Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา – บทที่ 11.2 เมืองภูเขาลอยฟ้า อาณาจักรเฟยหลี่ (2)

หลังจากนั้นไม่นาน น้ำซุปหน่อไม้น้ำค้างก็ถูกทั้งคู่จัดการจนหมดเกลี้ยง โดยความเป็นจริงนั้นโจวเหว่ยชิงได้กินแค่เพียง 1 ใน 3 ส่วนเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่างกวนปิงเอ๋อร์จัดการไปจนหมด
หลังจากกินจนหมดหม้อ เธอซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เลียริมฝีปากของเธอและยื่นลิ้นสีชมพูเล็กๆ น่ารักของเธอออกมาราวกับว่าไม่พอใจที่อาหารหมด เนื่องจากเธอมักจะกินอาหารที่โรงอาหารของกองทัพ และที่โรงอาหารนั่นก็ไม่เคยมีอาหารอร่อยๆ เลย!
เธอหันไปมองโจวเหว่ยชิงด้วยท่าทางประหม่า และบังเอิญเห็นว่าเขายังคงเคี้ยวอาหารแห้งอยู่ ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความเสียใจและอับอาย เธอกำลังคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอปฏิเสธจะให้อาหารแห้งกับเขาก่อนหน้านี้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วเธอก็กลับมากินอาหารดีๆ ของเขาอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าที่งดงามของเธอจึงเห่อร้อนและแดงซ่านด้วยความอาย
โจวเหว่ยชิงถามขึ้นมาเบาๆ “อร่อยไหม?”
“อะ…อื้ม” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย
โจวเหว่ยชิงยิ้มแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า “ถ้าอย่างนั้น ในอนาคตข้าจะทำซุปนี่ไว้ให้เจ้าบ่อยๆดีหรือไม่?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง
โจวเหว่ยชิงเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งพร้อมกับคำพูดที่น่าอายว่า “อะแฮ่ม เนื่องจากข้าเป็นบุรุษที่หล่อเหลาแถมยังเก่งงานครัว ดังนั้นเจ้าจะให้โอกาสข้าเกี้ยวพาเจ้าได้หรือไม่?”
เนื่องจากคำพูดก่อนหน้าของเขายังสะท้อนอยู่ในใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงเกือบพยักหน้ารับ “เอ่อ… เอ๊ะ!  ไม่!”
จากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้ว่าเธอถูกหลอก เธอจึงกระโจนไปหาเขาด้วยท่าทีคุกคามเช่นเคย แต่เมื่อเธอกำลังจะต่อว่าโจวเหว่ยชิงด้วยความโกรธ เธอก็เห็นว่าชายคนนี้กำลังยกมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะราวกับบอกว่ายอมแพ้แล้ว จากนั้นก็รีบลงไปนอนขดตัวอยู่บนพื้น พูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “ถึงแม้ท่านจะไม่ตกลง แต่ท่านก็ไม่ควรจะตีข้านะ!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อใช้เท้าสะกิดเบาๆ ที่บั้นท้ายของเขาก่อนจะพูดอย่างหงุดหงิด “ใครจะตีเจ้ากัน? ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
พวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง และแม้ว่าคราวนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะยังมีท่าทีไม่สนใจอ้วนน้อยโจวเหมือนเดิม แต่หลังจากได้กินซุปหน่อไม้ของเขา เธอก็ไม่สามารถแสดงสีหน้าเย็นชาได้อีกต่อไป
“ผู้บัญชาการกองพัน เราจะไปที่ไหนกันเหรอ? อย่างน้อยก็ใบ้ให้ข้ารู้สักนิดจะได้ไหม ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตาเขาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “เรากำลังจะไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้า อาณาจักรเฟยหลี่”
โจวเหว่ยชิงชะงักด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะพาเขาไปยังสถานที่ห่างไกลขนาดนั้น ถึงว่าล่ะ…ไม่น่าแปลกใจที่เธอพูดก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาจะไม่กลับไปที่ค่ายเป็นเวลาหลายเดือน
อาณาจักรเฟยหลี่ และอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีชายแดนติดกัน และอาณาจักรนี้ก็ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ อาณาจักรเฟยหลี่เป็นหนึ่งในอาณาจักรใหญ่บนดินแดนไร้ขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้นยังมีขนาดใหญ่กว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เกือบร้อยเท่า! ในบรรดาอาณาจักรต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในทวีปฝั่งตะวันตกของดินแดนไร้ขอบเขตนั้น มีเพียงอาณาจักรป่ายต้าเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับอาณาจักรเฟยหลี่ ซึ่งอาณาจักรป่ายต้าไม่ได้มีชายแดนติดกับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เนื่องจากมีอาณาจักรคาลิเซคั่นอยู่ตรงกลาง
สำหรับเมืองภูเขาลอยฟ้าที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดถึงนั้น โจวเหว่ยชิงย่อมรู้จักเช่นกัน เมืองภูเขาลอยฟ้าเป็นหนึ่งในหัวเมืองที่สำคัญที่สุดทางภาคใต้ของอาณาจักรเฟยหลี่ และยังเป็น 1 ใน 5 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเฟยหลี่อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังใหญ่กว่าเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ประมาณ 10 เท่าและมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรเฟยหลี่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เหมือนกับที่อาณาจักรคาลิเซมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับอาณาจักรป่ายต้า นอกเหนือจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรคาลิเซแล้วก็ยังมีอาณาจักรเล็กๆ อีกมากมายตั้งอยู่รายรอบอาณาจักรป่ายต้าและอาณาจักรเฟยหลี่ ซึ่งอาณาจักรเล็กๆ เหล่านั้นก็ทำหน้าที่คล้ายกับตัวกันชนวนระหว่างอาณาจักรใหญ่สองอาณาจักรนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะอาณาจักรเล็กๆ พวกนั้น อาณาจักรใหญ่ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันอย่างมากนี้อาจจะเปิดสงครามครั้งใหญ่กันไปแล้วก็เป็นได้
“นี่เรากำลังจะไปเมืองภูเขาลอยฟ้างั้นหรือ? นั่นไกลเกินไปหรือไม่?!! ถึงแม้ว่าพวกเราจะเดินทางเร็วมาก แต่ถึงจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเหมือนที่เรากำลังทำอยู่นี่ก็ตั้งอย่างน้อย 10 วันกว่าจะไปถึงนะ! ฉะนั้นข้าว่าพวกเรานั่งรถม้าจากสถานีไปไม่ดีกว่าหรือ? นั่นใช้เวลาแค่ประมาณ 5 วันเองนะขอรับ!” แม้ว่าพวกเขาจะวิ่งได้เร็วมาก แต่ก็ยังเทียบกับความเร็วฝีเท้าของม้าไม่ได้ เนื่องจากระหว่างอาณาจักรมีสถานีขนส่งและรถม้าเพื่อใช้ขนส่งพิเศษจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ไปยังเมืองภูเขาลอยฟ้า ซึ่งนั่นย่อมเร็วกว่าการเดินไปที่นั่นด้วยเท้า
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตาไปมองเขา จากนั้นก็พูดว่า “การโดยสารรถม้านั้นย่อมเสียเงิน แค่ค่าโดยสารก็ปาไปแล้วตั้ง 2 เหรียญทองต่อคน และแน่นอนว่านั่นไม่รวมอาหาร แต่หากเราเดินทางด้วยเท้า อย่างมากพวกเราก็ซื้อแค่พวกอาหารแห้ง ดังนั้นพวกเราทั้งคู่จะใช้เงินทั้งหมดตลอดการเดินทางน้อยกว่า 1 เหรียญทองซะอีก”
โจวเหว่ยชิงจ้องมองเธออย่างตะลึงงัน “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าท่านเป็นคนมัธยัสถ์ขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นถึงหนึ่งในเสาหลักของอาณาจักรและเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของอาณาจักร ท่านเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด และยังเป็นขุนนางขั้นที่ 4 อีกด้วย! เงินเดือนของท่านควรอยู่ที่ประมาณ 80 ถึง 100 เหรียญทอง ฉะนั้นเหตุใดท่านต้องเสียดายเหรียญทองเพียงแค่ 4 เหรียญด้วย!?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “โลหะดีๆ ย่อมต้องเก็บไว้ตีส่วนคมดาบ[1] ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เราต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อใช้ฝึกฝนเลื่อนระดับ อาณาจักรได้มอบอะไรให้ข้ามามากมายแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงควรประหยัดในสิ่งที่ไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเพิ่งจะกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เดินทางในระยะแค่นี้ไม่ถือว่าสาหัสอะไร ดังนั้นเจ้าควรใช้โอกาสนี้ปรับตัวให้เข้ากับมณีสวรรค์ของเจ้าจะดีกว่า”
โจวเหว่ยชิงยกนิ้วโป้งขึ้นโบกไปมาให้แก่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงถามอย่างสงสัย “เจ้ากำลังทำอะไร?”
โจวเหว่ยชิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮี่ฮี่ การแต่งงานกับเจ้าน่าจะเป็นอะไรที่ความสุขเสียจริงเลยน้า…”
ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง “เจ้าอยากจะโดนดีอีกรอบหรือไง?!!”
โจวเหว่ยชิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าผิดไปแล้ว!! แต่ว่า…นี่พวกเรากำลังจะไปเมืองภูเขาลอยฟ้าทำไมหรือ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แทบจะข่มความอยากทุบตีเขาไว้ไม่ได้  เจ้าคนไร้ยางอายนี่มักจะยอมรับผิดก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเลย
“พวกเราจะลองไปเสี่ยงโชคดู ข้าเพิ่งปลุกมณีสวรรค์ดวงที่สองสำเร็จ และมณีสวรรค์ดวงแรกของเจ้าก็ยังไม่มีศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะธาตุเลย อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราไม่มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์หรือวังกักเก็บทักษะเหมือนพวกเมืองใหญ่ๆ และเมืองภูเขาลอยฟ้าเป็นเมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุดสำหรับเรา”
เมื่อได้ฟังเธอพูด จิตวิญญาณของก็พลุ่งพล่านเป็นอย่างมาก “ผู้บัญชาการกองพัน ถ้าท่านไม่ให้ข้าสร้างชุดเกราะ แล้วท่านจะให้ข้าสร้างอะไรแทนล่ะ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว “มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดน่ะสิ! ประการแรก ไม่ว่าเราจะได้พบกับคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรืออสูรสวรรค์ที่มีทักษะธาตุที่เหมาะสมกับเรามากแค่ไหน แต่บางทีเราอาจจะไม่มีเงินเพียงพอจะซื้อมันก็ได้ ก็อย่างที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ เราต้องอาศัยดวงเพียงแค่นั้น
สำหรับจ้าวมณีสวรรค์นั้น ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุนั้นสำคัญมาก เพราะเมื่อเราทำสองขั้นตอนใหญ่นี้เสร็จแล้ว เราก็จะสามารถใช้พลังมณีทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เจ้าจงจำคำสัญญา 3 ข้อของเราไว้ให้ดี หากข้าไม่อนุญาติ เจ้าห้ามเปิดเผยว่าเจ้าคือจ้าวมณีสวรรค์เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามให้ใครรู้เกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้า ได้ยินใช่ไหม?”
“ข้าได้ยินแล้ว!” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้เขาตื่นเต้นมากที่จะได้สัมผัสกับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุเป็นครั้งแรก เพียงแค่คิดเขาก็รู้สึกว่ามันช่างดีเหลือเกิน คล้ายกับว่าเขากำลังค่อยๆ เข้าก้าวเข้าสู่โลกของจ้าวมณี ความรู้สึกนี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากจนทำให้เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไปแม้จะกำลังวิ่งอยู่ก็ตาม

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่เปล่งประกายสีเขียวอมฟ้าขณะลอยวนอยู่บนข้อมือโจวเหว่ยชิง เขากำลังใช้ทักษะธาตุลมอยู่นั่นเอง
เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าว “เจ้ามีพรสวรรค์ที่ดี แต่นั่นย่อมมาพร้อมกับปัญหา มณีธาตุของเจ้าประกอบด้วย 5 ทักษะธาตุที่แข็งแกร่ง นั่นย่อมหมายถึงมณีธาตุของเจ้าต้องกักเก็บทักษะธาตุไว้ถึง 5 ธาตุ และราคาของมันเมื่อรวมกันแล้วย่อมแพงมหาศาลจนแม้แต่กระทั่งอาณาจักรของเราก็ยังไม่อาจจะช่วยเหลือได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะธาตุของเจ้ายังมีทั้งทักษะธาตุมืด ทักษะธาตุมิติ รวมไปถึงทักษะธาตุปีศาจซึ่งเป็นทักษะที่ทรงพลังมาก ทั้งหมดนั่นย่อมหมายถึงหากเจ้าต้องการจะกักเก็บทักษะธาตุจากพวกมัน เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ที่มีระดับความยากอยู่ในขั้นที่สูงมาก ดังนั้นเส้นทางการฝึกของเจ้าจึงดูยากลำบากกว่าจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นถึงร้อยเท่าเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเปิดเผยไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้าให้ผู้อื่นรู้ก็เป็นเพราะข้ากลัวว่าเมื่อจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นเห็นความสามารถของเจ้า พวกเขาคงจะอยากสังหารเจ้าให้ตาย ยิ่งจ้าวมณีคนใดมีความสามารถมาก ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะตายตั้งแต่อายุยังน้อย
ยกเว้นเสียแต่ว่า…”
…………………………………..
[1] สำนวน โลหะดีๆ เก็บไว้ตีส่วนคมดาบ (最好的合金都是用在刀刃上) หมายถึง การใช้ทรัพยากรที่มีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

Heavenly Jewel Change

Heavenly Jewel Change

ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์ ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!? ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น… หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย! ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตา ไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขา มันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด! สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า… แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ? ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร! นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร Every human has their Personal Jewel of power, when awakened it can either be an Elemental Jewel or Physical Jewel. They circle the right and left wrists like bracelets of power. Heavenly Jewels are like the twins born, meaning when both Elemental and Physical Jewels are Awakened for the same person, the pair is known as Heavenly Jewels. Those who have the Physical Jewels are known as Physical Jewel Masters, those with Elemental Jewels are Elemental Jewel Masters, and those who train with Heavenly Jewels are naturally called Heavenly Jewel Masters. Heavenly Jewel Masters have a highest level of 12 pairs of jewels, as such their training progress is known as Heavenly Jewels 12 Changes. Our MC here is an archer who has such a pair of Heavenly Jewels.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset