Heavenly Curse ทัณฑ์สวรรค์สาป – ตอนที่ 89

ตอนที่ 89 ข้ามาแล้ว

 

แม้ว่าชิวจูจะมีประสบการณ์การต่อสู้ไม่มากนักแต่นางก็ถือว่าเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง

 

เมื่อ 3 วันก่อนนั้นพวกนางได้พบเจอกับมู่อี้ก็เพราะว่าตะเกียงที่อยู่ในศาลาบรรพบุรุษนั้นส่องแสงออกมาและชิวเยวี่ยถงกับนางก็รีบวิ่งไปที่หลุมศพของท่านหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อน จึงได้พบกับมู่อี้ในตอนนั้นและ …

 

ในครั้งนี้แม้ว่านางจะจัดการให้มีคนคอยป้องกันและเดินตรวจตราบริเวณทางขึ้นภูเขามากยิ่งขึ้น แต่เมื่อเห็นแสงสว่างจากตะเกียงภายในศาลาบรรพบุรุษสว่างขึ้นมาอีกครั้ง นางก็รีบแจ้งให้ทุกๆคนในหมู่บ้านได้ทราบด้วยการลั่นกลองรบทันที

 

ในตอนนี้ผู้คนมากมายต่างก็มารวมตัวกันที่จัตุรัสหน้าหมู่บ้าน ปกติแล้วถ้าหากมีเทศกาลใหญ่หรือกิจกรรมที่สำคัญภายในหมู่บ้านก็จะจัดงานในพื้นที่จัตุรัสแห่งนี้ ถ้าหากผ่านจัตุรัสนี้เข้ามาได้ก็จะสามารถเข้าสู่หมู่บ้านได้ นี่คือประตูทางเข้าหมู่บ้านและยังเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของหมู่บ้านแห่งนี้อีกด้วย

 

นอกจากพวกผู้ชายในหมู่บ้านที่ไปประจำการในจุดป้องกันต่างๆแล้ว พวกคนแก่ หญิงสาวที่อ่อนแอ และเด็กๆต่างก็ซ่อนตัวอยู่ภายในบ้าน ทุกคนที่สามารถออกมาสู้ได้ก็ล้วนออกมาทั้งหมู่บ้านแล้วในตอนนี้

 

ตรงที่ด้านหน้าสุดของจัตุรัสนั้นมีเวทียกสูงและมีเก้าอี้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่

 

เก้าอี้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางตัวนี้ย่อมเป็นของชิวเยวี่ยถงอย่างแน่นอนแต่ในตอนนี้มันกลับว่างเปล่า แม้แต่เก้าอี้ตัวข้างๆซึ่งเป็นของหลีหู่ก็ว่างเปล่าด้วยเช่นกัน มีเพียงเก้าอี้อีก 4 ตัวที่เหลือเท่านั้นที่มีคนนั่งอยู่

 

ชายชราทั้ง 2 คนที่มาเคาะประตูเมื่อวานนี้ก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของพวกเขาในหมู่บ้านไม่ได้ถือว่าต่ำเลย พวกเขาทั้งสองคนต่างก็มีอายุไล่เลี่ยกันและเป็นผู้อาวุโสที่ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ให้ความเคารพ

 

ด้านข้างเวทีนั้นเป็นชิวจูที่ยืนอยู่พร้อมกับดาบในมือของนางและนางรู้ดีว่าตนเองย่อมไม่อาจรับมือกับมู่อี้ได้อย่างแน่นอนแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะทำอะไรไม่ได้เลย

 

ถัดจากเวทีที่ตั้งอยู่นั้นก็มีผู้คนมากมายกำลังรวมตัวกันในมือของพวกเขาต่างก็ถืออาวุธเอาไว้อย่างแข็งขัน

 

“ชิวจู เหตุใดท่านหัวหน้าหมู่บ้านถึงยังไม่มาอีก?” เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆในที่สุดก็มีคนที่รอไม่ไหวและถามขึ้นมาทันที สถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดอย่างยิ่งและมันยังไม่มีข่าวคราวใดๆส่งมาจากทางขึ้นภูเขาเลย ยิ่งรอนานมากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกทรมานมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

 

“ท่านผู้อาวุโสจางโปรดวางใจเถอะ ท่านหัวหน้าหมู่บ้านได้อธิบายเรื่องทุกอย่างแล้วและท่านจะออกมาหลังจากนี้” ชิวจูตอบกลับมาทันทีแม้ว่านางเองก็ไม่มั่นใจในเรื่องนี้เช่นกัน

 

ในทางกลับกันในฐานะที่นางเป็นตัวแทนของท่านหัวหน้าหมู่บ้านนางย่อมต้องมั่นใจแม้ว่าจะรู้สึกไม่มั่นใจก็ตาม

 

“แล้วรองหัวหน้าล่ะอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่มีใครเห็นเขาเลย?” ชายชราอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ แม้ว่าหลีหู่จะเก็บตัวเงียบๆอยู่เสมอแต่อย่างน้อยก็ต้องมีใครเห็นเขาบ้าง แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดเช่นนี้เขาก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมานั่นทำให้หลายๆคนรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

 

“รองหัวหน้าหมู่บ้าน เขา …” ชิวจูเงียบไปทันทีและนางก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะในตอนนี้นางก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี ความจริงแล้วในตอนที่นางรู้ว่าหลีหู่วิ่งหนีไปแล้วนางก็รีบตามหาตัวหลีหู่ทันที แต่ยังดีที่เขาไม่ได้พาคนมากมายหนีตามไปด้วยมีเพียงแค่ 2 หรือ 3 คนเท่านั้นที่หายตัวไปจากหมู่บ้านนี้

 

การหายตัวไปของคนกลุ่มเล็กๆย่อมไม่เป็นที่สังเกตของทุกๆคนในหมู่บ้าน

 

ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลีหู่จะหนีออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้เงียบๆ เพราะหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนหน้าผาที่ค่อนข้างชันแต่ตราบใดที่เขามีร่างกายที่แข็งแกร่งพอเขาก็คงสามารถค่อยๆไต่เชือกลงไปได้

 

หลังจากทุกคนลงไปแล้วก็ปลดเชือกออกและก็หายตัวไปเงียบๆเหมือนกับภูตผี

 

ในตอนที่ชิวจูกำลังรู้สึกกระวนกระวายใจและไม่รู้จะตอบคำถามนี้เช่นไรดีนั้น อยู่ๆเสียงกลองรบในหมู่บ้านก็ดังขึ้นมาทันทีชิวจูรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาและรีบวิ่งออกไปทันที

 

บนเวทีนั้นชายชราทุกๆคนก็ไม่อาจอยู่นิ่งได้อีกต่อไปและพวกเขาทั้งหมดต่างก็ยืนขึ้นมา มี 2 คนที่ยกอาวุธของตนเองขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

“ชิวจู เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามออกมาทันที

 

“เขามาที่นี่แล้ว” ชิวจูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ในความคิดของนางนั้นสัญญาณเตือนภัยย่อมมาจากศาลาบรรพบุรุษอย่างแน่นอน และเมื่อเสียงกลองรบดังขึ้นมานั่นหมายความว่าศัตรูได้มาที่นี่แล้วและกับดักทุกๆอย่างที่นางเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง

 

ในตอนนี้ชิวจูนึกถึงคำพูดของซุนยี่ขึ้นมาทันทีและแม้ว่านางจะวางกับดักเอาไว้มากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์เลย

 

กับดักของนางมันไม่มีประโยชน์จริงๆหรอ? ชิวจูทำได้เพียงคิดในใจจากนั้นนางก็สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อลดความกดดันในร่างกายของตนเอง

 

“ทุกท่านโปรดเงียบหน่อย!”

 

คำพูดของชิวจูยังคงมีผลต่อทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ อย่างน้อยที่สุดในตอนที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้นพวกเขาก็เริ่มกลับมาสงบนิ่งได้อีกครั้ง

 

“พี่น้องทั้งหลาย หมู่บ้านของพวกเราตั้งอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นพวกเราไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับศัตรูเลยหรือ? แม้แต่ทหารของทางราชสำนักพวกเราก็ยังสามารถเอาชนะได้ไม่ใช่หรือ? ทั่วทั้งมณฑลหลินอานแห่งนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้จักกลุ่มโจรภูเขาเสี่ยวหานของพวกเรา นั่นไม่ได้หมายความว่าชื่อเสียงของพวกเราขจรออกไปไกลอย่างนั้นหรือ?”

 

ชิวจูมองไปที่ทุกๆคนและพูดต่อไปด้วยเสียงดังว่า “ในเมื่อหมู่บ้านของพวกเรากำลังจะถูกเหยียบย่ำพวกเราจำเป็นต้องหวาดกลัวศัตรูด้วยหรือไง? พี่น้องทุกท่าน พวกท่านหวาดกลัวหรือยังไง?”

 

“เราไม่กลัว!”

 

เสียงตะโกนดังออกมาจากทั่วทั้งจัตุรัสทันที ผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่แล้วต่างก็มีประสบการณ์ที่เคยต่อสู้กับทหารของทางราชสำนักมาก่อน พูดได้เลยว่าในตอนนี้พวกเขาพร้อมอยู่และตายไปพร้อมกับหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว

 

“ตอนนี้พวกเราต้องปกป้องบ้านของพวกเรา ปกป้องคนที่เรารัก ปกป้องมิตรสหาย ถ้าหากมีใครจะมาทำร้ายพวกเขาท่านยอมหรือไม่?”

 

“เราไม่ยอม” เสียงตะโกนดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

ชิวจูมองไปที่ฝูงชนและรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่พุ่งพล่านออกมาในตอนนี้

 

“ข้ารู้ดีว่าในครั้งนี้ศัตรูทรงพลังมากแค่ไหน แต่กลุ่มโจรภูเขาเสี่ยวหานอย่างพวกเราย่อมไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้อยู่แล้ว” ชิวจูตะโกนออกมาอีกครั้ง

 

“สู้ สู้ สู้!”

 

ทุกๆคนที่อยู่ภายในจัตุรัสในตอนนี้อารมณ์เริ่มพุ่งพล่านไปเพราะคำพูดของชิวจูและจิตใจของทุกๆคนต่างก็รู้สึกเร่าร้อนขึ้นมาพร้อมๆกัน

 

แม้แต่ชิวจูก็ยังรู้สึกมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยและในตอนนี้นางไม่ได้หวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว

 

“แปะ แปะ แปะ!”

 

ในตอนนี้เสียงปรบมือก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในจัตุรัสที่กำลังร้องตะโกนอยู่ก่อนหน้านี้ก็ต้องเงียบไปทันที

 

เมื่อได้ยินเสียงปรบมือที่เกิดขึ้นนี้ความร้อนแรงในจิตใจของทุกๆคนก่อนหน้านี้ก็หายไปทันที

 

“ความกล้าหาญคือสิ่งที่น่ายกย่อง!”

 

เมื่อเสียงโห่ร้องของทุกๆคนที่อยู่ที่นี่หายไปก็มีเสียงของชายอีกคนหนึ่งที่ดังขึ้นมาและในตอนนี้สายตาของทุกๆคนก็จับจ้องไปยังบุคคลหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าปรากฏตัวที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด

 

เขาสวมเสื้อคลุมแบบเต๋าและเส้นผมบนศีรษะได้มีการมัดรวบเอาไว้เป็นอย่างดี แขนทั้งสองข้างของเขาปล่อยข้างลำตัวอย่างอิสระและยังมีผ้าคลุมสีดำอีกชั้นหนึ่งที่อยู่บนแผ่นหลังของเขา

 

เมื่อรวมกับใบหน้าของเขาที่มีคิ้วหนา ผิวขาว และริมฝีปากบางแล้ว แม้แต่ทุกๆคนที่อยู่ที่นี่เมื่อได้เห็นเขาก็ต้องรู้สึกชื่นชมในความหล่อเหลาและความน่าเลื่อมใสของเขาขึ้นมาทันที

 

แต่ในตอนนี้เมื่อทุกๆคนได้เห็นเขาต่างก็รู้สึกขนลุกด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาทันที

 

เขาเป็นใครกัน? เขาขึ้นมายังภูเขาแห่งนี้ได้ยังไง?

 

นี่คือคำถามที่อยู่ในใจของผู้คนมากมาย เพราะคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไม่เคยเห็นมู่อี้มาก่อน และมีเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเขาเป็นใครในตอนนี้นั่นก็คือชิวจู

 

ชิวจูจ้องมองมู่อี้ที่อยู่ไม่ไกลและรู้สึกขนลุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน

 

หลังจากได้ยินเสียงกลองรบดังขึ้นมาก่อนหน้านี้นางก็รู้ดีว่ากับดักที่นางวางเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำอะไรมู่อี้ได้เลย แต่นางก็ไม่คาดคิดว่ามู่อี้จะมาถึงที่นี่ได้เร็วขนาดนี้ หรือว่าเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรเลย?

Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ

Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพ

天咒
Score 7.8
Status: Ongoing Type: Author: Released: 2017 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Heavenly Curse ยอดเซียนเต๋า เขย่ายุทธภพเด็กชายกำพร้าชื่อมู่ยี่ได้รับการช่วยเหลือจากนักบวชเต๋าผู้เดินทางเฒ่า พวกเขาเดินทางไปทั่วโลกโดย 'หลอกลวง' ผู้คนโดย 'ไล่ผี' และ 'สังหารปีศาจ' นั่นคือจนกว่านักบวชเต๋าผู้เฒ่าจะเสียชีวิตและมู่ยี่ถูกบังคับให้ตระหนักว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เห็น เขาได้รับการบอกเล่าเรื่องราวของกองทัพผี ฝูงซอมบี้ ปีศาจที่น่าสยดสยอง และที่แย่ที่สุดคือผู้ปลูกฝังที่ควบคุมพวกเขา มู่ยี่เริ่มก้าวแรกเพื่อก้าวไปสู่จุดสูงสุดของโลกใหม่ที่มืดมิดและโหดร้าย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset