Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา – บทที่ 25.1 แม่ทัพโจวมาถึง (1)

“เอามือเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว “เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น? ฮึ่ม! ให้ข้าตัด ‘เจ้านั่น’ ออกสิ แล้วข้าก็จะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!”
โจวเหว่ยชิงเผลอหนีบขาทั้ง 2 ข้างเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะก้าวถอยหลังกลับไป 2-3 ก้าวด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของเขาซีดเผือก “ปิงเอ๋อร์ อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นไป! เพื่อความสุขในอนาคตของเจ้า…ข้า…ไม่เอารางวัลก็ได้”
“หึ แสดงละครของเจ้าต่อไปเถอะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งรู้สึกรำคาญและขบขันไปในเวลาเดียวกันเมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้น ความทรงจำเมื่อคืนวานก็แวบผ่านเข้ามาในหัวเธออีกครั้ง นัยน์ตาของเธอจึงค่อยๆอ่อนลงทันที จู่ๆ แสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นมาโอบล้อมรอบตัวเธอเอาไว้ โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าอากาศเบื้องหน้าเขาขยับวูบไหว จากนั้นร่างนุ่มนิ่มก็พุ่งเข้ามาสวมกอดตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะได้ทันขยับตัว ทั่วร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปล่งแสงสีเขียวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็หายไปวับไปในทันที ทิ้งไว้เพียงการเคลื่อนไหวของม่านกระโจมที่บ่งบอกว่าเมื่อสักครู่เคยมีคนเข้ามา
“ฮ่าๆ…ฮ่าๆ…” โจวเหว่ยชิงยืนหัวเราะอย่างโง่เง่ากับตัวเอง เขาก้มหน้าลงไปมองเสือขาวตัวน้อยในอ้อมแขนแล้วพูดอย่างมีความสุข  “เจ้าเห็นไหม! เห็นนั่นไหม?! ปิงเออร์กอดข้า เธอเพิ่งกอดข้าด้วยตัวเอง! ฮ่าๆ! การทำตัวเป็นสุภาพบุรุษนี่ช่างให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เสือขาวตัวน้อยกลอกตาราวกับกำลังจะบอกว่า ดูเจ้าสิ เฮ้อ จากนั้นมันก็ไม่ใส่ใจเด็กหนุ่มอีก ลูกเสือขาวขยับตัวซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเขามากยิ่งขึ้นก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปถึงครึ่งเดือนแล้ว ดูเหมือนว่าหลังจากเหตุการณ์ที่พวกเขาลอบเข้าไปโจมตีในวันนั้น อาณาจักรคาลิเซก็ไม่ได้มีท่าทีตอบโต้อะไรกลับมา และการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทั้งยังเป็นการปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ ตามปกติอีกด้วย
ในครึ่งเดือนนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกปราณอย่างเงียบๆ นอกจากรับประทานอาหาร 3 มื้อแล้ว ทั้งวันเธอก็ไม่เคยก้าวออกจากกระโจมเลย ด้านโจวเหว่ยชิง เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกปราณเช่นกัน นอกเหนือจากการเพิ่มระดับปราณสวรรค์แล้ว เขายังใช้เวลาไปกับการพยายามรื้อฟื้นความรู้สึกในช่วงเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างและวิธีที่เขาใช้ฆ่าหมาป่าโลกันตร์ พยายามค้นหาวิธีที่จะใช้ทักษะธาตุของเขาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเรียนรู้วิธีการจับคู่ทักษะธาตุต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อใช้ประสานในการต่อสู้ ด้วยอัตราการฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ที่รวดเร็ว เขาจึงสามารถผสมทักษะธาตุบางชนิดเข้าด้วยกันได้
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือ ใน 15 วันที่ผ่านมานี้เสือขาวตัวน้อยของตนไม่ยอมกินอาหารใดๆ เลย ตอนแรกเขาค่อนข้างกังวลและพยายามบังคับป้อนอาหารให้มัน แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเจ้าตัวน้อยก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยพละกำลังมากขึ้นโดยไม่ต้องกินอะไรทั้งสิ้น มันไม่มีท่าทางหิวโหยหรือหดหู่ซึมเศร้าอะไรเลยด้วยซ้ำ โดยปกติแล้วโจวเหว่ยชิงเป็นคนไม่พิถีพิถันอะไรมากนัก เขาจึงทึกทักเอาว่านั่นน่าจะเป็นพลังของอสูรสวรรค์ตัวนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
ในตอนเย็น
“เหว่ยน้อย เจ้าอยู่ไหม?” เสียงที่คุ้นเคยของเซียวหรูเซ่อดังออกมาจากข้างนอกกระโจม สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาสามารถหยุดการฝึกปราณได้ทุกเมื่อเนื่องจากหลุมดำพลังปราณทั้ง 5 นั้นสามารถดูดกลืนพลังปราณจากภายนอกได้ตลอดเวลา หากพูดว่าฝึกปราณ นั่นหมายความว่าเขากำลังมุ่งสมาธิไปที่หลุมดำพวกนั้น เพื่อเร่งความเร็วในการดูดกลืนพลังปราณให้เพิ่มขึ้นมากกว่าปกตินั่นเอง เมื่อเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจึงสามารถฝึกปราณได้ทุกท่า ไม่ว่าจะท่านั่งหรือท่านอนราบโดยไม่มีความแตกต่าง โดยปกติแล้วส่วนใหญ่เขาเลือกที่จะนอนราบ ถึงแม้บางครั้งเขาจะเผลอหลับไปบ้างก็ตาม
เมื่อได้ยินว่าเซียวหรูเซ่ออยู่ข้างนอก เขาก็หยุดฝึกปราณอย่างรวดเร็วและร้องตอบออกไป “ท่านพี่หรูเซ่อ ข้าอยู่ที่นี่ เข้ามาสิ”
เซียวหรูเซ่อเข้ามาข้างในกระโจม ชุดเครื่องแบบของเธอประดับไปอุปกรณ์ทหารเต็มรูปแบบ เสริมให้บุคลิกของเธอดูองอาจและสง่างาม ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงกำลังฝึกปราณอย่างอิสระเสรี เธอต้องทำงานอย่างหนักเพื่อจัดตั้งกองทหาร ฝึกทหารและแบ่งทหารใหม่ออกเป็นหมู่และกองร้อยต่างๆ เมื่อเธอเข้ามาข้างใน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงรัศมีของทหารกล้าที่แผ่ออกมาจากร่างของเธอได้อย่างชัดเจน
“หืมมมม” โจวเหว่ยชิงแอบจ้องที่หน้าอกของเซียวหรูเซ่อและถอนหายใจออกมาเบาๆ
เซียวหรูเซ่อจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจอมเจ้าเล่ห์ตัวน้อยคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงพูดอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าโง่เหว่ยน้อย เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?”
โจวเหว่ยชิงมองเธอด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและพูดว่า “เปล่า! ข้ามองอะไรหรือ?” การแสดงออกว่าตนไร้เดียงสาอย่างหน้าด้านๆคือความสามารถเฉพาะตัวที่ดีที่สุดของเขาอยู่แล้ว
เซียวหรูเซ่อส่งเสียงฮึแล้วพูดว่า “อ้วนน้อยตัวเหม็น! ตามข้ามา ข้าต้องไปเรียกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วย”
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เรากำลังจะไปทำอะไรหรือ?”
การแสดงออกของเซียวหรูเซ่อค่อนข้างมีพิรุธเล็กน้อย เธอยิ้มกว้างและพูดว่า “มากับข้าแล้วเจ้าจะรู้เอง กองบัญชาการใหญ่ได้ส่งคำตัดสินของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาแล้ว เจ้าไม่อยากรู้เหรอ? ท่านพี่ของเจ้าจะพาไปดูเอง เพราะยังไงซะเจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวหรูเซ่อ โจวเหว่ยชิงก็แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นทันที เขาได้บอกกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่ว่าเธอจะทำอะไรเขาก็จะติดตามเธอไปแน่นอน อย่างไรก็ตามนี่คือกองทัพ และทหารก็ต้องทำตามคำสั่ง หากรู้ว่าคำตัดสินของเธอคืออะไร มันก็จะง่ายสำหรับพวกเขาที่จะวางแผนสิ่งต่างๆ ในอนาคต ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงซุกเสือขาวตัวน้อยเข้าไปในชุดเกราะหนังของเขาและติดตามเซียวหรูเซ่อออกจากกระโจมไป
เซียวหรูเซ่อเดินไปที่กระโจมด้านข้างเพื่อเรียกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ก่อนนำทั้งสองไปมุ่งหน้าไปยังกระโจมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการใหญ่ของกรมทหารที่ 5
ขณะที่พวกเขากำลังเดินตามเซียวหรูเซ่อไป โจวเหว่ยชิงก็สังเกตว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังก้มหน้าลงต่ำและสีหน้าของเธอก็ค่อนข้างซีดเซียว เขาสะกิดเธอด้วยไหล่ของเขาและถามเบาๆ “ปิงเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ? เจ้ากำลังคิดเรื่องอะไร?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “อ้วนน้อย ฝ่าบาทและแม่ทัพโจวไว้วางใจข้ามาก พวกเขาให้ข้าดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพัน…แต่ข้ากลับทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง ถึงขั้นลาออกด้วยตัวเอง…”
โจวเหว่ยชิงพูดอย่างสง่าผ่าเผย “อย่าเศร้าไปเลย มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินใจผิดพลาดไป ด้วยความใจดีและอ่อนโยนของเจ้า เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำกองทัพหรอก หึ จ้าวมณีสวรรค์ที่มีความสามารถเช่นเจ้า พวกเขาไม่ยอมให้ฝึกปราณดีๆ กลับส่งเจ้าไปให้กองทัพแทน เพราะฉะนั้นพวกเขามีสิทธิอะไรมาตำหนิเจ้าล่ะ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตื่นตระหนกอย่างมาก เธอรีบยกมืออุดปากเขาอย่างรวดเร็วและจ้องเขม็งไปยังเซียวหรูเซ่อที่เดินนำอยู่ข้างหน้า “อ้วนน้อย อย่าพูดอะไรเหลวไหล ทำไมเจ้าถึงกล้าพูดถึงองค์จักรพรรดิกับแม่ทัพโจวแบบนั้น? ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นความผิดของข้าเอง”
โจวเหว่ยชิงรีบฉวยโอกาสจับมือเธอและบีบมันไว้ขณะที่เขาพูด “นั่นไม่สำคัญหรอก  ไม่ว่าคำตัดสินของเจ้าคืออะไร ข้าก็จะไปกับเจ้า”
เซียวหรูเซ่อที่อยู่ข้างหน้าหันมามองพวกเขา รอยยิ้มเล็กๆ ที่แฝงด้วยเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกใจกับการกระทำที่ใกล้ชิดของโจวเหว่ยชิง นี่มันกลางค่ายทหารเลยนะเจ้าบ้า! เธอรีบดึงมือของเธอกลับมาอย่างรวดเร็วและมองเขาด้วยความโกรธ “ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้าแล้ว ทำตัวดีๆ หน่อย!”
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาพูดคุยกัน ในที่สุดพวกเขามาถึงกระโจมกองบัญชาการใหญ่เสียที นี่เป็นครั้งแรกของโจวเหว่ยชิงที่จะได้เข้าไปในกระโจมที่ใหญ่ขนาดนี้ กระโจมกองบัญชาการใหญ่นั้นมีขนาดกว้างมาก ตัวกระโจมทำมาจากหนังวัวที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี โครงสร้างเป็นโลหะผสมอย่างดีเพื่อรองรับน้ำหนักผ้าที่ทำจากหนังวัว หากมีการประชุมทหารเกิดขึ้น ข้างในนี้ก็มีขนาดใหญ่พอที่จะจุคนได้กว่า 100 คนเลยทีเดียว
ในขณะที่ประตูทางเข้ากระโจมถูกเลิกขึ้น เซียวหรูเซ่อก็หยุดและพูดเสียงดัง “กองพันที่ 3 เซียวเซ่อ รายงานตัว”
“กองพันที่ 3 ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ รายงานตัว”
เมื่อได้ฟังพวกเขาร้องตะโกน โจวเหว่ยชิงก็มองเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเมื่อกวาดสายตามองเข้าไปภายใน เด็กหนุ่มก็ต้องตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง
ตรงกลางกระโจมมีชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างแข็งแรงกำยำ อายุประมาณ 50 ปีกำลังนั่งปักหลักอยู่ กล้ามเนื้อสีทองแดงของเขาดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี ชายหนุ่มมีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมองอาจ ดวงตาคมกริบและสันจมูกตรง แม้ว่าเขากำลังนั่งอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีรูปร่างขนาดสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งคล้ายสลักเสลาขึ้นมาจากหินผาทำให้ชุดเครื่องแบบทหารสีดำแทบปริออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักรบผู้กล้าหาญ
แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงเห็นใบหน้าเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน นั่นคงไม่ใช่บิดาของเขา คนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวสุ่ยหนิว แม่ทัพใหญ่โจวใช่ไหม?
ข้างกายแม่ทัพโจวมีผู้บัญชาการกรมทหารที่ 5 เกาเฉิน และรองผู้บัญชาการเฉียนจ้านเทียนยืนอยู่คนละข้าง เนื่องจากตอนนี้พวกเขากำลังยืนตรงทำความเคารพอยู่ด้วยสีหน้าหวาดกลัวและเคารพนอบน้อม จึงดูเหมือนว่าทั้ง 2 นั้นกลายเป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้ซึ่งมักจะออกคำสั่งกับทหารทั้งกรมอย่างเยือกเย็นดั่งเช่นที่เคยเป็นมาตลอด

“เข้ามา” น้ำเสียงทุ้มหนักของแม่ทัพโจวเอ่ยขึ้น
ในใจของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความเศร้าสลด เขาเสียใจมากที่ติดตามทั้งสองคนมาที่นี่ ทันใดนั้นเขาก็จ้องไปที่เซียวหรูเซ่อ คิดกับตัวเองว่า ท่านพี่หรูเซ่อ ครั้งนี้ท่านทำให้ข้าเดือดร้อนมาก! หากบิดาจับตัวข้าได้ เขาจะต้องตีข้าจนตายแน่!
จอมเจ้าเล่ห์น้อยคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนตัวออกไปด้านข้าง ก้มหัวลงและปรับหมวกลมให้บังใบหน้าของเขาเอาไว้ แผนการของโจวเหว่ยชิงคือทำตัวกลมกลืนไปกับเจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นๆ เพื่อให้บิดาไม่สามารถสังเกตเห็นตนได้
เซียวหรูเซ่อมองเห็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงกำลังทำอยู่ เธอจึงถอนหายใจออกมาและคิดกับตัวเองว่า ขอโทษนะเหว่ยน้อย ไม่ใช่ว่าท่านพี่คนนี้ไม่ต้องการช่วยเหลือเจ้า แต่ลุงโจวมีเจ้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียว หากเขาไม่ได้มาด้วยตัวเอง ข้าก็จะยังสามารถช่วยเจ้าซ่อนตัวจากเขาและไม่รายงานอะไรเกี่ยวกับเจ้า แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ ข้าจะซ่อนเจ้าไว้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มุทะลุเกินไป พวกเจ้ากล้าถึงขนาดลอบเข้าไปโจมตีค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซ เจ้าสองคนคิดจริงๆ หรือว่าไม่มีใครรู้? ยุ้งฉางเก็บเสบียงของพวกเขาถูกทำลายไปถึง 1 ใน 10 ปัญหาใหญ่ขนาดนี้เจ้าจะปิดบังพวกเราได้อย่างไร?
ในคืนนั้น เมื่อโจวเหว่ยชิงยิงลูกศรราชันอัสนีบาตออกไป ยุ้งฉางหลัก 1 ใน 10 ของอาณาจักรคาลิเซที่มีเสบียงของกองทัพจำนวนมากเก็บไว้ในนั้นถูกเผาไม้จนไม่เหลือซากเพราะไฟจากสายฟ้าของเขา ไม่นานหลังจากนั้น หน่วยสอดแนมและสายลับของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ก็ได้รายงานข่าวนี้กลับมายังกองบัญชาการใหญ่ทันที หลังจากตรวจสอบอย่างรวดเร็วว่าจ้าวมณีคนใดออกจากกระโจมไปบ้าง มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะคาดเดาตัว ‘ผู้ร้าย’ ได้ แน่นอนสำหรับเซียวหรูเซ่อมันง่ายมากที่จะเดาได้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ย่อมไม่ทำเรื่องนี้คนเดียวแน่
เซียวหรูเซ่อและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินคำตอบรับของแม่ทัพโจว พวกเขาจึงเดินเข้าไปในกระโจมทันที ในเวลาเดียวกัน โจวเหว่ยชิงก็พยายามจะหลบเลี่ยงไปอยู่ด้านข้าง เด็กหนุ่มถอยออกไปด้านหลังและคิดว่าตนทำสำเร็จแล้วจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ในขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวหันหลังกลับเพื่อวิ่งหนีไปนั่นเอง ณ เวลานั้นน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของแม่ทัพโจวก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังกึกก้อง “เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้ารีบเข้ามาข้างในเดี๋ยวนี้! อย่าให้บิดาของเจ้าต้องออกไปหาแล้วจับเจ้าด้วยตัวเอง”
โจวเหว่ยชิงถูกเสียงนั้นตรึงอยู่กับที่ทันที เขากระจ่างแจ้งแล้วว่าตนถูกท่านพี่หรูเซ่อขาย ตอนนี้ไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัวเลยแม้แต่น้อย กับบิดาผู้แข็งแกร่งของเขา เขาจะหนีพ้นได้อย่างไร? ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน จากนั้นก็เดินคอตกกลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง
เซียวหรูเซ่อรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไร แต่สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้น ในตอนนี้เธอกลับกำลังตกตะลึงเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ทัพโจวยังนั่งอยู่ตรงหน้า เธออาจจะรีบพุ่งตัวเข้าไปถามโจวเหว่ยชิงแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แม่ทัพโจวไม่แม้แต่จะปรายตามองไปยังโจวเหว่ยชิง เขาพูดอย่างเยือกเย็น “ไปคุกเข่าที่มุมนั้น เมื่อข้าทำธุระเสร็จ ข้าจะไปจัดการกับเจ้า”
แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่เต็มใจและไม่พอใจเพียงใดเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินลีบๆไปที่มุมด้านข้างของบิดาแล้วคุกเข่าลง ศีรษะของเขาก้มต่ำและหมวกลมก็เลื่อนลงมาปิดบังสีหน้าของเด็กหนุ่มเอาไว้
แม่ทัพโจวหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ น้ำเสียงของเขากลายเป็นอบอุ่นขึ้นมาทันที “ปิงเอ๋อร์ บอกข้าว่าทำไมเจ้าถึงไม่ต้องการเป็นผู้บัญชาการกองพันอีกต่อไปแล้ว?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ปิงเอ๋อร์ยังขาดความสามารถและมีความรู้ตื้นเขินนัก ข้าไม่เคยเรียนรู้วิธีบัญชาการกองทัพมาก่อน และข้าก็ไม่คิดว่าข้าจะสามารถดำรงตำแหน่งที่สำคัญเช่นนั้นได้ ในฐานะทหาร ข้าไม่เคยหวาดกลัวความตาย ข้ายินดีที่จะต่อสู้และตายในสนามรบ แต่ข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นสหายของข้าล้มตายเพราะข้าไม่มีความสามารถในการบัญชาการรบพวกเขา ดังนั้น ท่านแม่ทัพ ปลดข้าออกจากตำแหน่งนี้เถิด ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวสามารถรับช่วงต่อจากข้าได้ดีมากกว่า”
………………………………

Heavenly Jewel Change

Heavenly Jewel Change

ในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอ มีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์ ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!? ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น… หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย! ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตา ไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขา มันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด! สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า… แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ? ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร! นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร Every human has their Personal Jewel of power, when awakened it can either be an Elemental Jewel or Physical Jewel. They circle the right and left wrists like bracelets of power. Heavenly Jewels are like the twins born, meaning when both Elemental and Physical Jewels are Awakened for the same person, the pair is known as Heavenly Jewels. Those who have the Physical Jewels are known as Physical Jewel Masters, those with Elemental Jewels are Elemental Jewel Masters, and those who train with Heavenly Jewels are naturally called Heavenly Jewel Masters. Heavenly Jewel Masters have a highest level of 12 pairs of jewels, as such their training progress is known as Heavenly Jewels 12 Changes. Our MC here is an archer who has such a pair of Heavenly Jewels.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset