I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 54. แขกที่ไม่ได้รับเชิญ ออกไปให้พ้น!.

54. แขกที่ไม่ได้รับเชิญ ออกไปให้พ้น!.

“เฮ้ย! แกจริงหรอ?”

เมื่อได้ฟังเรื่องราวของผม จุนโฮก็กำลังคลั่งไคล้

เขาได้ยินว่าผมเอาชนะจินและได้ข้อมูลจากเขา.

ผมตอบอย่างสงบและผมก็พูดต่อ.

“ใช่ ผมคิดว่าผมต้องดูแลเขา นับตั้งแต่ที่ออกจากคิมเซจิน แต่เขาก็ช่วยผมแก้ปัญหาบางอย่างและเขาก็เข้ามาเยี่ยมผมด้วยตัวเอง.”

“นายเลยกระทืบเขาและก็เอาข้อมูลจากเขาออกมา?”

“ใช่ ผมบอกคุณแล้ว?”

“โอ้ เด็กน้อย นายรู้ไหมว่านายน่ากลัวมาก? ฉันกลัวนายมากกว่าจินหรือพวกหัวรุนแรง ตับฉันกำลังสั่นอยู่จากความกลัว ฉันไม่เข้าบ้านหลังนี้ได้ไหม” 1

จุงโฮโบกไม้โบกมือ ขณะที่มีท่าทางสนุกสนาน.

ขณะที่สั่นหัวไปด้วย.

เขามีคลาสเป็นวอริเออร์.

ท่าทางที่พิเศษของเขาคือการมีอารมณ์ขันหรืออะไรสักอย่าง.

ผมไม่อาจเกลียดเขาได้ไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหน.

ไม่สามารถปล่อยให้เขาอารมณ์ขันของเขาค้างได้.

ผมเอามือไปจับไหล่ของจุงโฮและพูด.

“เมเทโอคอร์! มันสนุกนะฮยอง.”

“อ่า เดี๋ยว มันเป็นการรับมุก เพือนยาก รับมุก!”

“อุฟ! อ่า นี่มันเป็นแบบพาสซีฟรึไง? เซ้นด้านอารมณ์ขัน?”

“เฮ้ย! ฉันเป็นคนมีชีวิตชีวา มันเทียบกับนายไม่ได้.”

“จริงดิ?”

“ฉันมีโอกาสน้องที่จะถูกโจมตีแบบเดิมอีกครั้ง มันไม่มีดีเล มันเป็นพาสซีฟที่เรียกว่า ‘เบอร์เซิร์ก ออนสลัก(Berserker’s Onslaught)’.”

“โอ้โห.. นั่นมันดีมาก มันใช้ได้กับการโจใตีปกติหรือสกิล?”

“ใช่ แม้ว่าการโจมตีแบบเดิมจะมาจากสกิล แต่มันก็ไม่ได้ใช้อะไรสำหรับการรับการโจใตีรอบสอง ฉันเดาว่านายสามารถรับการโจมตีของฉันได้เรื่อยๆ? เมื่อฉันเป็นอเวคครั้งแรกมันเกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง เพราะงั้นฉันรู้สึกตกใจมาก.”

“ผมก็เหมือนกัน มันกลายเป็นเรื่องดีมากๆที่เลเวลของคุณสูงและความแข็งแกร่งของสกิลของคุณก็เติบโตขึ้น.”

“นั่นเป็นบางอย่างที่ต้องคิดในอนาคต แต่ทำไมนายถึงถามตอนนี้?”

เหตุผลที่ผมถามจุงโฮเกี่ยวกับเรื่องนี้มันโยงเข้ากับเนื้อหาคลาสรองที่เรียกว่าโจ๊กเกอร์.

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจุงโฮรู้อะไรบางอย่าง.

ผมทำหน้าเครียดๆและถามจุงโฮ.

“ฮยอง รู้เกี่ยวกับคลาสรองไหม?”

“แน่นอน เมื่ออเวคพร้อมกับสองคลาส?”

“ใช่ ถูกต้อง! คุณบอกผมได้ไหมว่ามันเป็นอย่างไร?”

“มันเป็นเรื่องยาก แม้ว่าฉันได้ยินมาว่าบางคนในแรงค์เกอร์สูงๆของสมาคมจะมีคลาสรอง.”

“ผมเดาว่าคุณไม่อาจเข้าไปอยู่ในแรงค์ได้แค่เลเวล.”

“แน่นอน นายจำเป็นต้องได้คลาสดีๆ พาสซีฟด้วย แต่ทั้งหมดเป็นแบบสุ่ม.”

“เดี๋ยว มันเป็นเรื่องยากไหมที่จะเก็บเลเวลแม้ว่าจะมีสองคลาส?”

“ใช่ คิดถึงเรื่องนี้ ถ้าวอริเออร์มีคลาสรองเป็นนักเวทย์ นายจะต้องการทั้งความแข็งแกร่ง,มานา,สุขภาพและแม้กระทั่งความชำนาญ สเตตัสทั้งหมดต้องเพิ่มขึ้น.”

“ช่าย.”

“หากเป็นอย่างนั้น มันจะกลายเป็นแจ็คในการทำทั้งหมด การมุ่งพลังโจมตีของนายจะทำให้การป้องกันของนายขาดหายและในทางกลับกัน มันจะทำให้การล่าของนายเป็นไปไม่ได้ นายไม่อาจทำทั้งสองอย่างได้.”(TL:แจ็คเปรียบได้เหมือนกับเป็ดที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่สุดสักทางเช่นบินหรือลอยน้ำ)

“ผมเดาว่ามันค่อนข้างสมเหตุสมผล.”

“และกรณีแบล็คสมิธที่ได้รับคลาสย่อยเมื่อเขาอเวค นี่ยังเป็นถูกหวยแดกเพราะว่าพลาดไปแค่แต้มเดียว.”

“สำหรับแบล็คสมิธที่เพิ่มเลเวลด้วยการตีเหล็กและเหวี่ยงค้อนไปมา เมื่อเขาได้รับคลาสรองหรือพาสซีฟของมัน มันก็กลายเป็นไร้ประโยชน์?”

“ถูกเผง.”

ขอบคุณสำหรับคำอธิบายของจุงโฮ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว.

พาสซีฟของผม มานาไม่มีวันหมด เป็นการได้รับแบบสุ่ม.

ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับพาสซีฟอื่นที่ไม่ใช่ของเขา.

คลาสก็เหมือนกัน.

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมค้นหาในเว็บอย่างหนักหลังจากที่ผมเป็นอเวคเพราะพาสซีฟ.

เนื่องจากมีหลากหลายกรณีที่ถูกทำลายด้วยพาสซีฟแม้ว่าจะเป็นอเวค.

ผมถามส่วนที่สำคัญที่สุด.

แล้วโจ๊กเกอร์คือ.

“แล้วถ้าวอร์ริเออร์มีคลาสรองเป็นเพรชฆาต?”

“มันอาจเกิดได้หรอ? มันเหมือนกับ 3 ชั่วโครต…เหมือนทุกอย่างถูกส่งมาจากรุ่นสู่รุ่นและมารวมกันไว้ที่นาย?”

“….”

“ฉันเห็นเพียงแค่ในหนังสือสำหรับคลาสเพรชฆาต เนื่องจากไม่มีคนมากนักที่มีมัน ไม่เพียงแค่หลังจากที่ได้อเวคขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่มีความสามารถระดับ S และส่วนใหญ่จบลงด้วยการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน.”

“หืม….”

“มันผิดกฏหมายสำหรับพวกเขาที่จะมีเลเวล 300+ แน่นอนคลาสเพรชฆาตมันยากที่จะเพิ่มเลเวล ทักษะส่วนใหญ่ใช้กับเป้าหมายเดียวและใช้มานาจำนวนมาก.”

“มันแย่พอที่จะมีกฏหมายเกี่ยวกับคลาสเหล่านี้?”

“เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นเครื่องจักรฆ่าคน แม้ว่าจะเป็นคลาสรองแต่ฉันคิดว่านายซ่อนมันได้.”

ผมตระหนักได้ว่าสถานการณ์มันแย่กว่าที่ผมคิดไว้.

และทั้ง 3 คนมีคลาสรอง.

มีมอนเตอร์อีกสองตัวที่เป็นแบบนี้.

ด้านบนสุดมีบอสที่อยู่เหนือพวกเขา.

ขณะที่ผมคิดผมตั้งใจที่จะพูดออกไป.

“สิ่งที่ผมเดามันรุนแรงกว่าที่คิด…”

“ห๊ะ? ใคร? ไม่มีทาง…?”

“….”

“ฉันพูดถูกไหม?เอาจริงนะ? นั่นมันเสียสติมาก! บอสของพวกฝ่านหัวรุนแรงมีลูกน้องที่เป็นวอร์ริเออร์ที่มีคลาสรองเป็นเพรชฆาต?”

“ไม่ ผมได้ยินว่ามีเพียงหัวหน้าที่อยู่ใต้บอส?”

“นั่นบ้ามาก.”

เอามือจับหัวและมองไปที่เพดาน.

สักครู่เขาก็ถอนหายใจ.

ผมทำลายความเงียบที่ยาวนาน.

“มันไม่ใช่ว่าไม่มีทาง.”

“ทางไหน? มันคือ?”

ด้วยมือทั้งสองข้างที่กางออกของผม ผมสนใจจุนโฮที่เต็มไปด้วยการเอาใจใส่.

ขณะที่ผมถาม ผมได้ใส่ชุดเกราะเซ็ตของลิซคิง.

จากนั้นผมก็ใส่บันชอนจิชอยด้วย.

“ผมต้องการอุปกรณ์ทั้งหมดและทำงานให้หนักๆ.”

“โอ้ เด็กน้อย นั่นถึงจะเป็นนาย.”

“ฮยอง คุณอยากไปด้วยกันหรือเปล่า?”

“ที่ไหน? ดันเจี้ยนเลเวล 23? ไม่เป็นไรขอบคุณมากก ขอบคุณที่แบกให้ฉันผ่านเลเวล 18 ฉันเติบโตพอที่จะขี้เกียจไปอีก 2-3 เดือน และนายอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยเหลือผู้อื่นได้จริงๆหรอ? มันเพิ่งจะกลับมาอย่างปลอดภัยเอง.”

“ผมรู้ว่าคุณจะพูดอย่างนั้น ผมเข้าใจ ผมจะเอาหนังสือสกิลของวอร์ริเออร์มาให้ถ้ามันดรอป.”

“ฉันปฏิเสธ.”

“ผมปฏิเสธการตัดสินใจที่จะปฏิเสธ ผมจะไปแล้วฮยอง.”

“ย๊ะ ฉันรู้สึกผิด ให้เดาฉันต้องไปด้วย.”

* * * *

“ฮิย๊าา!”

“อุค คุกกกก!”

โจมตีด้วยเมเทโอคอร์ ตรงกลางที่เต็มไปด้วยพวกกูลก็ตายทันที.

มันเป็นความเสียหายที่อยู่คนละระดับสำหรับเลเวลเพียง 60.

ขณะที่กูลเดินเข้ามา พวกมันก็ล้มหายตายจาก.

เอาตามตรง ความเสียหายพวกนี้มีมากพอที่จะทำให้มันไม่เหลือล่องลอย.

จำนวนเมเทโอไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มันมีขนาดใหญ่มาก.

มันเหมือนกับไอซ์เบิอร์ก.

ความเร็วและความแม่นยำ ทั้งสองดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของผม.

ความเชียวชาญสกิลไม่เพียงพอ แต่รวมไปถึงความถูกต้องและจังหวะในการทำงาน.

เมื่อผมเลเวล 200 แล้วผม ก็สามารถโยนเวอร์ชั่นที่ใหญ่และมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆทั้งจำนวนและเวลา.

การเติบโต เพิ่มสเตตัสไปที่สุขภาพและความชำนาญให้มากยิ่งขึ้น.

ขึ้นอยู่กับการเติบโตของผมที่ผมได้รับทักษะ สิ่งที่ต้องการก็ไม่เลว.

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงไม่พอใจกับดันเจี้ยนเลเวล 23.

ผมต้องการไปดันเจี้ยนที่ระดับสูงขึ้นเพื่อที่จะได้รับExpมากขึ้น.

อย่างไรก็ตาม สมาคมได้ทำการเฝ้าระวังผมแล้ว.

ถ้าผมเครียร์ดันเจี้ยนเลเวล 23 ด้วยตัวคนเดียวพวกเขาจะสงสัยมากยิ่งขึ้น.

อย่างไรก็ตาม มันจะเป็นการโง่เง่าอย่างไม่น่าเชื่อถ้าผมจะไปพร้อมกับปาร์ตี้.

หลังจากเสร็จสิ้นการล่าและกลับบ้านโดยแท็กซี่ ผมก็จมไปในความคิด.

อย่างมากคิมเซจินอาจจะถือเป็นส่วนหนึ่งของรายงานกับสมาคมประจำเดือน.

หากมีข้อมูลมากมายสำหรับการเครียร์ดันเจี้ยนเลเวลสูงอยู่ในมือของพวกเขา?

อย่างไรก็ตามสมาชิกคนอื่นๆถูกส่งมาหาข้อมูลเกี่ยวกับผมในทันที.

‘มันไม่มีทางเลยหรอ?’

แล้วทางไหนถึงจะเป็นทางออกที่ดี.

‘การเป็นเจ้าของย่างก้าวเงาที่จินเคยใช้และใช้IDปลอมเพื่อวิ่งเข้ามาในดันเจี้ยน?’

มันไม่ใช่ความคิดที่แย่.

มันผิดกฏหมาย.

สกิลที่จินใช้คือการพรางตัวระดับ S.

เพื่อที่จะตรวจจับใครสักคนต้องมีทักษะตาสอดส่องและมีระดับที่สูงกว่าย่างก้าวเงา.

มันต้องใช้โชคอย่างมากในการใช้มานาอย่างมากเพื่อที่จะใช้ตาสอดส่องเลเวลต่ำ.

อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ง่ายที่จะใช้ย่างก้าวเงาเมื่อมันได้รับค่าExpในการใช้งานครั้งเดียว.

และผมมีเวลาประมาณหนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น.

ผมจะเสียเวลาไปกับการเตรียมตัว.

“พรางตัว.. ฉันต้องการทักษะพรางตัว…”

แม้ว่ามันจะใช้มานามากมาย แต่มันก็สามารถที่จะพรางตัวได้หลายครั้ง.

ที่นั่นจะช่วยให้ผมเพิ่มเลเวลเร็วมากขึ้นด้วย.

แต่ผมไม่รู้ว่าทักษะเหล่านี้มีอยู่หรือไม่.

“หืม? คุณว่าไง ลูกค้าที่รัก?”

“อ่า…ไม่มีอะไร ผมแค่พูดกับตัวเอง คนขับ.”

“555 ได้.”

“ขอโทษครับคุณคนขับ แต่คุณสามารถไปถนนดงชินชอยแทนได้ไหม?”

“หืม? คุณบอกว่าอยากจะไปที่กิล…”

“ใช่ มันมีบางอย่างที่คิดขึ้นมาได้.”

“ผมเข้าใจ ดงชินชอย.”

* * * *

เมื่อผ่านบ้านของผม มันก็นานก่อนที่จะมาถึงดงชินชอย.

นี่เป็นสำนักงานที่คนแคระตั้งอยู่.

‘เพื่อที่จะได้รับหนังสือสกิล ไม่มีที่ไหนนอกจากที่นี่.’

เข้าไป ผมก็เห็นคนแคระและลูกน้องสองคนคอยเฝ้าตามปกติ.

เมื่อเห็นว่าผมเข้ามาทั้งสามก็คำนับทักทายผม.

“แล้วคุณมาเพื่อ?”

“โอ้ คุณต้องการบริการอะไรจากเราในครั้งนี้?”

“ใช่ คุณสบายดีไหม?”

“แน่นอน เราต้องขอบคุณด้วยเหมือนกัน แต่คราวนี้คุณต้องการหนังสือสกิลอะไร?”

“คุณรู้โดยที่ผมยังไม่ได้บอกเลยนี่นะ?”

“ถ้ามันเป็นเหตุผลอื่น คุณคงไม่มาหาเรา?”

ด้วยรอยยิ้ม คนแคระยังคงทำตามต่อไป.

ดูเหมือนว่าเขาเป็นพ่อค้าคนกลางเกี่ยวกับธุรกิจเหล่านี้.

ถึงตอนนี้ประเด็นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินเท่าที่ผมคิด.

มันไม่สำคัญเลย.

“อ่า ให้เดาค่าคอมมิชชั่นที่ได้จากหนังสือสกิลของผมได้เป็นจำนวนมากงั้นหรอ? ตั้งแต่ที่คุณทักทายผมด้วยความสุขอย่างนี้.”

“หืม? 555…55 ผมหมายความว่า เราทำงานได้ดี…”

“เป็นอย่างที่ผมเดาจริงๆ.”

ผมไปที่โซฟาที่พวกเขานั่ง.

มันเป็นสถานการณ์ที่ผมต้องการข้อมูลแม้กระทั่งจากคนโง่ทั้งสอง.

นั่งระหว่าพวกเขาและผมก็เอาหัวข้อหลักขึ้นมา.

“ผมมองหาสกิล.”

“ใช่ อย่างที่คาดไว้.”

“มันเป็นสกิลที่แอสซาซินใช้ บางอย่างที่เอาไว้พรางตัว.”

“หืม….”

คนแคระกำลังนึกขณะที่ลูบคาง.

คนโง่ทั้งสองด้วยเหมือนกัน.

มันไม่ได้ใช้เวลานานสำหรับคนโง่ที่มีคลาสเบอร์เซิร์กเกอร์ที่พูดขึ้นมา.

“ดี…มีอยู่เล่มนึง แต่มันก็หายากจริงๆ….”

“แพงหรอ?”

“ไม่ มันไม่ใช่ทักษะที่ใครก็ใช้ได้ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจึงไม่ค่อยสูง อย่างไรก็ตามมันก็ต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่เราจะได้มันมา.”

เมื่อได้ยินว่ามันราคาไม่สูง คนแครก็จ้องเขม็งไปที่เบอร์เซิร์กเกอร์.

ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ‘มันน่ากลัวอะไรขนาดนี้.’ในหัวของผม.

เก็บความโกรธของผม ผมถามอีกครั้ง.

“งั้นมันเป็นทักษะแบบไหน?”

“ใช่. ‘วิชาพรางตัวกับผู้คน’ นี่มันเป็นชื่อของสกิล แต่มันเป็นสกิลของเพรชฆาต.”

“เพรชฆาต?”

“ใช่.”

มันเหมือนกับโชคชะตาที่ผูกเอาไว้ด้วยกัน.

ทำไมถึงได้มีสกิลของเพรชฆาต.

ผมคิดถึงการคงอยู่ของโจ๊กเกอร์อีกครั้ง.

“มันใช้ในการพรางตัวได้ดี ถูกไหม?”

“ใช่ แน่นอน.”

“หนึ่งอาทิตย์! เป็นไปได้ไหม หึ?”

“วู่… เดาว่ามันต้องเป็นไปได้.”

“ดี ผมดีใจมากเพราะค่าใช้จ่ายไม่มาก ผมจะได้ไม่ต้องเตรียมแก่นอเวค.”

“ใช่ ถูกแล้ว มันใช้เงินได้เหมือนกัน.”

มันเป็นคำตอบที่ดีที่ผมได้ยิน.

สกิลเหล่านั้นคือทุกอย่างที่ผมต้องการ.

อา ผมเกือบจะลืมสิ่งหนึ่ง.

“อีกเรื่อง ผมจะหาIDปลอมของอเวคได้ไง?”

1. มันเหมือนกับจะบอกว่าเขาแข็งแกร่งมากจนน่าขยะแขยง.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset