I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 21. กิลด์โนเบลส(2)

chapter 21 กิลด์โนเบลส(2)

พื้นที่ใต้ดินถูกเตรียมโดยสมาคม.

นี้เป็นสถานที่ที่จะใช้ประลองกิลด์.

อเวคที่เข้าร่วมเดินไปที่ตรงกลาง และพื้นก็เลื่อนลงไป ซึ่งได้พาพวกเขาไปยังพื้นที่โล่งใต้ดิน.

พวกที่ไม่ได้เข้าร่วมจากทั้งสองกิลด์ เช่น ผม สามารถมองดูได้จากชั้นบน.

พื้นซึ่งทำจากกระจกได้โปร่งใสพอที่จะมองผ่าน เผยให้เห็นพื้นที่ขนาดครึ่งสนามฟุตบอล.

สิ่งก่อสร้างถูกสร้างด้วยหินเลือดที่ถลุงแล้ว ดังนั้นมันจะไม่พังลงภายใต้เวทย์มนต์หรือสกิลโจมตรี.

มันเป็นสิ่งที่พัฒนาอย่างเร่งด่วนหลังเหตุก่อการร้าย 6 ปีที่แล้ว ที่ ‘ศูนย์กลางการวิจัยพืช’ และใช้สิ่งที่คิดค้นมาในปัจจุบันสำหรับสิ่งก่อสร้างที่สำคัญๆของรัฐบาล.

แต่ละข้างประกอบด้วย 27 คน.

แผนของแต่ละกิลด์แตกต่างกันอย่างชัดเจน.

โนเบลส <<8 แทงค์, 4 ฮีลเลอร์, 1 บาร์ด, 4 จอมเวทย์, 10 นักรบ>>

โนเบลสเป็นแผนเน้นป้องกัน.

เอ็มไพร์ <<4 แทงค์, 4 ฮีลเลอร์, 1 บาร์ด, 3 นักฆ่า, 6 จอมเวทย์, 8 นักรบ, 1 นักธนู>>

ในทางกลับกัน เอ็มไพร์เป็นแผนเน้นโจมตรี.

พวกที่เข้าการปะลองเป็นท็อป 5% ในหมู่อเวคของกิลด์ ดังนั้นดีบัฟของจอมขมังเวทย์, หมอผี, บุคคลใช้ไสยเวทย์จึงไม่ส่งผลต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก และก็ไม่พบในฐานะผู้เข้าร่วมในทั้งสองกิลด์.

ทุกคนส่วมเสื้อกั๊กที่รัฐบาลเตรียมไว้.

มันเป็นเสื้อที่แสดงพลังชีวิตของคุณ เพื่อให้สมาคมเฝ้าดูแลในกรณีที่คุณจะตาย. เสื้อกั๊กที่สมาคมเท่านั้นที่อนุญาตให้ใช้.

สงครามกิลด์จะไม่อนุญาตให้เริ่มโดยปราศจากเสื้อกั๊กนี้ เนื่องจากพวกเขาสามารถรักษาได้ตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตด้วยสกิล ‘สเตตัส เนเกชั่น’.

ยิ่งไปกว่านั้นสมาคมไม่อนุญาตให้มีการฆ่าฟันกันเกิดขึ้น ดังนั้นถ้ามีใครตายเกิดขึ้น กิลด์จะได้รับบทลงโทษมหาศาล. การประลองกิลด์เป็นการต่อสู้ที่ไม่สูญเสียชีวิต แต่สู้เพื่อความภาคภูมิใจ.

แบ่งเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตก ทุกคนร่ายบัฟอย่างเร่งรีบและเริ่มใช้กลยุทธ์.

เสียงเพลงของบาร์ดก้องผสานกันในชั้นใต้ดิน มีจุดเด่นแตกต่างกันระหว่างแต่ละกิลด์.

‘เกราะการ์เดี้ยน’ ถูกใช้โดยกิลด์โนเบลสเพื่อเพิ่มค่าป้องกันของพวกเขา ขณะที่กิลด์เอ็มไพร์ใช้ ‘ฮอร์นออฟแอดวานซ์ปาร์ตี้’ เพื่อการโจมตรีที่รวดเร็ว ทั้งคู่มีโมเมนตัมที่น่าอัศจรรย์ในกลยุทธ์ของพวกเขา. *โมเมนตัม ในการแข่งขันประมาณว่า กำลังใจ

เพื่อที่จะได้รับข้อมูลดีๆ ผมไปข้างซางมินและปาร์ตี้ของเขา.

“หวัดดี รุนพี่.”

“อ้า เราไม่ได้เจอกันสักพักแล้วนะมินซอล? ตอนนี้นายไม่ได้ยุ่งอยู่หรอ?”

“ใช่ ผมกำลังจะตายโดยการพยายามทำทั้งสองอย่าง ล่าและก็ไปเรียน”

“พักซะบ้าง ร่างกายของพวกเราคือโชคลาภของพวกเรา.”

หลังการทักทายสั่นๆ ประกาศสำหรับการประลองกิลด์ก็เริ่มต้น และสงครามกิลด?ก็ได้เปิดฉากขึ้น.

-โหลเทส โหลเทส. ‘โนเบลส’ ปะทะ ‘เอ็มไพร์’ การประลองกิลด์กำลังจะเริ่มขึ้นในอีก.

-[5. 4. 3. 2. 1. เริ่มได้!]

“รุ่นพี่ เวลเฉลี่ยของผู้เข้าแข่งขันเท่าไหร่หรอ?”

“อืม….. ทั้งสองกิลด์เป็นกิลด์ขนาดกลาง เวลก็แค่ราวๆ 150~170 เท่านั้นแหละ.”

‘อะไรกัน ดูเหมือนว่าเวลพวกเขาก็ไม่สูงเลยนิ? ผมสามารถแตะเวล 79 ในสองเดือนนิดๆ…..’

แน่นอน ผมกำลังเก็บเวลในความเร็วที่เร็วกว่าคนอื่นนับสิบเท่า แต่ผมผิดหวังที่ว่าทำไมเวลพวกเขาถึงไม่สูง ก็เมื่อมีการอเวคมาราวๆ 40 ปีแล้ว.

“ทำไมเวลต่ำจัง ก็มอนเตอร์ปรากฏตัวขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้วนิ?”

“มันเป็นเพราะกิลด์ของเราไม่ใช่กิลด์ใหญ่. กิลด์แรงค์สูงๆก็ประมาณเวล 300~350 บางทีก็มากกว่านั้น.”

“อ้า คุณรู้เวลของหัวหน้ากิลด์ของพวกเราป่ะ?”

“หัวหน้า? เท่าที่จำได้ เธอก็ไม่ 210 ละมั้ง? นายถามทำไม?”

“ก็แค่อยากรู้เท่านั้น…..”

ผมอดไม่ได้ที่จะสนใจปาร์คฮยอน. สำหรับสิ่งที่ไม่รู้ ในกรณีนี้…..

จากชั้นใต้ดิน เสียงครึกโครมของการทำลายก้องไปทั่ว.

ผมอดไม่ได้ที่จะเกาะติดเหตุการณ์ข้างล่าง.

ฝั่งตะวันตก แทงค์กิลด์โนเบลสได้คุ้มกันจอมเวทย์และฮีลเลอร์ทั้งหมดอยู่ ขณะที่ฝั่งตะวันออก นักฆ่าและนักธนูของกิลด์เอ็มไพร์มองหาช่องว่างในระหว่างนั้น.

นักรบของแต่ละกิลด์ต่อสู้อย่างดุเดือดในแนวหน้า และที่โดดเด่นที่สุดคือเลขาของปาร์คฮยอนผู้ที่ส่งดาบมาที่บ้านผม.

ด้วยการเคลื่อนไหวที่โดดเด่น โล่ของศัตรูถูกทำลายอย่างง่ายดาย.

“นั้นมัน ‘ลมกรด,’ สกิลนักรบแรงค์ A!” *ไม่ใช่กรดละลายนะคับ

รุ่นพี่ซางมินผู้ที่อยู่ข้างผมอธิบายด้วยทางทีที่ตื่นเต้นเหมือนกับเด็กกำลังมองขนมสายไหม.

ด้วยพลังหมุนที่ไม่น่าเชื่อ โล่ของศัตรูถูกทำลายและตามมาด้วยดาบทะลวง.

“นั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผมก็รู้. ดาบทะลวง ใช่ป่ะ?”

“ใช่. แต่นั้นมันไม่ใช่ดาบละลวงธรรมดา. มันเป็นดาบทะลวงอเวค.”

“อเวค? มันต่างกัน?”

“แน่นอน! เมื่อสกิลเวล 100 นายสามารถอเวคสกิลนั้นได้.”

“อะไรกัน มีหนังสือสกิลแยก?”

“ไม่. นายต้องได้รับ ‘แก่นแท้อเวค’ เพื่อที่จะได้รับมันเท่าที่เป็นไปได้. นายสามารถเพิ่มเวลอเวคสกิลเวล 100 อีกครั้ง. ทั้งหมดที่นายต้องทำก็คือใช้แก่นและก็เลือกสกิลที่นายต้องการ แต่มันง่ายที่จะพูด เพื่อที่จะได้รับแก่นแท้อเวคมันก็เหมือนกับการคว้าดาวบนฟ้า…..”

‘โอ้โห้…..’

ผมเข้าใจพื้นฐานอเวคสกิลอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าผมก็ได้รับข้อมูลบางอย่างที่ดี.

ผมกลับไปสนใจการประลองอีกครั้งและสังเกตว่าจอมเวทย์ของแต่ละข้างโจมตรีกันอ่อนแอเหลือเกิน.

จอมเวทย์ไม่ได้ใช้คาถาหมู่แต่ใช้เป้าหมายเดียวแทน.

เนื่องจากพวกเขาเป็นอเวคแรงค์สูงของกิลด์ ผมกำลังคิดว่าผมคงจะได้เห็น ‘อุกกาบาตถล่ม’ หรือไม่ก็ ‘ลาวาทะลัก’ สกิลซึ่งได้ยินมาจากจองโฮ.

“จอมเวทย์ไม่อ่อนเกินไปหรอ?”

“พวกเขากำลังจับตารอซึ่งกัน.”

“จับตารอ?”

“จอมเวทย์มีข้อจำกัดในมานาที่พวกเขามี ใช่มั้ยล่ะ? ในอีกความหมายนึง การใช้สกิลของพวกเขามีข้อจำกัด. นั้นเป็นเหตุที่ต้องรอจนแทงค์และฮีลเลอร์มานาหมด เมื่อบัฟทั้งหมดและโล่หายไป. มันชัดเจนแล้วว่าพวกเขาจะใช้มานาทั้งหมดในครั้งเดียว เข้าใจมั้ย?”

“อะฮ้า…..”

จากนั้น.

“มันเริ่มแล้ว. คิดว่าพวกเขาน่าจะปล่อยอุกกาบาตออกมานะ.”

มองไปที่ที่ซางมินชี้ ผมเห็นจอมเวทย์มือดีของเอ็มไพร์ร่าย ‘อุกกาบาตถล่ม’ เปิดงาน.

จากหลังคาชั้นใต้ดินหรือใต้เท้าของผม ดาวหางขนาดมหึมากำลังก่อตัวขึ้นภายใต้เปลวไฟสีแดง.

ในขณะเดียวกัน แทงค์และฮีลเลอร์ทั้งหมดเริ่มที่จะเข้ารูปแบบป้องกัน.

ผมไม่สามารบอกเวลาในการร่ายได้อย่างแม่นยำ แต่ดูเหมือนว่าใช้เวลาเล็กน้อย.

จอมเวทย์กิลด์โนเบลสร่ายคาถา.

“ถ้าอุกกาบาตถูกใช้แล้ว ‘ไอซ์บัค’ ก็ควรจะถูกใช้ออกมา.”

“มันคืออะไร?”

“มันเป็นคาถาน้ำแข็งที่ใช้สวนอุกกาบาตถล่ม. ถ้าเวลเท่ากัน คาถาจะหักล้างกันหมด. ดูที่อเวคแต่ละข้างสิ อย่างดีที่สุดเวลควรต่างกัน 10? มันเป็นคาถาที่ใช้มานาจำนวนมากทั้งหมดของคุณ มันไม่มีทางที่จะไม่ใช่สกิลแรงค์สูง ทั้งคู่เป็นคาถาแรงค์ A และมีขั้วที่ต่างกัน”

ไม่นานหลังอธิบายจบ หนามน้ำแข็ง 3 เมตรออกมาจากพื้น.

การร่ายเป็นจังหวะที่โดนจุดศูนย์กลางของอุกกาบาตพอดี ในขณะที่อุกกาบาตพุ่งลงมา.

ด้วยไอน้ำที่เกิดขึ้นมหาศาล ทั้งสองสกิลหายไปราวกับว่าไม่มีอะไรในตอนแรกอยู่แล้ว.

‘แต่ละสกิลมีสกิลสวน. แต่ด้วยอเวคสกิลและเวลที่เพียงพอ เหมือนว่าคุณก็สามารถชนะได้? ดีที่รู้.’

หลัง 10 นาที คุณสามารถบอกได้เลยว่าใครแพ้ใครชนะในสนาม.

ทั้งสองข้างยังมี จอมเวทย์, ฮีลเลอร์, และแทงค์ที่ยังรอดอยู่. อย่างไรก็ตาม เอ็มไพร์ได้สูญเสียนักรบและนักฆ่าทั้งหมดไป พวกเขาถูกตัดสินว่าไม่สามารถสู้ต่อได้โดยผู้ตัดสินและถูกเรียกออกไป.

บุคคลที่รับผิดชอบสำหรับสถานการณ์นี้คือเลขาของปาร์คฮยอน.

ส่วมแว่นกันแดดสีดำกับการแสดงออกที่ไร้อารมณ์ เลขาคนนี้ได้ทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างย่อยยับ.

ดูเหมือนว่าทั้งสองข้างจะรู้แล้วว่าใครแพ้ใครชนะ พวกเขาเริ่มถอดเสื้อกั๊กออกและเดินไปตรงกลาง.

“เหมือนตอนนี้มันจบแล้ว ดังนั้นไปฉลองกันเถอะ!”

“ฉลอง? ผมต้องไป?”

“วันอื่นไม่เป็นไร แต่นายต้องมาถ้ามันเป็นหลังสงครามกิลด์.”

‘แม่งเอ้ย! เวลาแสนล้ำค่าของผม! ทันทีที่ผมจ่ายหนี้สำหรับดาบหมด ผมจะออก.’ นี้คือความคิดที่เติมเต็มในหัวของผม.

แต่การเข้าร่วมสงครามกิลด์วันนี้ ผมได้รับข้อมูลที่แม้แต่ผมก็คาดไม่ถึง.

การอเวคกิล, แก้นที่ต้องการ, และก็สกิลสวนกลับ. การได้เรียนรู้สามสิ่งนี้ทำให้ผมล้มเลิกที่จะล่าหนึ่งวัน ดูเหมือนมันก็ไม่ได้สูญเสียอะไรนัก.

“อ้า….. ได้ๆ ผมจะไป.”

ด้วยแรงสั่นกระทันหัน ผมมองไปที่โทรศัพท์ของผม.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset