Dungeon Defence – ตอนที่ 97

▯ราชาแห่งไพร่ อันดับ 71 ดันทาเลียน

ปฏิทินจักรวรรดิ: ปี 1506 เดือน 4 วันที่ 8

ที่ราบ บรูโน กองทัพพันธมิตรจันทร์เสี้ยว คุกธรรมดา

 

 

ทำไมผมไม่คิดให้มากกว่านี้นะ

 

สิ่งที่อยู่ในมือของ ไพม่อน ถูกส่งต่อไปยังเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งจักรวรรดิได้ง่ายดายเกินไป ผมแค่คิดว่าเป็นเพราะ ไพม่อน เป็นคนทรยศต่อ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนทรยศต่อเผ่าพันธุ์ จะเป็นอย่างไรหากเปลี่ยนวิธีคิดแล้วหันกลับมามองใหม่ล่ะ

 

หาก ไพม่อน จัดตั้งอาณาจักรในทวีปมนุษย์ด้วยตัวเธอเอง ถ้าเธอไม่ได้เป็นเพียงฝ่ายปีศาจหรือฝ่ายมนุษย์เลย เธอเพียงแค่เคลื่อนไหวไปตามฝ่ายที่เป็นประโยชน์ต่อเธอเองมากที่สุด

 

“······”

 

ไพม่อน มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบริษัท คึนคัสก้า บริษัทที่เป็นสมาคมการค้าขนาดใหญ่ที่ไม่เลือกปฏิบัติระหว่างเผ่าพันธ์และขยายขอบเขตการค้าไปยังสถานที่ต่างๆทั่วทวีป นอกจากนั้น พวกเขามีกฎเหล็กที่ผู้บริหารของบริษัทถูกเลือกจากทักษะของตัวเองเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงชนชั้นและสถานะของตัวเอง

 

⎯⎯⎯⎯จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบริษัทสมรู้ร่วมคิดกับสาธารณรัฐโดยบังเอิญกันล่ะ?

 

อันดับ 9 ไพม่อน คนที่รักมนุษย์มากกว่าใครๆ และลงเอยด้วยการทรยศเผ่าพันธุ์ของเธอเอง ในไทม์ไลน์เดิม เธอเป็นผู้หญิงที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นโสเภณีที่แปลกประหลาดและเป็นคนทรยศที่ไม่ธรรมดาในแบบของตัวเธอเอง นั่นคือภาพจำทั่วไปที่ผมมีต่อ ไพม่อน จนถึงปัจจุบัน เเต่ข้อมูลความจริงที่ว่า ไพม่อน มีส่วนร่วมในการก่อตั้งสาธารณรัฐบาตาเวีย ไม่มีให้เห็นใน 〈Dungeon Attack〉 ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน······!

 

ไม่สิ ใจเย็นๆ คงท่าทีไว้. แม้ว่าจะมีตัวแปรขนาดใหญ่มากเกินไปปรากฏขึ้นในเส้นทางของการทำความเข้าใจสถานการณ์ของทวีปต่อจากนี้ไป แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมยังคงสามารถรับมือได้ ตอนนี้มาทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างใจเย็นกันใหม่

 

“······ผู้นำแห่งสาธารณรัฐบาตาเวียเรอะ? เธอพูดถึงอะไรอยู่กันเเน่?”

 

“โอ้ที่รัก ดูเหมือนว่านายจะแสดงสีหน้าน่ากลัวออกมานิดหน่อยนะ”

 

 

ไพม่อน ซ่อนปากของเธอไว้ข้างหลังพัดของตัวเองและหัวเราะคิกคัก ราวกับว่ามีโน้ตเพลงสดชื่นติดอยู่ที่ท้ายประโยคของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะปลื้มปิติพอตัว ไม่สิ ผมแน่ใจว่าเธอกำลังเป็นปลื้มอยู่เเน่ๆ เพราะเธอผงกศีรษะไปทางด้านข้างและฮัมเพลงไปด้วย

 

“อา ผู้หญิงคนนี้พูดมันออกมาเเล้ว ผู้หญิงคนนี้พูดปิดท้ายไปเเล้ว มันเป็นสิ่งที่ห้ามบอกใครโดยเด็ดขาดเลยนะ ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา หากนายถามผู้หญิงคนนี้ว่า ‘เธอมีวิธีการจะทำแบบไหน’ ด้วยวิธีการที่เร้าใจเช่นนั้น ผู้หญิงคนนี้เลยตื่นเต้นจนทนไว้ไม่ไหว”  

ผู้แปล: eng ใช้คำว่า (heated) ซึ่งมันแปลว่า ตื่นเต้น หัวร้อน หรือ เงี่ยน ด้วยก็ได้  

 

เมื่อกี้มันอะไรกัน?

 

“อา. ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ตำหนินายหรอกนะ ดันทาเลี่ยน ผู้หญิงคนนี้แค่พูดในแบบที่เธออยากจะพูด เพียงแค่นั้นเอง แม้เพียงชั่วครู่ก็ยังดี ผู้หญิงคนนี้ปรารถนาที่จะเห็นใบหน้าที่โชคร้ายของนายแปรเปลี่ยนเป็นหน้าน่ากลัวแบบนั้น!”

 

ไพม่อนยิ้มกว้าง

 

เป็นรอยยิ้มพิมใจสดใสไม่มีแรงจูงใจแอบแฝงแม้แต่น้อย

 

“······”

 

ผมตกลงไปในหมอกควัน ความจริงใจของเธอไปไกลแค่ไหนและการโกหกของเธอเริ่มต้นตรงไหนกัน? ไม่สามารถอ่านความตั้งใจของเธอได้เพราะรอยยิ้มไร้เดียงสาเเละเสแสร้งของเธอเลย ไม่มีโอกาสเลยที่ทุกคำพูดของเธอที่เธอพูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่จริงใจ ให้ตายเถอะ นั่นเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับนักการเมือง เนื่องจาก ไพม่อน แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่ผมเคยพบมาผมจึงขมวดคิ้ว

 

“อืม ไม่เป็นไรหรอกน่า โดยปกติแล้ว เมื่อไรก็ตามที่ผู้หญิงคนนี้ทำตามอารมณ์ของเธอ ผลที่ได้ก็จะจบลงด้วยดีอย่างน่าประหลาด พระเจ้าทรงโปรดชื่นชอบผู้หญิงคนนี้นะ จงดูเถิด ผู้หญิงคนนี้ยังสามารถเห็นใบหน้าที่งุนงงของนายได้อีกด้วย ดันทาเลี่ยนเอ๋ย ช่างเป็นกำไรจริงๆ”

 

โอ้ โฮะ โฮะ

 

ไพม่อน กางพัดหัวเราะเยาะอย่างหยาบคาย มีคนกล่าวไว้ว่าการหัวเราะมีลักษณะที่เลวทรามมากขึ้นเท่าไหร่มันก็ยื่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้น และนี่ก็เป็นกรณีเดียวกับแบบนั้นด้วย ขณะที่ผมกำลังฟัง ไพม่อน หัวเราะอยู่

 

ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เเล้ว

 

ไม่เหมือนลาพิสอย่างสิ้นเชิง ตรงกันข้ามกับบาร์บาทอสอย่างสิ้นเชิง และแตกต่างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฟาร์นาเซ่⎯⎯⎯⎯ ผู้หญิงคนนี้ต่อหน้าผมก็เป็นคนบ้าคลั่งที่น่าเกรงขามเช่นกัน นอกจากนี้เธออาจจะวิปลาสโดยธรรมชาติอีกด้วย เป็นคนบ้าคลั่งประเภทที่ผมยังไม่เคยเจอหรือสัมผัสมาก่อน

 

“อะเเฮ่ม .. แม้ว่าผู้หญิงคนนี้อยากจะสนุกกับช่วงเวลานี้อีกหน่อย เเต่เราควรไปที่หัวข้อหลักกันเลยไหม? แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะถูกเรียกว่าราชินีแห่ง เเมร์ แต่ก็ยังมีอุปสรรคเกินจินตนาการขวางกั้นไว้อยู่ ก่อนหน้านี้นายบอกเป็นนัยอย่างอ้อมๆ ว่ารีบๆเข้าเรื่องๆเเล้วรีบไปเสีย แต่จุดนี้ที่ผู้หญิงคนนี้จะบอกคือขอให้นายรีบๆพูดได้เเล้ว เวทมนตร์ของผู้หญิงคนนี้กำลังหมดลงเรื่อยๆตามเวลา”

 

ไพม่อนยิ้มทั้งน้ำตา ดวงตาของเธอเหยียดแคบเหมือนแมว

 

“······หรือเราควรแยกจากกันในภายหลังแล้วค่อยมาคุยกันต่อดี? นายคงเหนื่อยมากหลังจากสนทนาอย่างดุเดือดกับ บาร์บาทอส, ดันทาเลี่ยน ไม่เป็นไรนะถ้าผู้หญิงคนนี้แสดงความห่วงใยนายด้วยรู้ไหม”

 

ผู้หญิงคนนี้······ ถ้าเธอคิดว่าเธอเหนือกว่าเเน่ๆ เธอก็คือคนประเภทที่ยั่วยุฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ลังเลโดยใช้ความสูงส่งนั้น!

 

เธอหมายถึงอะไรที่ว่า ‘เราต้องประณามผู้มีอำนาจ’!? เธอเองก็มีความสุขในการเพลิดเพลินกับการเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดเหรอ!? นี่คือเหตุผลที่ตอนนี้ผมดูหมิ่นเธอที่กำลังทำตัวเป็นพวกคนเสเเสร้ง!

 

 

What did she mean by ‘we must denounce the people in power’!? Are you not reveling in the enjoyment of authority the most!? This was why I despised hypocrites!

 

“ก็ได้. ผู้หญิงคนนี้เข้าใจดี ดังนั้นโปรดหยุดมองผู้หญิงคนนี้ราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงบ้าๆเสีย อืม งั้นผู้หญิงคนนี้ควรพูดถึงอะไรก่อนดี? ใช่สิ การจัดตั้งสาธารณรัฐไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มีการลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน”

 

ไพม่อน โบกพัดในมือ

 

“อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้ทำสำเร็จ”

 

ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนเป็นหมู่บ้าน มันเป็นหมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบซึ่งตั้งอยู่ข้างมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แม้แต่ในสถานที่ที่มีเรือโกโรโกโสหลายลำจอดอยู่บนที่ราบโคลน มันก็ส่งกลิ่นที่บอกให้ผู้คนรู้ว่ามันมีคนอาศัยอยู่ เมื่อ ไพม่อน ลากเส้นเฉียงลงพร้อมกับพัดของเธอ เวลาก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

 

ประชาชนรวมตัวกันสร้างท่าเทียบเรือและพัฒนาท่าเทียบเรือเป็นท่าเรือ เมื่อความสูงของอาคารสูงขึ้นตามการเร่งเวลา เชิงเทิน(กำเเพง)สีขาวบริสุทธิ์ก็ก่อตัวขึ้นและพันรอบเมืองทั้งเมืองเหมือนงูขาว ทางน้ำไหลผ่านพื้นที่ต่าง ๆ ของเมือง ทำให้เป็นเมืองแห่งน้ำที่สวยงาม

 

มีอาราม 12 แห่งกระจุกตัวอยู่ในใจกลางเมือง ทุก ๆ ชั่วโมงเสียงระฆังจากอารามใดที่หนึ่งจะดังขึ้น ผู้คนไม่ต้องแม้แต่เงยหน้ามองฟ้าก็สามารถแยกแยะเวลาของวันได้จากเสียงของ ระฆัง. เสียงระฆังดังกังวาลไม่รู้จบและดังไปไกลถึงมหาสมุทรสีครามอันไกลโพ้น

 

“ต้องใช้เวลาถึง 150 ปีในการสร้างเมืองหลวงของสาธารณรัฐบาตาเวีย อัมสเทล”

 

ไพม่อนมองไปยังท้องทะเล สายตาของ ไพมม่อน อ่อนโยนราวกับว่าเธอกำลังเฝ้าดูเด็กๆที่น่ารัก

 

“เรารวบรวมความมั่งคั่ง ข้อมูล และอำนาจทางทหารที่เราสะสมในช่วงเวลานั้น และเริ่มทำสงครามเพื่ออิสรภาพ ซึ่งใช้เวลาถึง 50 ปี ด้วยข้ออ้างในการสืบทอดแนวคิดของสาธารณรัฐเก่า เราจึงเริ่มสงครามที่ยืดเยื้อ ซึ่งใช้เวลาอีก 50 ปี สุดท้าย ด้วยเหตุผลในการยอมรับเผ่าพันธุ์อื่นๆในฐานะพลเมืองอย่างเป็นทางการ เราจึงเริ่มทำสงครามเพื่อปลดปล่อยประเทศ ผู้หญิงคนนี้ใช้การเดินทางของ พันธมิตรจัทร์เสี้ยวครั้งที่ 7 ที่นี่อย่างชำนาญ ในที่สุด หลังจากพิจารณาทุกอย่าง เอกราช การขยายตัว และการปลดปล่อย ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ในที่สุดประเทศเราก็ได้รับการยอมรับ”

 

ไพม่อน กางแขนออกอย่างเงียบๆ ต่อหน้าต่อตาเธอ เรือสี่สิบลำลอยอยู่เหนือคลื่นทะเลและเคลื่อนไปข้างหน้า

 

“ เป็น 150 ปีที่ดี เป็นเวลาเท่ากับการก่อตั้งสันนิบาตพ่อค้า สาธารณรัฐบาตาเวีย ซึ่งประกอบด้วย 13 เมือง”

 

“······”

 

ไพม่อนจ้องมองทิวทัศน์ที่เธอสร้างขึ้นอย่างเงียบงันเนิ่นนาน ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองตามด้วยความเงียบของ ไพม่อน ด้วยตัวผมเอง แม้ว่าผมจะประสบพบกับสิ่งต่างๆ มากมายมาตลอดชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้พบกับบุคคลที่โดดเด่นซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งประเทศขึ้นมา

 

ประเทศนี้ก็ไม่ใช่ประเทศธรรมดาเช่นกัน ภายในศูนย์กลางของยุคกลางที่กษัตริย์และพวกบารอนยังคงมีอิทธิพลอย่างล้นหลาม เธอได้ยึดประเทศก่อตั้งสาธารณรัฐเพียงประเทศเดียวไว้บนแผนที่ หลังจากเผชิญกับความสำเร็จนี้ ผมจึงขยับลิ้นได้ไม่ทั่วปาก······

 

“ก่อนหน้านี้ นายตอบคำถามผู้หญิงคนนี้ว่าสังคมที่สมบูรณ์แบบมันเป็นไปได้ไหม”

 

เธอส่งเสียง ‘อูฟู่ฟุ’ ไพม่อน หัวเราะและเกาแก้มของเธอ

 

“ไม่. มันเป็นไปไม่ได้.”

 

“······”

 

“แม้ว่ามนุษย์และปีศาจจะได้รับการยอมรับในฐานะพลเมืองเท่าเทียมกันในสาธารณรัฐบาตาเวีย แต่ก็ยังมีการดูถูกเหยียดหยามและเลือกปฏิบัติที่นั่นอยู่ ถึงอย่างนั้น ในสายตาของผู้หญิงคนนี้······ มันก็ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อ 200 ปีที่แล้ว เป็นช่วงเวลาเพียงฝ่ามือเดียว แต่บางทีนักการเมืองที่เป็นเหมือนผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อมือนั้นชั่วพริบตาหรือ”

 

“Even if humans and demons are equally accepted as citizens in the Republic of Batavia, there is still contempt and discrimination there. Despite that, in this lady’s eyes······ it is a bit better compared to 200 years ago. It may be by a handspan. But perhaps, are the politicians, who are like this lady, not living for that handspan?”

 

เธอพูดด้วยใบหน้าที่สงบเสงี่ยมและบริสุทธิ์

 

“ผู้หญิงคนนี้พูดได้เช่นนี้เพราะนางมีอายุได้ 500 ปีแล้ว แม้ว่าเวลาจะเดินช้าเกินไป บางครั้งเวลามันก็หลอกตาเรา และบางครั้งก็ปลอมแปลงให้ดูเหมือนว่าเวลามันไม่ได้ไหลผ่านไป เเต่แม้ตอนนี้เวลายังคงเดินต่อไปทีละนาทีและวินาทีที่แม้แต่เข็มนาฬิกาก็ไม่สามารถย้อนกลับได้ บางคนอ้างถึงสิ่งนั้นว่าเป็นการผันผ่านของประวัติศาสตร์ ผู้เชื่อมักจะอ้างถึงสิ่งนั้นว่าเป็นโชคชะตาที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ล่วงหน้า”

 

“This lady is able to say this since she has lived for 500 years now. Although time is excessively slow, so it sometimes deceives our eyes and occasionally disguises itself to appear as if it were not flowing, even now time continues to move by minutes and seconds that even a handspan cannot erase. Some people refer to that as the flow of history. Believers will most likely refer to that as a destiny which the Gods have predetermined.”

 

 

ไพม่อนส่ายหน้า

 

“อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้จะบอกว่ามันเป็นเพียงการเติมเต็มความฝันของเราคนเดียว  เพราะชีวิตที่โหดร้ายและน่าสมเพชจะทำให้เราผิดหวังอยู่เสมอ ดังนั้น วันที่ทั้งนายและผู้หญิงคนนี้อาจมาถึง มนุษยชาติและเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดถูกปฏิบัติดั่งคนไรค่า ผู้หญิงคนนี้จะไม่ขอให้นายเอาชนะสิ่งนั้นและจะไม่ขอให้นายเปี่ยมล้นด้วยความหวังและก้าวข้ามทุกอุปสรรค เเต่มันก็แค่นั้น⎯⎯⎯⎯”

 

“However, this lady refers to that as simply the fulfillment of one’s dreams. Because life is cruel and abject, it will always disappoint us. Thus, the day may come where both you and this lady fall and all of humanity and demonkind become lowly. This lady will not request of you to overcome that nor will she ask you to be overflowing with hope and leap over every obstacle. Just that⎯⎯⎯⎯.”

 

 

 

ไพม่อนยื่นมือออกมา

 

“จนกว่าจะถึงวันนั้น จะไม่มาอยู่กับนางผู้นี้หน่อยหรือ?”

 

ผมก้มลงมองนิ้วเรียวๆของเธอ

 

แมร์ เผ่าพันธุ์ที่สามารถควบคุมความฝันของใครก็ได้ตามที่ต้องการ

 

ขณะที่หยอกล้อและสร้างความพอใจให้กับผู้คนด้วยความสุขทุกประเภท เเมร์เองก็ปรารถนาในความสุขชั่วนิรันดร์ในความฝันเหล่านั้นควบคู่ไปกับคนที่พวกมันอยู่ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้ที่เดินเข้ามาหาผม ปฏิเสธที่จะอยู่กับแค่ความฝันและกำลังบุกเบิกความเป็นจริงด้วยตัวเอง เพื่อทำให้ความจริงกลายเป็นความฝันเดียวและโอบกอดมันไว้

 

ผมผงกศีรษะ ไม่มีบุคคลอื่นใดที่สมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นราชินีแห่ง เเมร์ มากกว่าผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าผมมอีกเเล้ว

 

“ไม่เป็นไร แต่ผมยังมีอยู่อีกหนึ่งคำถาม”

 

มีสิ่งสุดท้ายที่ยังคงอยู่ในหัวของผมซึ่งยังชั่งน้ำหนักอยู่ในใจอยู่

 

ในประวัติดั้งเดิม ไพม่อน ได้ทรยศต่อเผ่าปีศาจ เธอได้หลงรักผู้กล้าในเกม เมื่อเทียบกับบุคลิกที่ ไพม่อน แสดงให้ผมเห็นในตอนนี้และรูปลักษณ์ที่เธอแสดงในขณะที่อยู่บนเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งเธอถูกกำหนดให้เป็นไปตามในเกมแล้ว บุคลิกทั้งสองมันต่างกันมากเกินไป เธอลงเอยกลางเป็นแบบนั้นได้อย่างไรกันน่ะ? ผมอยากรู้อยากเห็นจนไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป

 

“ได้สิ. นายสามารถถามผู้หญิงคนนี้อะไรก็ได้”

 

“มันจะฟังดูเป็นคำถามแปลกๆนะ ไพม่อนคงจะไม่เข้าใจเหตุผลที่ผมถามแบบนี้ เเต่มันเป็นคำถามที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับผม ผมจะขอบคุณถ้าเธอตอบกลับผมด้วยความจริงใจ ถ้าเป็นไปได้”

 

“นั่นเป็นคำที่ค่อนข้างแปลก”

 

ไพม่อนเบิกตากว้าง

 

“เมื่อสตรีผู้นี้คิดถึงเรื่องเกี่ยวกับนาย เซอร์ดันทาเลียนก็ห่างไกลจากความปกติอยู่เสมอ นายกลายเป็นผู้ชายของบาร์บาทอส······ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ควรจะพูดก็ตาม อืม เด็กมนุษย์ที่นายแต่งตั้งให้เป็นเเม่ทัพรักษาการ ดูเหมือนจะมีข้อบกพร่องร้ายแรงเช่นกัน ภายนอกเธอดูเหมือนปกติ แต่ภายในมีข้อผิดพลาดอยู่ด้วยใช่ไหมล่ะ?”

 

ผมทำเป็นเมินไม่สนใจการว่าร้ายนั้น

 

“ยกตัวอย่าง สมมุติว่ามีมนุษย์ที่ทรงพลังอย่างล้นพ้นปรากฏตัว”

 

“หืม.. ทรงพลังแค่ไหน?”

 

“บุคคลนั้นมีพลังมหาศาล แข็งแกร่งกว่าเราร้อยเท่าพันเท่า มีเพียงซากศพของปีศาจเท่านั้นที่จะกองอยู่บนทางเดินของมนุษย์ผู้นั้น แม้แต่เจ้าแห่งปีศาจแห่งนิรันดร์ บาอัล ก็ไม่สามารถเอาชนะคนผู้นั้นได้ด้วยตัวเขาเอง”

 

“โอ้ ที่รัก” (Oh dear)

 

ไพม่อนแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผมได้ร้องขอล่วงหน้าให้เธอตอบกลับผมอย่างจริงใจ เธอจึงไม่ได้แสดงความคิดเห็นที่ไม่จำเป็นใดๆ พูดแบบเป็นกลางๆเลย ยุคนี้ยังไม่มีผู่กล้าโผล่ออกมา เห็นได้ชัดว่ามันยากสำหรับเธอที่จะเข้าใจการคาดเดาของผมในตอนนี้

 

“ทีละครั้งๆ มนุษย์คนนั้นเผชิญหน้ากับเราอย่างมีชั้นเชิง ดังนั้นมนุษย์จึงกดขี่ข่มเหงพวกเราทีละอย่างๆ หากสิ่งต่าง ๆ ยังคงดำเนินไปเช่นนั้น จอมมาร คนสุดท้ายจะตายทุกคนก็จะจบลงด้วยการพ่ายแพ้ในสนามรบ หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น ท่านไพม่อน จะทำอย่างไร”

 

“······”

 

ไพม่อนเอียงศีรษะ

 

“จอมมารจะไม่สามารถร่วมมือกันเเละโจมตีไปที่ ‘มนุษย์คนนั้น’ ด้วยกันได้ไหมล่ะ?”

 

 

“น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้ บุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้นำกองทัพ มันจะเข้ามายุ่งกับเราในขณะที่เป็นผู้นำทีมเล็ก ๆ ที่ประกอบด้วยเขาคนเดียวหรือพรรคพวกไม่เกิน 10 คน”

 

“อืม. กล่าวอีกนัยหนึ่ง ด้วยจำนวนคนเพียง 10 คน พวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะจอมมารพวกเราทีละคน นายกำลังบอกให้ผู้หญิงคนนี้จินตนาการถึงกลุ่มคนที่ไร้สาระเช่นนั้นใช่ไหม”

 

ผมผงกศีรษะ ปาร์ตี้ของผู้กล้าประมาณ 10 คน จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไพม่อน ก็ตอบกลับมา

 

“แล้วการทำลายล้างพวกเขาทางการเมืองล่ะ?”

 

“มหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสังคมมนุษย์ให้ความไว้วางใจอย่างเต็มที่ต่อมนุษย์คนนั้นและสนับสนุนพวกเขาด้วย พวกเขาเป็นมนุษย์ที่มีการสนับสนุนทางการเมืองอย่างมั่นคง”

 

เอลิซาเบธ ฟอน ฮับสบวร์ก ผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการเลือกผู้กล้า ซึ่งผู้กล้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าชาวบ้านจากหมู่บ้านที่รกร้างว่างเปล่า และยกให้เขาเป็นบุคคลสำคัญแห่งมนุษยชาติ มันเหมือนกับที่ผมตั้งให้ ฟาร์นาเซ่ เป็นหุ่นเชิดของ พันธมิตรจันทร์เสี้ยว

 

“อืม.. สังคมมนุษย์อาจรวมกันเป็นชาติเดียวเเล้วสินะ?”

 

“ไม่ยังไม่เป็นอย่างนั้น คิดว่าโชคดีหรือโชคร้ายล่ะ”

 

เหตุผลก็คือ วันที่เอลิซาเบธรวมทวีปทั้งทวีปเข้าด้วยกันคือหลังจากการกำจัดจอมมารทุกคน

 

“ในสถานการณ์ที่นายคาดเดาไว้ ดันทาเลี่ยน ประเทศใดที่ปกครองโดยกษัตริย์ซึ่งนายบอกว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นผู้นำนั้นน่ะ? คือจักรวรรดิฮับส์บวร์กใช่ไหม? หรืออนาโตเลีย? แน่นอนว่าจะไม่ใช่ฟรานเซียเเน่ๆ”

 

“ใช่ เป็นฮับส์บวร์ก”

 

“หากเป็นเช่นนั้น นางผู้นี้มองเห็นหนทางอยู่”

 

ไพม่อนยักไหล่

 

“ผู้หญิงคนนี้จะแบ่งมนุษยชาติออกเป็นสองฝ่าย”

 

“······”

 

“แม้ว่าจักรวรรดิฮับส์บวร์กจะยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาก็ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของทวีป เท่าที่เป็นเช่นนั้น มันเป็นประเทศที่ประเทศรอบ ๆ ระวังมากเช่นกัน ผู้หญิงคนนี้จะควบคุมประเทศโดยรอบอย่างเหมาะสมและยุยงให้เป็นศัตรูกับราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ถูกต้อง ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้ เธอจะยุยงจักรวรรดิฟรานเซียและอาณาจักรบริตตานี นั่นเป็นสถานที่ที่ผู้หญิงคนนี้วางสายลับไว้มากที่สุดอยู่”

 

ผมเงียบ

 

เมื่อคำพูดเงียบลง ความคิดของผมก็เงียบตามไปด้วย

 

ในประวัติศาสตร์ดั้งเดิม ผู้กล้าและ ฟาร์นาเซ่ เป็นศัตรูกัน ในฐานะผู้กล้าที่เป็นตัวแทนของจักรวรรดิฮับส์บวร์ก ฟาร์นาเซได้ทำหน้าที่แทนอาณาจักรบริตตานี

 

อา

 

กว่าจะรู้ตัว ไพม่อน ก็พูดต่อ

 

“มันจะอันตรายหากฮับส์บวร์กเติบโตแบบนี้ต่อไป ทุกคนต้องร่วมมืออย่างแข็งขันเพื่อให้ฮับส์บวร์กอยู่ในโอวาท โยนเหยื่อออกไปล่อเพื่อให้สักประเทศงับ และทำทุกอย่างที่ผู้หญิงคนนี้ทำได้เพื่อล่อลวงหนึ่งในสองประเทศ หากทั้งสองฝ่ายติดกับ นั่นจะกลายเป็นสถานการณ์ตัวอย่างที่ดีที่สุด ผู้หญิงคนนี้จะก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างมนุษย์ เมื่อสังคมมนุษย์ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย นั่นคือโอกาส ผู้หญิงคนนี้จะจัดการกับสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ที่ทรงพลังในขณะนั้น”

 

เป็นแบบนี้นี่เอง?

 

“เป็นอย่างไรบ้าง เซอร์ดันทาเลียน”

 

ไพม่อน.

 

“ถ้ามันยังเยอะขนาดนี้เเล้ว ยังไม่พอกำจัดพวกมันอีกเหรอ?”

 

มีเเค่เธอ?

 

ในขณะที่จอมมารคนอื่นๆ ถูกองค์หญิงและผู้กล้าจัดการไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ในอนาคตที่จบลงแบบนั้น เธอกลับเป็นคนที่วางแผนการแบ่งแยกมนุษยชาติ ผู้ร้ายที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง ไม่มีใครเลย นอกจาก⎯⎯⎯⎯เธอ?

 

“······”

 

ผมบีบหน้าผากตัวเอง ความคิดของผมถูกจัดระเบียบทันที แผนการที่ผมทำไว้เพื่อพิชิตทวีปจากจุดนี้ได้เปลี่ยนไปเเล้ว เครื่องหมาย X ที่ผมวาดไว้บนชื่อ ไพม่อน ในแผนที่ที่วาดไว้ในหัวหายไปทันที มันจะเป็นการเสียเปล่ามากเกินไปหากผมทำตัวเป็นศัตรูหรือพยายามกวาดล้างเธอคนนี้

 

ยกเว้นเสียเเต่ มีความกระหายที่ยังไม่ได้ดับในตัวผมอยู่ ถ้าเธอเติมเต็มผมในเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขุนเขาหรือฝ่ายอื่นๆผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะตอบ ตกลง

 

“แน่นอนว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามมันยังขาดอยู่ แม้แต่วิธีการนั้นก็ล้มเหลว เนื่องจากกษัตริย์ผู้ปกครองจักรวรรดิฮับส์บวร์กเป็นผู้บงการที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง พวกเขาสามารถทำลายทั้งจักรวรรดิฟรานเซียและอาณาจักรบริดตานีได้ในเวลาเดียวกัน ภายในระยะเวลาอันสั้นอย่างไม่น่าเชื่อ ณ ที่นั้น ตอนนี้คงเป็นเรื่องยากมากที่จะแยกสังคมมนุษย์ออกจากกัน”

 

“······ดันทาเลียน”

 

ไพม่อนเหลียวมาทางผมเหมือนกำลังตักเตือน

 

“กษัตริย์เช่นนั้นจะมีอยู่ได้อย่างไร? แม้แต่การคาดเดาว่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งกว่า เซอร์บาอัล ปรากฏตัวก็เป็นคำพูดที่บ้าบิ่นซึ่งยากที่จะเข้าใจเเล้ว แต่ยังมีราชาที่ทรงพลังพอที่จะรวมทวีปทั้งทวีปเข้าด้วยกันภายในการกระทำเดียวด้วยอีก ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้จะบ่นเป็นพิเศษหรอกนะ แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกจริงไหม”

 

“ถูกต้อง. โปรดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยยึดเอาความเป็นไปไม่ได้นั้นเป็นหลัก”

 

“อืม.. อืม. อืม······”

 

ไพม่อน กัดลงไปที่ปลายพัดของเธอด้วยฟัน ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นนิสัยดั้งเดิมของเธอ หากเธอแสดงนิสัยแบบนั้น ความคิดภายในของเธอจะถูกฝ่ายตรงข้ามอ่านได้ ทำให้มันกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีอย่างน่าใจหาย บางครั้งเธอดูไม่ค่อยมีประสบการณ์จนทำให้ผมอ่านความตั้งใจของเธอได้ยาก แต่ในเวลานี้ เธอไม่ทำตัวดูไม่โตเหมือนเด็กๆ ไปหน่อยหรือ? ผมไม่สามารถเข้าใจผู้หญิงคนนี้ได้อย่างเเท้จริงเสียที

 

ผมสงสัยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ไพม่อนหัวเราะอย่างหัวเสีย

 

“แล้วผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรได้อีก? ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้หญิงคนนี้จะขายร่างกายของเธอเอง”

 

“······”

 

“ไม่สำคัญว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นชายหรือหญิง อะแฮ่ม แม้ผู้หญิงคนนี้จะปรากฏตัวอย่างไร เเต่ผู้หญิงคนนี้คือราชินีแห่งเเมร์ ถ้าเป็นเพียงมนุษย์จิตใจอ่อนแอ ผู้หญิงคนนี้มั่นใจว่าเธอจะสามารถกุมใจพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ผู้หญิงคนนี้จะเข้าหามนุษย์คนนั้นโดยแสร้งทำเป็นช่วยเหลือพวกเขาให้มากที่สุด ผู้หญิงคนนี้จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้!”

 

แบบนี้สิ.

 

“ อ่า แบบนี้ก็ไม่ได้ด้วยเหรอ? ฮาา. ผู้หญิงคนนี้คงต้องยอมแพ้ มันคือความพ่ายแพ้ของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถคิดไอเดียที่มีเหตุผลมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ไม่สิ ในตอนแรก เซอร์ดันทาเลี่ยน เป็นคนที่สร้างเงื่อนไขไร้สาระมากเกินไปนี่นา ไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงคนนี้เสียหน่อย แม้ว่านายจะต้องถามคำถามนี้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ พวกเขาทั้งหมดก็คงจะยกธงขาว······”

 

ทุกคำถามของผมได้รับคำตอบแล้ว

 

 

⎯⎯ นี่เป็นครั้งแรกของผู้หญิงคนนี้ที่ได้พบกับผู้ชายเช่นคุณ

 

⎯⎯ ผู้หญิงคนนี้จะมอบสิทธิ์ให้คุณในการขโมยริมฝีปากของผู้หญิงคนนี้ไป คุณทำเช่นนั้นได้คุณผู้กล้าผู้มีสิทธิในตนเอง

 

Ο

 

สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นการเเสร้งกระทำ

 

มันเป็นการต่อสู้ที่สิ้นหวังเพื่อเกลี้ยกล่อมภัยพิบัติที่รู้จักกันในชื่อผู้กล้า

 

Ο

 

⎯⎯ ใช่ ผู้หญิงคนนี้เป็นจอมมาร ผู้หญิงคนนี้หลอกคุณ ผู้กล้า อย่างไรก็ตามนั่นเป็นปัญหาจริงๆหรือไม่ล่ะ? ผู้หญิงคนนี้รักคุณ ก้าวข้ามความโปรดปรานและความอาฆาตแค้นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธ์หรือสถานะ ศัตรูหรือพันธมิตร ผู้หญิงคนนี้รักคุณอย่างแท้จริง ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผู้หญิงคนนี้สบตาคุณและตลอดไป

 

⎯⎯ ······ปีศาจและมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกัน ผู้หญิงคนนี้เริ่มฝันถึงความเป็นไปได้นั้นหลังจากพบคุณ อย่างไรก็ตาม มันก็ช่วยไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? เนื่องจากความฝันนั้นคล้ายกับกลีบดอกไม้ที่ปลิวไสว ผู้หญิงคนนี้จึงโทษคุณไม่ได้หรอก

 

มันเป็นกลลวงทั้งหมด

 

Ο

 

⎯⎯ มนุษย์ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ คุณรู้หรือไม่ว่ามีประเทศที่เรียกว่าประเทศสาธารณรัฐอยู่ที่ไหนสักแห่งในทวีปนี้ สตรีผู้นี้ได้ยินว่ามนุษย์ เเฟรี่ และคนแคระล้วนอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคกันโดยไม่กีดกันหรือเลือกปฏิบัติใดๆ ทั้งสิ้น วันที่แม้แต่มนุษย์และปีศาจก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนเช่นนั้นก็มาถึงในสักวันหนึ่ง ใช่ ผู้หญิงคนนี้ไม่สงสัยเลย

 

⎯⎯ นี่คือร่างกายที่กำลังจะตาย คุณช่วยมอบจูบสุดท้ายให้ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เลยหรือ

 

Ο

 

ไพม่อน.

 

แม้แต่ตอนที่เธอหายใจเฮือกสุดท้าย เธอก็ยังวิงวอนขอความรักจากศัตรูของเธอ ในจังหวะที่เงามัจจุราชปกคลุมใบหน้าของเธอ สิ่งสุดท้ายที่ ไพม่อน รู้สึกได้คือริมฝีปากของผู้กล้า ในท้ายที่สุด ความตายของเธอคือลมหายใจและจุมพิตของศัตรู การที่จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของใครสักคน มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน อารมณ์ใดกันนะที่ผุดขึ้นในใจของ ไพม่อน ขณะที่เธอขอจุมพิษนั้น

 

ความรัก ความเสน่หา การสารภาพของเธอ แก้มแดงที่ดูเหมือนเขินอาย การเคลื่อนไหวศีรษะของเธอขณะที่เธอส่ายหัว ประโยคนับร้อยที่เธอพูด และท่าทางร่างกายนับพันที่เธอทำ สิ่งที่เกิดขึ้นเธอคิดผ่าน หัวของราชินีแห่ง เเมร์ ในขณะที่เธอแสดงทั้งหมดนี้ด้วยตัวเธอเอง? เธอต้องยอมรับพิษชนิดใดกันเพื่อจะแสดงความรักของเธอ ซึ่งพุ่งตรงไปยังศัตรูของเธอที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอได้ มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ······?

 

ก็ได้.

 

ผมจะยอมรับมัน

 

จากนี้ไป เธอจะไม่ใช่คู่แข่งทางการเมืองของผมอีกต่อไป ผู้ร่วมมือ เธอจะเป็นพันธมิตรทางการเมืองเหมือน บาร์บาทอส ผมจะทิ้งนักแสดงรุ่นหายากคนนี้ไว้คนเดียวได้อย่างไรกันล่ะ?

 

การคร่ำครวญที่บิดเบี้ยวของเธอ ความมุ่งมั่นของเธอที่เปียกโชกและเธอระงับความบิดเบี้ยวนั้นและทุบมันด้วยค้อนจนยืดออกได้อย่างเหมาะสม ผมชอบมัน แม้ว่าผมจะต้องจับและลากทั้งเธอและบาร์บาทอสออกมา ด้วยปลอกคอ แต่ผมจะพาเธอสองคนขึ้นไปบนเวทีเอง

 

ปลิ้มปิติ. ผมกำลังเลือกให้นักแสดงที่ถูกเกษียณแล้ว ซึ่งครั้งหนึ่งถูกกำหนดให้พบกับจุดจบของตัวเองในขณะที่เล่นเป็นตัวประกอบ ให้กลับมาแสดงบทนำ ความจริงที่ว่าเธอสองปฏิบัติต่อกันและกันราวกับเป็นศัตรูนั้นมันสำคัญน้อยไปเเล้วสำหรับผม ถ้าจะสู้ก็สู้ไปเลย เเต่ยกเว้นว่าจะไปตบตีใส่ร้ายกันในบริเวณหลังเวทีที่ผมมองไม่เห็น เนื่องจากตอนนี้เธอทั้งคู่เป็นนักแสดงที่จะร่วมแสดงกับผม เธอก็ต้องมีหน้าที่ที่ต้องสวยสง่าในขณะที่อยู่บนเวที

 

หลังจากตัดสินใจในใจแล้ว ผมก็ขยับริมฝีปาก

 

“คุณไพม่อน”

 

“ว่าไง ดันทาเลี่ยน?”

 

“โปรดมาเยี่ยมผมที่เรือนจำเมื่อตะวันรุ่งขึ้นแล้ว ผมจะตัดสินใจตำแหน่งของผมในเวลานั้นเอง”

 

สบายใจได้นะไพม่อน

 

เธอหนีออกจากรายการที่ต้องชำระของผมแล้ว

 

อย่างไรก็ตามเธอจะต้องเปียกโชกไปด้วยเลือดของผู้อื่นแทน

 

 

 

 

 

 

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

 

ดีใจด้วยนะสำหรับคนที่อวยไพม่อน(ผมเองเเหละ) นางรอดจาก death flag เเล้ว

 

 

Dungeon Defence

Dungeon Defence

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Dungeon Defenceคุณทราบหรือไม่ว่าโลกนี้สิ้นสุดได้อย่างไร? [Yes] [No] “เจ้าเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือไม่?” “ขออภัยฝ่าบาท แต่หญิงสาวผู้นี้ไม่เชื่อในเรื่องงมงาย” “น่าเสียดาย ทั้งที่เรื่องลี้ลับธรรมชาตินั้นมันออกจะสุดยอดเลยแท้ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นข้าผู้นี้คงไม่ได้มีชีวิตชีวาถึงขนาดนี้หรอก” รอบตัวของสองคนนั้นไร้ซุ่มเสียงใด ๆ มีเพียงกลุ่มคนห้าพันคนต่างนิ่งเงียบคอยสดับรับฟังบทสนทนาของคนสองคนเบื้องหน้าพวกเขา ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิงสาวสวยสดงดงามตระการตา เธอเป็นทั้งขุนนางปกครองของเมืองนี้ และขุนพลพ่ายศึกในสงครามชิงเมื

Comment

Options

not work with dark mode
Reset