I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 37. Exp Continues to Rise (4)

37. Exp Continues to Rise (4)

สิ่งน่ารักเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ในที่สุดก็เผยให้เห็น.

แก่นอเวค.

“ตอนนี้ฉันพึ่งจะเลเวล63 เพราะงั้นฉันจึงมีแค่สกิลเดียวที่เกินเลเวล90.”

“งั้นจะบอกว่าไง? เนื่องจากยังเลเวลอยู่ที่63 มันเลยเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสกิลเลเวล100?”

“แน่นอน ที่เห็นได้ ชัดเลยคือมานามีจำกัด และค่าประสบการณ์ในการเพิ่มเลเวลสกิลก็เป็นเรื่องใหญ่.”

“อืม…ฮยองผมคิดว่าผมได้เห็นสิ่งตลกที่คุณได้แสดงออกมาให้เห็น.”

“มันคืออะไร?”

จุงโฮเบิกตากว้างขณะที่เขาหยิบก้อนหิน

เขากระพริบตาปริบๆเมื่อเห็นแก่นอเวค3ก้อน

เป็นเวลามากกว่า3เดือน ผมใช้เวลาอย่างน้อย12ชั่วโมงต่อวันหรือไม่เกิน18ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก.

ถึงแม่จะทำแบบนั้นผมก็ได้ แค่แก่นอเวคแค่สองก้อน

แต่แค่เจอมิมิค ผมกลับได้ถึง3

จุนโฮดูเหมือนกับว่าจะไม่สามารถปิดปากได้อีกนาน

จุนโฮบอกว่าเขาเคยได้แก่นอเวคเพียงครั้งเดียวจากการล่า.

แต่เขาต้องแบ่งกำไรกับคนอื่นๆ อีก 8 คน

การบัญทึกการแบ่งกำไรของคน9คนนั้น แสดงให้เห็นว่าทุกคนยังเป็นอเวคระดับต่ำ.

จุนโฮยังคงพูดต่อ.

“ฉันยังตกใจมาก จริงๆ.”

“ฮยอง ผมเกือบจะกลัวเมื่อเปิดเป้ทหารนั่น.”

“คุณไม่มีสกิล1หรือ2สกิลที่อยู่ใใกล้เลเวล100?”

“แน่นอน มันมีไม่มากนัก.”

‘มีสกิลมากมายที่จะถูกอเวค’ นั่นคือความจริง.

“นั่นเยี่ยมมาก คุณจะได้ต้องใช้แก่นอเวคเร็วๆนี้.”

“ถึงอย่างนั้นคุณต้องไปคนเดียว ฮยอง มันมีมาไม่บ่อยนัก เมื่อคุณได้เลเวลสกิล100แล้ว ผมจะรอคุณได้อย่างไร?”

“ผมจะบอกว่าคุณควรจะได้รับหนังสือสกิลเนื่องจากว่ามันใช้ได้เฉพาะนักรบเท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่”

“ผมควรจะให้อาหารหมาไหม?”

“ใช่ นั่นคือสิ่งที่ฉันไม่ควรได้รับแม้ว่ามันจะเป็นอาหารของหมาก็ตาม ฉันเคยใช้ชีวิตโดนการอ่านผู้คนและรักษาความภาคภูมิใจของฉัน อย่าทำให้ฉันไข้วเขว่ต่อไป.”

“ปากแข็ง.”

“ใช่! งั้นมาเริ่มใหม่ ฮยองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน? แล้วไหนจะของเหล่านั้น.”

จุงโฮลูบจมูกด้วยนิ้วและหาอุปกรณ์ที่อยู่ใต้หินเลือด

นิสัยเล็กๆน้อยเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ผมเกลียดเขาได้

ผมก็เข้าร่วมหากับจุนโฮ

“ดูเหมือนว่าของเหล่านี้จะไร้ประโยชน์?”

“ทำไม? คุณไม่มีแหวนมานา หยุดใช้แหวนหัวกระโหลก แหวนและสร้อยคอของนายเพื่อให้นายได้มีมานาเพียงพอ”

“ไม่สวย ผมมีสิ่งที่ต้องการมากกว่านั้น ดังนั้นผมจะขอบคุณคุณ ถ้าคุณให้ผมใส่.”

“เสียงแบบนี้เหมือนกับพวกนิสัยเสียมาก นายไม่ต้องของเหล่านี้?”

“ใช่ หินเลือดและของเหล่านี้ผมกำลังจะไปขายและผมจะให้คุณครึ่งนึง ถ้าคุณไม่พบสิ่งที่คุณพอใจ.”

“นายนี่เหมือนกับคนทำฟาร์มฟักทอง ขอบคุณ!”(ฟักทองขายได้ราคาดีที่เมืองนอก/ไรต์)

ไอเทมที่ได้จากการล่ากับจุนโฮเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง

แก่นอเวค3ก้อน หนังสือสกิล หินเลือด และแรร์รองเท้าไททันอีก.

มันคงเป็นไปไม่ได้หากไม่มีมิมิก

นี่เป็นครั้งแรกที่จุนโฮได้เห็นมิมิกหลังจากที่เขาเป็นอเวคมาหลายปี

ผมรู้สึกราวกับว่าลิ้นที่ยาวยืดของมิมิกจะมาให้ผมเห็นในเร็วๆนี้อีก

* * *

จำนวนที่ใช้การอัญเชิญ‘ร่างจำแลงของมารร้าย’ เพิ่มขึ้นสองเท่า.

เมื่อมันมีเลเวลถึง100

เนื่องคูลดาวน์ของมันต้องใช้เวลา 60 นาที มันเป็นอะไรที่ผมรำคาญมาก

ต้องขอบคุณมันมากๆ ที่ผมไม่ได้ค่าประสบการณ์แค่สกิลเดียวเท่านั้นหลังจากเรียกมันออกมา

ศัตรูที่โดนสกิลของตัวที่ถูกอัญเชิญมาก็ได้ค่าประสบการณ์เหมือนกัน

เรด บูล เยลโล่ นี่คือชื่อของพวกมัน

ส่วนตัวแล้วผมชอบบูลมากกว่าเนื่องจากเขาใช้เวทย์น้ำแข็ง.

มันมีเพียงแค่ตัวเดียว แต่อีกหน่อยมันจะมีสองตัว.

ผมมีเพียงฟร์อสออบเพียงท่าเดียวเท่านั้นที่เป็นสกิลน้ำแข็ง ผมต้องการเวทย์เหล่านี้อีกเพื่อที่จะชะลอไม่ให้ศัตรูของฆ่าศึกเคลื่อนไหวเร็วมากนัก

ด้วยจุดนี้ บลูจึงได้เข้ามาแทนที่ช่องว่างของมัน

ร่างจำแลงที่สูงกว่า4เมตรได้แสดงการทำลายอย่างน่าทึ่ง

ในเลเวล100 มันทำให้มอนเตอร์เคลื่อนที่ช้าลงถึง18ตัวเมื่ออยู่ใกล้ๆมัน.

มันเหมือนกับออร่าแช่เแข็ง

ร่างจำแรงไม่เพียงแต่โจมตีด้วยเวทย์มนต์เท่านั้น

มือแต่ละข้างถือดาบยักษ์

มันมีลักษณะเหมือนกับมีดทำกับข้าว

การโจมตีทั้งเวทย์มนต์และกายภาพล้วนแล้วแต่ทำให้ติดสถานะแช่แข็ง ไม่ว่าจะมาเป็นกลุ่มมากแค่ไหนมันก็จะถูกแช่ทุกครั้งที่โจมตี

การโจมตีด้วยดาบเป็นการโจมตีทางกายภาพ แต่มันก็มีผลโจมตีที่รุนแรง

ทุกครั้งที่ร่างจำแลงเหวี่ยงดาบท้องฟ้าก็แยกออก

ลองคิดว่ามันเป็นมอนเตอร์

ร่างจำแลงไม่ต่างไปกับพวกกึ่งอมตะ

ไฟช๊อคและกราวิตี้เลเซอร์ มันทำให้เกิดผลไฟไหม้.

ผมสามารถวางโล่และปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระด้วยเวทยมนตร์

อย่างไรก็ตาม มันก็ต้องมีการดูแลให้ดีขึ้น

ในดันเจี้ยนหากมีการโจมตีทางกายภาพเพียงอย่างเดียวมันจะเห็นได้ชัดว่าไร้ประโยชน์

นอกจากนี้ตัวที่ถูกอัญเชิญจะโจมตีจนกว่าพลังชีวิตของมันหมดลง

ซึ่งหมายความว่าเมื่อผมอัญเชิญพวกเขาแล้วผมสามารถใช้เวทย์มนต์ได้อย่างอิสระด้วยมือทั้งสองข้าง

หลังจากที่อัญเชิญครั้งแรกและจบการล่าพร้อมกับมัน…

ผมมีความกังวลว่า ‘ฉันจะเอาเจ้ายักษ์เหล่านี้ไปรอบๆได้อย่างไร?’

ด้วยแรงโจมตีและขนาดของมัน ผู้คนอาจจะเปิดว่าพอลทัลระเบิด.

แต่ผมก็พบว่าคุณสามารถลดขนาดของร่างจำแลงไปจนถึงขนาดที่พวกคุณใส่กระเป๋าได้.

นั่นคือเวลาที่ผมต้องการ

พวกมันก็จะกลายเป็นโปเกมอนของผม

ขนาดของพวกมันเหลือเพียงนิ้วเดียว ดูท่าพวกมันจะน่ารักกว่าที่คิด.

จากการใช้ร่างจำแรงมารร้าย ผมจึงได้รู้ศักยภาพของคลาสซัมม่อน

การได้เลเวลของสกิลที่รวดเร็ว,พลังจากการทำล้ายล้าง,ความสามารถในการเอาตัวรอดและความน่ารัก

ผมการเป็นคนโลภที่อยากจะได้สกิลแรงค์สูงๆเยอะๆ

* * *

เป็นเวลาครึ่งเดือนนับตั้งแต่ผมได้ล่ากับจุนโฮ.

ผมได้เรียน ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ และ ‘เรียกดาวตก’.

ทั้งสองมีแรงค์อยู่ที่ A+ ความสามารถที่รุนแรงและราคา

แต่จากหินเลือดแรงค์Bจำนวนมากและของที่ได้รับจากมิมิก มันทำให้ผมมีรายได้เกินกว่าที่ผมจะจินตนาการไว้อีก

ด้วยเงินทั้งหมดที่เก็บไว้รวมกับการล่าในครึ่งเดือนทำให้ผมได้มันมา.

เมื่อผมได้รับแก่นอเวคอีกครั้งผมจะเอาไปขาย ผมคิดว่าผมยากที่จะซื้อสกิลได้อีกครั้ง

แม้ว่าจะเห็นว่าการเติบโตของผมไปได้เร็ว แต่ผมก็สูญเสียมากเช่นกันเมื่อคิดถึงอนาคต.

ผมอาจจะหารายได้มากขึ้น และสักวันผมอาจจะป่วย.

แต่ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากแค่ไหนคุณก็ไม่อาจจะซื้อแก่นอเวคได้

ผมรู้ได้เพียงแค่มองไปที่ยูนจุงซันที่ทำงานให้กับอิลซัง

ผมใช้แก่นอเวคกับโล่สะท้อน

เมื่อเทียบกับโล่อื่นๆโล่สะท้อนก็ยิ่งดีกว่า

มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพราะจะเป็นการเพิ่มโอกาสสะท้อนและความเสียหายที่มากขึ้น

ส่วนที่เหลืออีก2ชิ้นแน่นอนว่าผมใช้มันไปกับสกิลแรงค์A+

ตอนแรกแผนของผมคือการซื้อ ธารน้ำแข็ง เนื่องจากมันสร้างความเสียหายมากกว่าที่ผมคิด

มันมีผลกระทบแช่แข็งที่ไม่อาจควบคุมจากระยะAOE

แต่ผมก็ได้ตัวที่มีความสามารถแช่แข็งได้จากร่างจำแรงมารร้ายที่ควบคุมได้

แน่นอนว่าจากการอัญเชิญมันเป็นแบบสุ่ม มีโอกาศที่ บูลจะไม่ออกมา.

แต่การล่ามันก็เร็วขึ้นผมต้องการสกิลที่แข็งแกร่งก่อน นั่นคือทางเลือกของผม

จากสกิลทั้งหมดที่ผมได้เรียนรู้มานี้ ไม่มีใครมีเวลาทำได้เท่าผม

แต่ทั้งภูเขาน้ำแข็งและเรียกดาวตกทั้งสองสามารถใช้ได้เพียงอย่างเดียว

ที่เลเวล1 ทั้งสองสกิลต้องใช้เวลา5นาทีในการร่าย

และคูลดาวน์ทั้งสองก็ใช้เวลา5นาที

ดังนั้นมันจึงใช้เวลาทั้งหมด10นาทีใรการใช้ได้หนึ่งครั้ง

โชคดีที่ทั้งสองสกิลเมื่อเลเวลครบทุก20 คูลดาวน์จะลดลง10%

ดังนั้นหากว่าผมสามารถอเวคมันได้เมื่อถึงเลเวล100ผมจะสวามารถใช้พวกมันได้อย่างไม่มีจำกัด

มันจะใช้ได้กับผมเท่านนั้น

ด้วยเลเวล1ใช้มานา4,000 เมื่อเลเวลเพิ่มมากขึ้นการใช้มานาจะน้อยลง

เฉพาะนักเวทย์ที่ใส่แต้มทั้งลงไปที่สถานะมานาจนกว่าจะถึงเลเวล160ถึงจะสามารถใช้มันได้

อเวคทั่วๆไป อย่าลืม ว่าอเวคทั้งหมายเหล่านี้ ยังมีน้อยคนนักที่จะมีเลเวลเกิน100

เพื่อทดสอบการทำลายของสกิลเหล่านี้ผมเข้าดันเจี้ยนหลังจากเรียนมันมาแล้ว

นับตั้งแต่ที่ผมได้รองเท้าไททันความเร็วในการเคลื่อนที่ของผมก็เพิ่มขึ้นมากกว่า2เท่า.

การวิ่งไปถึงปลายดันเจี้ยนใช้เวลาไม่เกิน5นาที

มันเป็นการเพิ่มระดับจากรองเท้าวิ่งเร็วที่ใช้เวลากว่า10นาที

เมื่อถึงปลายดันเจี้ยนกับมอนเตอร์10ตัวที่ผมลากมาเพื่อใช้สกิล

จากสิ่งที่ผมได้จากการPVP ของกิลด์ สกิลทั้งสองนี่ดูเหมือนจะนำมาใช้เพื่อการทำลายล้างอย่างเดียวเท่านั้น

การทดสอบแรกคือการเรียกดาวตก

เหนือกลุ่มมอนเตอร์มีดาวตกที่ถูกเผาไหม้ออกมา

นากาพิษถูกทำลายทันทีเนื่องจากมีการป้องกันที่อ่อนแอ

ซากศพสลายหายไปไม่เห็นแม้แต่ส่วนเดียวแม้กระทั้งขี้เถ้า

หลังจากที่ดาวตก ตกลงมามันยังมีแรงระเบิดเกิดขึ้นหลังจากที่มันตกลงมาอีก

สกิลต่อไป ภูเขาน้ำแข็ง

กริฟฟินที่บินอยู่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือรอยชีดข่วนใดๆ.

อย่างไรก็ตาม.

ภูเขาน้ำแข็งก็พุ่งทะลุออกมจากพื้นดินและกลืนมันไปทั้งตัว

โดยไม่ต้องใช้การโจมตีสุดท้าย พวกมันถูกขังอยู่ในภูเขาน้ำแข็งและกลายเป็นไก่แช่แข็งทันที

ภายในของภูเขาน้ำแข็งยังแยกออกจากกันและแช่ทุกอย่าง.

เกือบจะเหมือนกับจิ๊กซอร์หรือลูกบากศ์ของรูบิค

ภายใน5วิแรกกริฟฟอน4ตัวถูกฉีกเป็นชิ้นๆจนผมจำพวกมันไม่ได้

แค่สกิลเลเวล1.

แต่ความเสียหายของมันทำให้ผมประหลาดใจ

ตั้งแต่ที่มันหมดคูลดาวน์ผมก็โยนมันออกไปอีกครั้งเพื่อที่จะให้เลเวลมันขึ้นให้ไวที่สุด อย่างไรก็ตามผมก็ต้องมั่นใจว่ามันจะต้องเลเวลเพิ่มอย่างรวดเร็ว

เข้าดันเจี้ยนอีกรอบผมก็ร่ายเวทย์ทั้งสองอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน.

สกิลทั้งสองที่อยู่ในระดับเดียวกัน

อย่างไรก็ตามสกิลทักสองก็เตือนว่าพวกมันเป็นขั้วตรงกันข้ามและทำความเสีบหายเป็น0กับมอนเตอร์

ถ้าโยนบัฟและดีบัฟใส่ศัตรู มันจะไม่ทำอะไรมากกับเวทย์มนตร์เหล่านี้ นั่นคือถ้ากลุ่มมอนเตอร์ในดันเจี้ยนยังไม่ได้รับดีบัฟ

“การใช้ดาวตกและภูเขาน้ำแข็งในแต่ละมือยังคงเพิ่มประสบการณ์หรือไม่? หรือไม่ก็?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset