเปียกแน่น

 

“······เป็นอีกครั้ง ที่ผู้หญิงคนนี้จะไปพบ ดันทาเลี่ยน”

 

มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

 

แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่แน่ใจว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะพูดเรื่องนี้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่สามารถหยุดสงครามนี้ได้ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดมันออกมา ในตอนแรก เนื่องจากนี่เป็นสงครามที่เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ ดันทาเลี่ยน เป็นตัวตั้ง จึงไม่แปลกใจเลยหากให้ ดันทาเลี่ยน ขึ้นมาเป็นผู้นำ เเต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีฝ่ายที่คิดต่างเพื่อเริ่มสงครามและคิดต่างเพื่อยุติสงคราม แต่คนที่ต้องรับมือกับสงครามก็คือเหล่าทหารเท่านั้น

 

ภายใต้คำสั่งของมนุษย์สาวคนนั้น เธอได้ขาดการคำนึงถึงชีวิตของทหาร มีโอกาสที่การกระทำของเธออาจเป็นวิธีการปลดเปลื้องอารมณ์ของตัวเองเพราะมันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าเราได้ไปกักขัง ดันทาเลี่ยนไว้ มีโอกาสที่มันอาจเป็นการแสดงแบบนั้นออกมา ของเด็กสาวและความเย่อหยิ่งของเธอ ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน เธอคือบุคคลที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นของทุกๆฝ่ายไม่ว่ามิตรหรือศัตรู  

 

เเละเพราะมีกองทัพเดียวอยู่ในมือของเธอ เนื่องจากเธอเป็นแม่ทัพรักษาการของ ดันทาเลี่ยน การไปพูดคุยเรื่องนี้กับเขาจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

 

“สิตรี จัดการค่ายทหารแทนผู้หญิงคนนี้คืนนี้ที”

 

“ไปคนเดียวมันจะไม่เป็นอะไรเหรอคะท่านพี่?”

 

สิตรี มองผู้หญิงคนนี้ด้วยสายตากังวล เนื่องจากเธอดูเหมือนสัตว์เลี้ยงที่พยายามปลอบเพื่อนร่วมกรงของมันเอง รอยยิ้มจึงลอยขึ้นบนริมฝีปากของผู้หญิงคนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ สิตรี สามารถแสดงรอยยิ้มได้แม้ในสถานการณ์แบบนี้

 

“ไม่เป็นไร ผู้หญิงคนนี้จะไปพบเขาและสนทนากัน”

 

“ก็ใช่เเต่ว่า… อืมม. ในการต่อสู้เมื่อกี้ บาบาร์ทอส เข้าศึกในอีกด้านหนึ่งใช่ไหม? ฉันก็เลยคิดว่าเธอคงจะอารมณ์เสียเหมือนกันในตอนนี้ แม้ว่า บาร์บาทอสจะตายไปในศึกมันก็สมควรแล้ว เเต่ถ้าไม่นางคงไม่ชอบใจเเน่ๆ จริงไหมคะ?”

 

“······”

 

“ถ้าท่านพี่ไปพบดันทาเลียนตอนนี้ จะไม่ลงเอยด้วยการเจอกับบาร์บาทอสเหรอ? ท่านพี่จะต้องไปทะเลาะกับเธออีกโดยไม่จำเป็นอีกเเน่ๆค่ะ”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งจำเป็นต้องไปคุย”

 

ผู้หญิงคนนี้พูดในขณะที่เพิ่มพลังให้กับเสียงของเธอเอง

 

“ถ้าเช่นนั้น เราผู้นี้ก็ต้องไปหาในทันที การประกาศที่เราผู้นี้พูดออกไปว่ายอมรับ ดันทาเลี่ยน เข้าสู่ฝ่าย ขุนเขา นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ผู้หญิงคนนี้ได้ประกาศอย่างเปิดเผยต่อหน้าทุกคนว่าเธอจะติดต่อประสานงานกับชายที่ บาร์บาทอส เจอมาเเละยกให้เป็นคนรักของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองครั้งก่อนเป็นข้ออ้าง แต่ว่านนะ⎯⎯⎯⎯”

 

คราวนี้มันจะต่างกันมันจะยุติธรรมและเสมอภาค  

 

ในขณะที่มองตรงไปที่ บาบาร์ทอส ผู้หญิงคนนี้จะนำบุคคลที่ผู้หญิงคนนี้เชื่อว่าจำเป็นสำหรับฝายเรารับเขาเข้ามาให้ได้อย่างแน่นอน

 

“······”

 

หลังจากเห็นผู้หญิงคนนี้มีความตั้งใจแน่วแน่ สิตรี ก็พยักหน้า เด็กคนนี้ซึ่งสนับสนุนผู้หญิงคนนี้อย่างเงียบ ๆ เสมอ ให้ความไว้วางใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จนถึงทุกวันนี้ ในน้ำเสียงของเธอและผลักดันผู้หญิงคนนี้ไปข้างหน้าได้

 

“ตกลง. เดินทางปลอดภัยนะคะพี่สาว ฉันจะดูแลสิ่งต่างๆที่นี่ให้เอง”

 

โอเค. ผู้หญิงคนนี้จะไว้ใจและปล่อยให้มันอยู่ในมือของเธอ สิตรี นายพลผู้อ่อนโยนของฉัน

 

ทิ้งเเม่ทัพที่หดหู่ใจเพราะปล่อยให้ชัยชนะหลุดลอยไปไว้เบื้องหลัง ผู้หญิงคนนี้ได้เดินจากไป แต่ละก้าวที่ผู้หญิงคนนี้เดินผ่าน มีน้ำโคลนเปื้อนรองเท้าของเธอและซึมเข้าไปในกระโปรงของเธอ ทำให้เสื้อคลุมสกปรก แต่ก็ไม่เป็นไร หากสตรีผู้นี้เชื่อว่ามีเลือดหลายหยดจากทหารที่เสียชีวิตภายใต้คำสั่งของสตรีผู้นี้ ปะปนอยู่ในแอ่งโคลนทุกสระในสนามรบในวันนี้ ความคิดที่ว่าสกปรกก็ไม่ปรากฏอยู่ในใจสตรีผู้นี้เลยแม้แต่น้อย .

 

ฝนหยุดตกอย่างช้าๆ จากท้องฟ้าซึ่งเมฆดำมืดไม่สามารถบดบังได้ทั้งหมด ลำแสงสีทองหลายลำเเสงจากดวงอาทิตย์ส่องตกกระทบพื้นโลก ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง แสงดวงหนึ่งส่องเข้าหน้าผากของซากศพที่แผ่กระจายอยู่บนพื้น ไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นศพของมนุษย์ เจ้าลูกแกะ ทหารที่ทำทุกวิถีทางเพื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อดูแสงแดดซึ่งมองไม่เห็นแม้ในขณะที่เขาเสียชีวิต กำลังจ้องมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว

 

“······”

 

ผู้หญิงคนนี้หยุดชั่วขณะและก้มตัวไปข้างหน้า เสื้อคลุมของผู้หญิงคนนี้สัมผัสพื้นโลกและเปียกโชกไปด้วยน้ำโคลน ขณะที่ลูบเปลือกตาของนายทหารนิรนาม ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเป็นหน้าที่ของเจ้านายซึ่งต้องปิดเปลือกตาที่น่ากลัวของทหารนั้นลงไป

 

แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่แน่ใจว่าเธอต้องกลายเป็นคนแปดเปื้อนเพียงใด

 

อย่างน้อยที่สุดก็เป็นไปได้ไหมที่จะตั้งปณิธานปล่อยให้ตัวเองโสมมถึงเพียงนี้?

 

ผู้หญิงคนนี้นั่งเหม่อลอยอยู่ในทุ่งที่แสงตะวันลับขอบฟ้านั้นไป

 

 

▯ราชาแห่งไพร่ อันดับ 71 ดันทาเลียน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 7

ที่ราบบรูโน กองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว คุกธรรมดา

 

 

 

 

 

ในที่สุดฝนของวันนี้ก็หยุดตกแล้วสินะ?

 

ผมหยิบยาเส้นที่ยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทออกมา เนื่องจากไม่มีเพดาน น้ำจากฝนจึงยังคงไหลเข้ามา แม้ว่าผมจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าสนุกกับการโดนฝนตกใส่เเต่ผมก็ไม่ได้บ่นอะไรเกี่ยวกับมัน แต่ความจริงที่ว่ามันทำให้ผมไม่สามารถสูบบุหรี่ได้ ก็ให้ผมเบื่อและลำบากในการสูบมัน ฝนฤดูใบไม้ผลิปีนี้นี่ช่างดื้อรั้นและยาวนานเสียจริง

 

 

เเคร๊ก ผมก่อไฟด้วยหินเหล็กไฟ เเคร๊ก เเคร๊ก······ ขณะที่มองลงไปที่ถ่านที่ลุกเป็นไฟซึ่งจุดประกายไม่นานที่คล้ายกับไฟฟ้า ผมค่อย ๆ ทบทวนการต่อสู้ที่ต้องเกิดขึ้นในวันนี้ ผมพึมพำคำที่ไม่จำเป็นในขณะที่คิดถึงการต่อสู้นั้นออกมา

 

“อา จุดไฟแบบนี้มันยากชะมัดเลย”

 

อย่าชนะอย่างเด็ดขาดและอย่าแพ้อย่างราบคาบ นั่นคือคำสั่งที่ผมให้ ฟาร์นาเซ่ หากเป็นเมื่อก่อน ฟาร์นาเซ่ คงจะไม่เข้าใจความหมายและเธอคงจะสงสัยกับคำสั่งนั้นเเน่ๆ เเต่อย่างไรก็ตาม สถานะปัจจุบันของเธอซึ่งได้รับการศึกษาจากลาพิสและตัวผมเองนั้นแตกต่างออกไป เธอควรจะสามารถเข้าใจความหมายพื้นฐานนั้นได้อย่างง่ายดาย

 

ส่วนเดียวที่ทำให้ผมหนักใจคือการกระทำของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ ผมตอบโต้การเคลื่อนไหวของเธอผ่าน ฟาร์นาเซ่ ไม่ว่าเจ้าหญิงจะทำตามเเผนให้สอดคล้องไม่ก็ตาม เเต่ถ้าเธอไม่ทำ หลายๆอย่างมันจะแตกต่างออกไปจากที่คิดไว้เเน่······ เพราะมันทำให้ทิศทางของสงครามถูกตัดสินทันที

 

“บาดัม เเทท บาดัม จะเป็นอย่างไรน้า นี่หรือนั่นดี? บาดัม เเทเเทท เเทท เผาอารามและเข่นฆ่าผู้คน – มันจะเป็นแบบนี้ดีไหมน้า ······”

 

ผมฮัมเพลงทหารที่แต่งขึ้นมาเอง

 

กล่าวโดยย่อ ผู้ที่ควบคุมสงครามครั้งนี้คือเอลิซาเบธและตัวผมเอง ไม่ใช่ใครอื่นเช่น บาร์บาทอส หรือ ไพม่อนเลย จุดประสงค์ของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นมาในวันนี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเพื่อแจ้งให้จอมมารทั้งสองทราบถึงความจริงอันเย็นชาข้อนี้

 

 

จงนั่งนิ่งๆ

ถ้าเจ้าต้องการชนะสงคราม ก็จงปล่อยให้ข้าออกจากคุกเเห่งนี้ แล้วส่งความเป็นผู้นำสงครามมาให้ข้า

หากไม่ทำเช่นนั้น สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องตายเพื่อองค์หญิงจักวรรดิเป็นเเน่

 

 

ข้อความที่ทั้งตรงไปตรงมาและชัดเจน

 

แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะอยู่ที่นั่น แต่พวกเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจสงครามนั้นได้ แม้จะถูกคุมขังอยู่ในคุกแคบๆ ที่นี่ แต่ข้าก็ยังครองสมรภูมิได้ นั่นเป็นเพราะข้ามีความสามารถมากกว่าพวกเจ้านั้นอย่างท่วมท้น ที่นี่ไม่มีความไร้เหตุผล หรือความอยุติธรรม มันเป็นเพียงความจริง

 

มีเเค่ความจริงเท่านั้น

 

“ตายแล้วเเละตายลงอีกร้อยครา·····อา”

 

ในที่สุดถ่านที่คุก็จุดยาสูบขึ้นมาได้ ผมหยุดร้องครู่หนึ่งเพื่อเป่าลมใส่ยาเส้น ถ่านที่คุอยู่นั้นริบหรี่และแทบไม่สามารถจะเริ่มเผาไหม้ใบยาสูบได้ เเต่ยังมีเเรงพอจุดให้เป็นสีแดงสดใส

 

เพราะมนุษย์มีสัตว์ประหลาดที่รู้จักกันในชื่อ เอลิซาเบธ อาทานาเซีย เอวาเทรีย ฟอน ฮับส์บวร์ก

 

เพราะคนเดียวที่จะหยุดเธอได้คือตัวผม ดันทาเลี่ยน และ ลอร่า เดอ ฟาร์นาเซ่

 

ผมจะอยู่รอดได้เพราะความสามารถของเอลิซาเบธ และในทางกลับกัน ผมมั่นใจว่าเอลิซาเบธจะมีชีวิตอยู่ได้เพราะความสามารถของผมและฟาร์นาเซ่ เอลิซาเบธกับผมเป็นนักปีนเขาคู่หนึ่งที่กำลังปีนเขาด้วยกันในขณะที่แขวนเชือกอยู่บนเส้นชีวิตของอีกคนหนึ่ง

 

“เเละในตอนนี้”

 

ทั้งบาบาร์ทอส และ ไพม่อน จะเเสดงปฏิกิริยาแบบไหนกันนะ? พวกนางจะโกรธไหม? พวกนางคงจะเดือดดาล พวกนางจะสิ้นหวังหรือเปล่า? พวกนางคงจะสิ้นหวัง ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป คุณค่าที่แท้จริงของคนๆหนึ่งได้รับการพิสูจน์เสมอหลังจากคำว่า ‘ต่อไป’ มาถึง

 

ด้วยท่าทีที่จดจ่อรอสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา ผมมองไปยังขอบฟ้าที่พ้นลูกกรงเหล็ก ยาสูบนั้นหอมหวานและทำให้จิตใจของผมมึนงง ผมร้องเพลงที่เหลือในขณะที่เป่าควันไปทางดวงอาทิตย์ที่เพิ่งตกดิน

 

“หรือถ้าเราตายแล้วก็ตายด้วยกันดีไหมน้า –·····?”

 

ผมอยู่ที่นี่ในคุกแห่งนี้

 

.

.

.

.

.

.

“เเกเห็นนั่นไหม”

 

ข้าเห็นมันเเล้วไม่ต้องสงสัยเลย”

 

เเกแน่ใจหรือว่าเห็นมันถูกต้องดี ไหนลองบอกเราทีว่าเธอดูเหมือนอะไร”

 

เธอมีผมสีดำ มันสวยงามมาก  

 

ผมสีแดงของเธอดูราวกับว่ามันถูกไฟไหม้ ช่างน่าขยะแขยง”

 

“ถ้านังนั่นมีหัวเดียว ก็จะมีผมชุดเดียว และข้าแน่ใจว่ามันจะมีขนสีเดียวเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น เธอกลับก็มีผมสองสีและผมสองชุด กล่าวอีกนัยหนึ่งเจ้านั่นมันเหมือนสุนัขตัวเมียมีสองหัว เเต่เพราะจากเราได้หัวปีศาจมาสองหัว มันคงจะดีไม่น้อยถ้ามีคนมอบตำแหน่งอันสูงส่งให้ข้าตอนนี้สักที”

 

“เธอช่างสูง! สูงส่งจริงๆ!”  

“เเต่เท่าที่ข้าเห็น มันก็เเค่นังเตี้ย”

 

 

“สิ่งหนึ่งที่แน่นอนในตอนนี้ ความจริงที่ว่านัยตาทั้งสองข้างของเเกมันมืดบอด หากเเกพิจารณาถึงความเป็นจริงที่ยากกว่าจะยอมรับได้ ข้าคงรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยข้าก็บอกถึงความจริงที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นนี้ออกไปได้

 

‘มีฝนตกลงมากเกินไป ไอ้หน้าฝนนั่น ฝนบ้าๆนี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ฝนต้นฤดูใบไม้ผลิมันจะตกลงมามากขนาดนี้เลยเหรอ? หรือว่ามันเริ่มจะแปลกๆเเล้วล่ะ? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้มาที่ๆมันทุรกันดารแบบนี้ ข้าเลยไม่รู้อะไรเลย”

 

“ถ้าฝนมันจะตกเมื่อมันตกลงมา ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก คงจะน่าอายไม่น้อยถ้าเเกชี้ไปที่ฝนที่กำลังตกและบอกให้มันหยุด มันไม่มีประโยชน์เท่ากับการชี้ไปที่ฝนที่ยังไม่ตกและสั่งให้ตกลงมาน่ะเเหละ”

 

‘คำพูดของเเกเเม่งกลวงโบ๋พอๆสมองของเเกเลยว่ะ แม้ว่าความโง่ของเเกจะไม่ใช่เรื่องใหม่กับข้าก็ตามเหอะ”

 

“ถ้างั้นเเล้ว? เเกเห็นนางหรือไม่ล่ะ?’

 

เเกจะทำอะไรถ้าเราเห็นนาง และเเกจะทำอะไรถ้าเราไม่เห็นกันล่ะ? ถ้าเราเห็นนาง เราก็จะได้อธิบายสิ่งที่เราไม่เคยเห็น และถ้าเราไม่เห็นนาง เราก็แค่อธิบายสิ่งที่เราเห็นเเต่ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่ก็ตาม นังนั่นก็ยังคงเป็นนังเลว นังบ้า และนังตัวต่อไปอยู่ดี นี่คือสิ่งที่เรากำหนดไว้เเล้ว ดังนั้นการได้พบนางหรือไม่เห็นนางจึงเป็นคำถามรองอยู่ดี”

 

“ถ้าข้าเห็นมันหรือไม่ก็ไม่สำคัญเเล้ว ถ้าเป็นไปได้ข้าไม่อยากไปเจอมัน ข้าจะตายถ้าไปเจอมัน ข้าได้ยินมาว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของหญิงสาวนั้นหยิบหัวของสหายของเราทุกคนกลับไไปด้วย”

 

“แต่ข้าได้ยินมาว่าเธอสวยจริงๆนะ”

 

“เออข้าก็ได้ยินมาว่าเสียงของนางค่อนข้างละมุนเช่นกัน”

 

“ข้ายังต้องการที่จะมีชีวิตอยู่.”

 

“แม้ว่าข้าจะตาย อย่างน้อยข้าก็อยากจะตายหลังจากได้เห็นดอกไม้ผลิบาน แม้ว่าข้าอาจจะอยากมีชีวิตอยู่มากกว่านี้ แทนที่จะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ถ้าข้าเห็นดอกไม้ผลิบาน ข้าก็แค่คิดว่ามันมากเกินไปหน่อยที่อย่างน้อยเมื่อตายไปจะไม่มีดอกไม้อยู่ข้างๆข้าเลยแม้แต่ดอกเดียว”

 

“อืมจริงด้วย. ข้ายังไม่อยากตาย”

 

“ข้าฟังเเกอยู่.”

 

“ข้าสัญญากับน้องชายของข้าว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งด้วยกันเมื่อดอกซากุระบานในปีนี้”

 

“อ้าวเเกไม่ได้บอกว่าพี่น้องของเเกตายไปเเล้วเรอะ?”

 

‘นั่นเเหละคือท่อนฮุคของมุขตลกร้ายของข้าไง’

 

‘ทำไมพวกมันถึงพยายามจะฆ่าเราอยู่เรื่อยๆเลย’

 

‘ทำไมนายพลของเราถึงส่งเราไปตายต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ชัดเจนว่าเราจะต้องตายเเน่ๆ’

 

‘นั่นเป็นเพราะทุกคนเป็นไอ้สารเลวไงล่ะ’

 

‘คำนั้นล้วนถูกต้อง ทุกคนๆล้วนเป็นตัวร้าย”

 

‘พวกเราเองก็ไม่ใช่คนนิสัยดีเหมือนกัน’

 

‘พวกมันเป็นพวกปัญญาอ่อนและพวกเราก็เป็นพวกปัญญาอ่อนเช่นกัน แต่ทำไมพวกปัญญาอ่อนที่ตายต้องเป็นพวกเราพวกเดียวด้วยวะ’

 

 

 

 

 

 

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

 

 

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset