Emperor of Steel-กำเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล – ตอนที่ 8 มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (3)

บทที่ 8 มุ่งหน้าสู่ลาเมอร์ (3)
เมื่อทั้งสองกำหนดเป้าหมายเสร็จ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง
หลังเดินทางไปได้ 3 วัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองลาเมอร์ในยามค่ำตืน  เมืองนี้นับเป็นเมืองท่าที่ติดอยู่กับแม่น้ำเนียร์
เมืองลาเมอร์มีประชากรประมาณ 200,000 คน เป็นเมืองที่มีผู้คนมาทำการค้าข้ายกันอย่างคับคั่งเป็นอันดับสองของจักรวรรดิ
“มันน่าทึ่งมากที่หมู่บ้านการประมงเล็กๆสามารถพัฒนามาเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้” เมื่อลุคมองดูการเปลี่ยนแปลงของเมืองเสร็จ เขาก็เดินตรงเข้าไปหาช่างตีเหล็กที่อยู่ใกล้ที่สุดในทันที
“เจ้าต้องการขายรูปปั้นนี่อย่างนั้นเหรอ?”  ช่างตีเหล็กถาม
“ใช่”
เมื่อได้ยินคำตอบของลุค ช่างตีเหล็กก็เริ่มประเมินรูปปั้นอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ชูสองนิ้วให้กับลุค
“ไม่ นั่นมันถูกเกินไป แค่จะซื้อข้าวกินยังซื้อไม่ได้เลย”
ลุคไม่ได้เดินทางสามวันสามคืนเพื่อมาเล่นเกมต่อราคา เขาได้เคยพูดคุยกับฟิลิปมาบ้างแล้ว เกี่ยวกับราคาวัตถุดิบต่างๆในจักรวรรดิ
“เพราะราคาของทองแดงในช่วงนี้มันกำลังตกน่ะ และรูปปั้นนี่ก็ยังต้องใช้เงินอีกมากในการหลอมละลายมัน”
“แต่ผิวข้างนอกมันชุบทองคำแท้เลยนะ”
“นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้ายินดีที่จะจ่ายในราคา 2,000 ไม่ใช่1,000”
“โอ้ อย่างนั้นเหรอ งั้นข้าขอลองไปถามร้านอื่นก่อนดีกว่า”
ในขณะที่ลุคกำลังจะก้าวออกไปจากร้าน ช่างตีเหล็กก็ได้จับแขนของเขาเอาไว้
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้รับมากกว่านี้เท่าไหร่กันถ้าไปที่อื่น เอาละ ข้าจะเพิ่มให้เจ้าอีก 50 เปโซเป็นไง?”
“ถ้าเจ้ามอบม้าและเกวียนนั่นมาด้วย ข้าก็ยินดีที่จะจ่ายเพิ่มอีก 2500 เปโซ”
“อย่างนั้นก็ดี ไหนดูซิว่าเรามีม้าและเกวียนอยู่เท่าไหร่”
หลังจากทำการต่อรองราคากับช่างตีเหล็กเสร็จ ลุคก็ได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก 300 เปโซ
โครก…
เสียงท้องร้องของฟิลิปดังออกมา เขาเกาหัวตัวเองและยิ้มอย่างลำบากใจให้กับลุค
“ฮ่าๆ ดูเหมือนเนื้อตากแห้งที่ข้าทานไปเมื่อกลางวันจะย่อยเสร็จหมดแล้ว ”
เนื่องจากพวกเขาพยายามที่จะหลบหนีออกจากคฤหาสน์มา พวกเขาจึงไม่สามารถนำเอาอาหารติดมาด้วยได้มากนัก
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อาหารในแต่ละมื้อของพวกเขามีเพียงแค่บิสกิตและเนื้อตากแห้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ค่อยเพียงพอต่อความต้องการอาหารของฟิลิป
“ตอนนี้เราก็ไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนอะไรแล้ว และข้าก็พอจะมีเงินติดกระเป๋าอยู่เล็กน้อย ดังนั้นข้าคิดว่าเราควรจะไปหาอาหารดีๆมากินรองท้องกันสักหน่อยดีกว่า”
เมื่อคิดเกี่ยวกับจำนวนเงินที่เขามีอยู่ในมือเสร็จแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่เรียงรายอยู่ข้างทาง
ทั้งสองคนเลือกที่จะแวะร้านอาหารหรูระดับ 4 ดาวที่ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์การค้าของเมือง
“อาหารพื้นบ้านของที่นี่จะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนกันนะตลอด 500 ปีที่ผ่านมา?”
เนื่องจากเวลาที่ผ่านไปเป็นเวลานาน ลุคจึงคาดหวังในพัฒนาการของรสชาติอยู่เล็กน้อย
ลุคนั่งโต๊ะริมหน้าต่างและมองไปยังเมนูที่พนักงานเสิร์ฟยื่นมาให้กับเขา จากนั้นจึงเริ่มสั่งอาหารต่างๆ
ฟิลิปคือคนที่ตื่นเต้นกับที่นี่มากที่สุด แม้ว่าเขาจะเป็นถึงอัศวิน แต่เงินเดือนที่เขาได้รับมานั้นก็มีจำกัด มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้ลิ้มรสอาหารคุณภาพสูงแบบนี้
“แล้วเจ้าจะกินอะไรละ..”
“เรียนนายน้อย ข้าคิดว่าไวน์บอร์กโดซ์ปี 1500 เป็นตัวเลือกที่กำลังดี”
“งั้นก็เอาตามนั้น” ลุคสั่งอาหารตามที่ฟิลิปแนะนำ
หลังจากนั้นไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็เริ่มถูกเสิร์ฟออกมาทีละอย่างๆ
จานแรกคือซุปและสลัด ตามมาด้วยปลาย่างราดซอสตับห่านกับเห็ดทรัฟเฟิลและสเต็กแบบสุกปานกลาง
ฟิลิปผู้เปี่ยมไปด้วยความอยากอาหาร เขาเริ่มที่จะขุดคุ้ยและเอาทุกอย่างยัดเข้ามาในปากของเขาอย่างตะกละตะกลาม แต่กลับกันลุคค่อยๆกินเข้าไปทีละคำและเมื่อเขากินหมด เขาก็สั่งจานต่อไป
มันคือเค้กช็อคโกแลตสำหรับจานของหวาน
“ว้าวนี่มันอร่อยจริงๆ ข้ารู้สึกเหมือนร่างกายของข้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อกินมัน”
“เดิมทีข็อคโกแลตถูกใช้เพื่อเป็นยาบำรุงในทวีปทางตอนใต้ เพราะฉะนั้นคนในสมัยก่อนจึงนิยมใช้เมล็ดโกโก้เป็นเงินแทน”
“ทวีปทางตอนใต้อย่างงั้นเหรอ.. เดี๋ยวนี่ทักษะการเดินเรือของมนุษย์เราพัฒนาไปถึงขั้นที่จะสามารถไปทำการค้ากับที่นั้นได้แล้วเหรอ?”
มหาสมุทรที่พาดอยู่ทางตอนใต้ของโรดีเซียนั้นถูกเรียกว่า
“ทะเลแห่งวายุ”
นอกจากนี้ในทะเลยังมีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่อาศัยอยู่ อย่างเช่น คราเค้นและเซอร์เพ้น ซึ่งเป็นการยากอย่างมากสำหรับผู้คนในสมัยก่อนที่จะหลบหนีมัน
ต้องขอบคุณการเดินทางของกองเรือที่ทำให้มีการค้นพบทวีปอื่นๆในท้องทะเล อย่างไรก็ตามด้วยการพัฒนาวิศวกรรมมานานกว่า 500 ปี มนุษย์ได้ทำการสร้างกองเรือขนาดใหญ่และอาวุธที่ทรงพลังอย่างจริงจัง
การพัฒนาเหล่านี้ได้เปิดเส้นทางการค้าใหม่ระหว่างทวีปทางใต้และทวีปโรดีเซีย
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หมู่บ้านการประมงเล็กๆอย่างลาเมอร์สามารถกลายมาเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่แบบนี้ได้
“ว้าว นี่มันอร่อยมากจริงๆ”
“ต้องขอขอบคุณนายน้อยจริงๆ ที่ทำให้ข้าได้มีโอกาสกินอาหารดีๆเหล่านี้”
มันเป็นอาหารที่อร่อยคุ้มกับราคาเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ทั้งวัตถุดิบและการปรุงต่างก็มีความหลากหลายขึ้นอย่างมาก
พัฒนาการเหล่านี้ทำให้ลุครู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกันมัน เขาเพลิดเพลินกับอาหารจนกระทั่งเขาออกจากร้าน
ในขณะที่เขาออกมาจากร้านนั่นเอง เหล่าเด็กที่ดูผอมแห้งก็วิ่งเข้ามาล้อมรอบเขาเหมือนผึ้ง
“ได้โปรด เมตตาพวกเราสักหน่อยเถอะ”
“หนูหิว.. หนูแค่ต้องการขนมปังซักชิ้น”
“ไอ้เด็กพวกนี้นี่! ออกไปให้หมดนะ”
ฟิลิปตะโกนใส่เหล่าเด็กขอทานที่มารุมล้อมพวกเขา แต่ก็โดนลุคตำหนิไป
“อย่าทำตัวหยาบคายสิ เจ้าจะรับผิดชอบยังไงถ้าหนึ่งในเด็กพวกนี้บาดเจ็บ”
“แต่นายน้อย…”
“ใจเย็นน่า.. เอาเงินนี่ไปแล้วซื้อของกินซะนะ”
เมื่อนึกถึงความทรงจำอันแสนน่าสังเวชของเขาในตอนที่เขายังเป็นเด็กกำพร้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะให้เงินกับเด็กพวกนี้ไป
เหล่าเด็กทั้งหลายต่างก้มหัวขอบคุณเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“ขอบคุณครับ”
“ขอให้พระเจ้าอวยพรนายท่าน”
“ฮ่าๆ เหล่าเด็กน้อยผู้น่ารัก” ในขณะนั้นเอง ที่ลุคกำลังยิ้มอย่างสุขใจ
ปี๊ป…
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเป่านกหวีดแหลมจากทหารยามที่ปรากฎตัวขึ้นมาในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงิน
“ออกไปซะ ไอ้พวกหนูสกปรก”
คำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของหัวหน้าทหารรักษาความปลอดภัยของเมือง พวกมันวิ่งเข้าไปหาเด็กๆก่อนที่จะใช้ไม้ฟาดและเตะพวกเขา
“ไอ้เด็กพวกนี้นี่  ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไง ว่าอย่าสะเออะมาบริเวณเขตนี้ของเมือง”
“อ๊า! พวกเราขอโทษ พวกเราผิดไปแล้ว โปรดอภัยให้พวกเราด้วย”
ทั้งถนนเต็มไปด้วยเสียงสบทของทหารและเสียงกรีดร้องของเด็กๆ
ในขณะนั้นเอง ลุคก็รู้สึกเหลืออดเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ฟิลิปกระทำกับเด็กนั้นเป็นเพียงแค่การแหวกทางให้กับเขาเท่านั้น มันไม่สามารถนับเป็นอะไรได้เลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เหล่าทหารเหล่านี้ทำ
“ไอ้ป่าเถื่อน!”
“นะ.. นายท่าน”
แต่ก่อนที่ฟิลิปจะทันได้พูดจบ ลุคก็ชักดาบและนำมาทาบที่คอของทหารยามเรียบร้อยแล้ว
“ไอ้เวรนี่ นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกับเด็กที่น่าสงสารพวกนี้กันแน่?”
“อะไรกัน? ไอ้นี่มันมาจากไหนกัน?”
การกระทำของลุคนั้นก่อให้เกิดความรำคาญต่อหัวหน้าทหารยามเป็นอย่างมาก ในหัวของเขานั้นคิดว่าถ้าลุคเป็นเพียงแค่สามัญชนธรรมดา เขาก็จะทำการประหารลุคทิ้งในข้อหาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่
แต่ดวงตาของเด็กชายที่เขามองไปนั้น ให้ความรู้สึกและกลิ่นอายของขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือน้ำเสียงของเขาก็ตาม
แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมขุนนางหนุ่มผู้นี้ถึงต้องเข้ามาขัดขวางการทำงานของเขา
หัวหน้าทหารยามนั้นรู้ตัวดีว่าหากเขาไปมีเรื่องกับขุนนางเข้า ปัญหาทั้งหมดที่มีนอกจากจะไม่จบลงอย่างง่ายๆแล้ว มันยังจะมีปัญหาตามมาอีกแน่นอน
ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกจะเปิดปากเอ่ยโน้มน้าวเด็กหนุ่มตรงหน้า
และทันใดนั้นเอง เสียงที่ฟังดูเล็กแหลมและงามสง่าก็ดังก้องกังวานขึ้นมา…
 

Emperor of Steel

Emperor of Steel

กำเนิดใหม่จักรพรรดิเหล็กไหล เซย์ม่อน เขาคือชายผู้ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของของศาสตร์มนต์ดำ เขาคือชายผู้ถูกขนานนามว่าปราชญ์แห่งความมืด เขาคือชายผู้ถูกตีตราว่าเป็นราชาปีศาจ สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ผู้คนต่างพากันหวาดกลัวเขา และทำให้เขาถูกสังหารลงโดยจักรพรรดิดาบในที่สุด “ไม่ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้มันจบลงแบบนี้!” ในที่สุดแล้ว ด้วยความปรารถณาอันแรงกล้าที่อยากจะมีชีวิตต่อของเขา มันได้ทำให้เขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง แต่โชคชะตาและความจริงนั้นโหดร้าย เขากลับมาเกิดใหม่หลังจากเวลาได้ล่วงเลยไปแล้วกว่า 500 ปี.. ชีวิตในครั้งนี้ของเขาจักถือกำเนิดใหม่ในฐานะผู้สืบทอดของศัตรูคู่แค้นของเขา จักรพรรดิดาบ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset