Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา – บทที่ 9.2 ธนูอุษาม่วง (2)

โจวเหว่ยชิงมองธนูอุษาม่วงในมือของเซียวเซ่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นก็หันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกครั้งด้วยความสับสน “ผู้บัญชาการกองพัน ธนูนี่มันเป็นยังไงกันแน่? แตกต่างกับธนูของพวกเรายังไงหรือขอรับ? แล้วเราได้รับอนุญาตให้ทาสีคันธนูของเราได้ด้วยหรือ”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จ้องโจวเหว่ยชิงด้วยความโมโห “ถ้าผู้บัญชาการกองร้อยเซียวต้องการให้เจ้าลองทดสอบ เจ้าก็ควรไปลองได้แล้ว หยุดพูดอะไรที่ไร้ประโยชน์ซะ”
โจวเหว่ยชิงรับธนูอุษาม่วงจากเซียวเซ่อและนึกเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ ก็เพราะในความเป็นจริงเขาคุ้นเคยกับธนูอุษาม่วงมากกว่าธนูไม้ดาราทั่วๆ ไปอยู่แล้วน่ะสิ!
เดิมทีเพื่อที่จะสามารถง้างธนูอุษาม่วงให้ได้ เขาฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาถึง 2 ปี หรืออาจกล่าวได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาฝึกยิงธนูในจวนแม่ทัพ เขาก็มักจะใช้ธนูอุษาม่วงเสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงยิงพลาดเป้าหมายไปเล็กน้อยในวันที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทดสอบเขาเกี่ยวกับความแม่นยำในการยิงธนู เหตุผลมันก็ง่ายๆ เป็นเพราะเขาไม่คุ้นชินกับน้ำหนักของธนูไม้ดาราธรรมดาๆ นั่นต่างหาก! ตลอดสองปีที่ผ่านมาเขาต้องฝึกง้างธนูนั่นทุกวันจนแขนของเขามีสภาพบวมเบ่งอยู่เป็นประจำ แม้ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง แดดจะออก หรือลมกรรโชกแรงแค่ไหน แม่ทัพใหญ่โจวก็ไม่เคยยอมให้เขาพักแม้แต่วันเดียว  ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจำคำพูดของบิดาได้ดี “แม้ว่าเจ้าจะเป็นเศษสวะ แต่เจ้าก็ยังคงเป็นลูกชายเศษสวะของข้าโจวสุ่ยหนิว! หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะง้างธนู บิดาของเจ้าคนนี้ก็จะฟาดกำปั้นใส่เจ้าจนตัวงอเป็นคันธนูเอง!”
น้ำหนักของธนูอุษาม่วงนั้นเป็นเกือบสองเท่าของธนูธรรมดา นั่นก็คือ 20 กิโลกรัม และมันก็ค่อนข้างหนักมากสำหรับคนทั่วไป โจวเหว่ยชิงทำท่าทียกมันขึ้นด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เขาถามเซียวเซ่ออย่างสงสัย “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว คันธนูสีม่วงของท่านค่อนข้างหนักเลยทีเดียว! ท่านทนใช้มันเข้าไปได้อย่างไร?”
เซียวเซ่อส่งเสียงดูถูกเหยียดหยาม “นั่นย่อมขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้เช่นข้า หึ เป็นเช่นนี้เจ้ายังคงฝันที่จะใช้ธนูอุษาม่วงของข้าอยู่อีกหรือ? แม้เจ้าจะเกิดใหม่หรือเริ่มกินนมแม่ใหม่อีกรอบ เจ้าก็ยังไม่สามารถแข็งแกร่งได้เช่นข้าหรอก เอาล่ะ ถือธนูของข้าให้ดีๆ ถ้าเจ้าทำมันตกล่ะก็…อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน!”
“โอ้” สีหน้าท่าทางซื่อๆ ของโจวเหว่ยชิงทำให้เขาดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มบ้านนอกที่ไม่เคยสัมผัสชีวิตในเมืองมาก่อน
ในขณะที่เขาส่งเสียง เขาก็พลันคว้าคันธนูนั่นขึ้นมาง้างสายขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทว่ามันกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิด! อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเขากลับกลายเป็นสีแดงก่ำราวกับว่าเขาใช้พละกำลังที่มีทั้งหมดไปกับการง้างธนูครั้งนี้แล้ว
เซียวเซ่อไม่แม้แต่จะหันไปมองโจวเหว่ยชิง เขาหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์และพูดว่า “ดูสิ ท่านผู้บัญชาการกองพัน ในเมื่อเขาไม่สามารถง้างธนูอุษาม่วงของข้าได้ เจ้าอ้วนน้อยโจวนี้จะมีคุณสมบัติเพียงพอจะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของท่านได้อย่างไร?”
ก่อนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะได้ทันพูดอะไร ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาลี่ก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ได้ “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว อ้วนน้อยโจวเพิ่งเข้าร่วมกองทัพเอง แค่ง้างธนูยาวธรรมดาได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว สำหรับธนูอุษาม่วงนั้น ไม่ใช่แค่เขา แต่สำหรับทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะง้างได้เช่นกัน”
เซียวเซ่อตวัดสายตาไปมองเหมาหลี่ด้วยความเย็นชา แต่ทว่าก็ไม่ได้สนใจที่จะตอบกลับและทำราวกับเหมาหลี่เป็นธาตุอากาศ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรอคอยคำตอบ
ตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยากจะทำเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือปรี่เข้าไปต่อยเจ้าอ้วนโจวสักหมัด แม้เธอจะไม่รู้ว่าโจวเหว่ยชิงสามารถใช้พลังมณีสวรรค์ของเขาได้แล้ว แต่ก็รู้ว่าหลังจากปลุกมณีสวรรค์ของเขาขึ้นมาได้ ความสามารถทางกายภาพของเขาก็ย่อมต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงว่านี่มันแค่ธนูอุษาม่วงเพียงคันเดียว แม้ว่าจะมีธนูเช่นนี้อีก 2-3 คัน เธอก็รู้ว่าเขามารถยกทั้งหมดนั่นไหวอยู่ดีเนื่องจากมณียุทธ์ของเขาได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามการแสดงของไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่ต้องบอกว่าดูสมจริงมาก เมื่อมองใบหน้าของเขาที่กำลังแดงก่ำราวกับใช้กำลังไปทั้งหมดนั่น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็โกรธมากจนใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีเขียว
“ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว อ้วนน้อยโจวยังไม่ได้ยอมแพ้สักหน่อย ทำไมท่านไม่รอดูก่อนล่ะ” ในขณะที่พูดอยู่นั้น เธอก็พลันลุกขึ้นยืนส่งพลังออกไปในเสี้ยววิ แม้ว่าเธอจะไม่เดินไปหาเขา แต่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กำลังจ้องโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาดุเดือด
โจวเหว่ยชิงรู้สึกคันเล็กน้อยข้างในหู จู่ๆ ก็มีเสียงเบาๆ ราวกับเสียงยุงเสียดแทงเข้ามาในหูของเขา “เจ้าอ้วนน้อยโจว! จะหยุดเล่นละครหรือจะให้ข้าฟาดเจ้าจนตาย!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดว่าโจวเหว่ยชิงคงจะไม่กล้าเล่นละครต่อตามที่เธอขู่ แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เธอพูดคำเหล่านั้นออกไป โจวเหว่ยชิงก็ปล่อยมือจากคันธนูลงทันที ยิ่งไปกว่านั้น คนเจ้าเล่ห์นี้ก็กำลังคร่ำครวญอย่างหนักขณะเร่งสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ทำท่าทางราวกับว่าเขากำลังจะหมดแรงได้อย่างไร้ที่ติ
เซียวเซ่อพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ผู้บัญชาการกองพัน ดูสิ ท่านก็เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะง้างธนูอุษาม่วงของข้า ดังนั้นข้าคิดว่าท่านควรถอนคำสั่งของท่านเสียจะดีกว่า”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำหมัดแน่น หากเธอไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้เหมาะกับตำแหน่งและสถานะของเธอ เธอก็อาจจะรีบวิ่งไปต่อยไอ้จอมเจ้าเล่ห์นั่นสักหมัดแล้ว
“ใครบอกว่าข้าง้างธนูอุษาม่วงนี้ไม่ได้? แค่ตอนนี้ข้ายังไม่ได้เตรียมร่างกายเท่านั้นเอง! ข้าง้างได้แน่ๆ ถ้าลองอีกรอบ!!” โจวเหว่ยชิงกำลังพูดอย่างมั่นใจขณะที่ยังหอบหนักอยู่ ที่หน้าผากของเขายังมีเหงื่อผุดอยู่ประปราย
เซียวเซ่อหัวเราะ เขาประสานมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่สง่างามโดยธรรมชาติ
“แม้ว่าข้าจะให้เจ้าลองสักร้อยครั้ง เจ้าก็ยังไม่สามารถง้างธนูนี้ได้ เจ้าคิดว่าธนูอุษาม่วงนี้เกิดมาเพื่อให้เจ้าใช้หรือ คนชั้นล่างอย่างเจ้าเนี่ยนะ?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง “คนชั้นล่าง? แล้วคนชั้นล่างไม่ใช่มนุษย์หรือ? ใครบอกว่าข้าง้างไม่ได้? ข้าทำได้แน่นอน! พนันกับข้าไหม หากข้าไม่สามารถง้างมันได้ ข้าจะฆ่าตัวตายตรงนี้เลย!!”
ในขณะนั้น เหมาหลี่ที่นิ่งเงียบอยู่พลันสังเกตได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนิทกับโจวเหว่ยชิงเท่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่เขาก็รู้ว่าจอมเจ้าเล่ห์น้อยตนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาหรือเป็นคนดีอย่างที่เขาเห็น นอกจากนี้ เมื่อเช้านี้เขายังได้สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของโจวเหว่ยชิงด้วยตนเอง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่สามารถง้างธนูอุษาม่วงได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะง้างได้บ้าง
เซียวเซ่อพูดด้วยเสียงเย็นๆ “เอาล่ะ ข้าให้เจ้าลองได้อีกครั้ง อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะกล้าฆ่าตัวตายที่นี่หรือไม่” ในสายตาของเขา ความตายของทหารธรรมดาคนหนึ่งจะนับว่าเป็นอะไรได้
โจวเหว่ยชิงหยิบธนูอุษาม่วงขึ้นมาอีกครั้ง และกำลังจะเริ่มดึง แต่ขณะที่เขากำลังจะออกแรง เขาก็ดูเหมือนจะจำบางสิ่งได้ ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองเซียวเซ่อ และกล่าวว่า “เนื่องจากเราได้ทำการพนันกัน เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะเดิมพันทั้งสองด้านไม่ใช่หรือ? หากข้าง้างธนูได้ ท่านจะฆ่าตัวตายที่นี่หรือไม่?” ด้วยรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายและใสซื่อของเขา การถามคำถามลักษณะเช่นนี้ทำให้คนรอบตัวรู้สึกว่าเขาไร้เดียงสามาก
เซียวเซ่อกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? ชีวิตของเจ้าเทียบกับข้าได้งั้นรึ? ข้ามียศเป็นถึงขุนนางขั้นที่ 4! อืม…งั้นให้ธนูอุษาม่วงนี้จะเป็นเดิมพันของข้าก็แล้วกัน และหากเจ้าง้างมันไม่ได้ ข้าก็ไม่ต้องการชีวิตของเจ้าหรอก เจ้าเพียงแค่ต้องคุกเข่าและเรียกข้าว่า “ท่านปู่” สามครั้ง จากนั้นข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
โจวเหว่ยชิงฟังคำพูดของเซียวเซ่อและส่ายหัวอย่างแรง “ไม่ หากแพ้ข้าก็จะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด บิดาของข้าเคยกล่าวว่า เข่าของลูกผู้ชายมีค่าดั่งทอง ถึงธนูของท่านจะหนักมาก แต่ว่าก็ยังมีค่าน้อยกว่าทองอยู่ดี ดังนั้น เพื่อความเท่าเทียม ถ้าท่านแพ้ ท่านก็ต้องคุกเข่าและเรียกข้าว่าท่านปู่”
เซียวเซ่อไม่เชื่อว่าเขาจะแพ้ ขณะมองดูใบหน้าดื้อรั้นของโจวเหว่ยชิงเขาก็กล่าวตอบด้วยความรังเกียจ “ตราบใดที่เจ้าสามารถง้างธนูได้ มีเหตุอะไรให้ข้าไม่ยอมรับล่ะ เร็วๆ เข้า อย่าทำให้ข้าเสียเวลาอันมีค่าไปเปล่าๆ”
“เยี่ยม!!” โจวเหว่ยชิงยิ้มออกมา บางทีในสายตาของคนอื่น รอยยิ้มของเขาอาจดูเรียบง่ายและซื่อๆ แต่ในสายตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้น มันเป็นรอยยิ้มหลอกลวงและเจ้าเล่ห์อย่างไม่มีใครเทียบ อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้ขัดขวางโจวเหว่ยชิง เพราะแม้แต่เธอเองก็ยังรู้สึกว่านี่มันช่างน่าสนุกจริงๆ
………………………………………………………

Heavenly Jewel Change

Heavenly Jewel Change

ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์ ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!? ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น… หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย! ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตา ไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขา มันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด! สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า… แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ? ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร! นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร Every human has their Personal Jewel of power, when awakened it can either be an Elemental Jewel or Physical Jewel. They circle the right and left wrists like bracelets of power. Heavenly Jewels are like the twins born, meaning when both Elemental and Physical Jewels are Awakened for the same person, the pair is known as Heavenly Jewels. Those who have the Physical Jewels are known as Physical Jewel Masters, those with Elemental Jewels are Elemental Jewel Masters, and those who train with Heavenly Jewels are naturally called Heavenly Jewel Masters. Heavenly Jewel Masters have a highest level of 12 pairs of jewels, as such their training progress is known as Heavenly Jewels 12 Changes. Our MC here is an archer who has such a pair of Heavenly Jewels.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset