I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 73. มันเป็นการเครียร์แบบช้าๆ

ด้วยการมาล่ากับจุงโฮและโฮจินทำให้พวกเขาสามารถเลเวลไปถึง 110 ได้ในวันเดียว.

แม้ว่าจะเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พวกเขาก็ยังตัดสินใจที่จะไม่ไปไหนนอกจากดันเจี้ยนซัคคิวบัส แต่พวกเขายังลงกันแค่สองคนเพราะพวกเขาจะได้รับค่าประสบการณ์เป็นจำนวนมากจากดันเจี้ยนซัคคิวบัสเลเวล 14 ที่ซึ่งมีมอนเตอร์มากมายกว่าดันเจี้ยนเลเวล 15.

พวกเขายังเติบโตอย่างแข็งแกร่งและพร้อมที่จะท้าสู้กับดันเจี้ยนเลเวล 19 ในภายหลัง.

พวกเขาลงเรือลำเดียวกับผม.

ด้วยบันวอนจินชอนในแต่ละข้าง พวกเขาดูตื่นเต้นมากเมื่อเข้ามาในดันเจี้ยน.

มันเป็นเวลาสองวันแล้วที่ผมได้มาดันเจี้ยนเลเวล 34.

ตามปกติแล้วผมสามารถใช่วาปเพื่อมายังพื้นที่ๆปลอดคน.

ตั้งแต่ที่ผมมักจะล่านานกว่า 12 ชั่วโมง คูลดาวน์ของมันจึงไม่สำคัญ.

สกิลวาปมีเลเวลและค่าประสบการณ์ แต่ใครจะสนใจหล่ะว่าทำไม เพราะว่าถึงแม้ว่ามันจะเพิ่มเลเวลได้ แต่คูลดาวน์ก็ไม่ลดลงและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง.

ดันเจี้ยนนี้ไม่ต้องการอะไรเพื่อที่จะเข้ามา.

และความยากที่เพิ่มขึ้น มันก็ไม่สามารถเครียร์ได้ง่ายๆเหมือนกับผม.

คุณสามารถพูดได้ว่าดันเจี้ยนเกิดมาเพื่อผม.

ผมหมายถึง มอนเตอร์ที่โจมตีได้หลังจากที่ถูกโจมตี.

ยิ่งไปกว่านั้น มันต้องใช้สกิลแรงค์ A+กว่าสิบชนิดเพื่อทำลายมัน.

แน่นอน อเวคคนอื่นก็สามารถโจมตีได้ แต่มันจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรับการโจมตีที่สวนกลับมา.

ถ้าผมไม่มีมานาไร้ขีดจำกัดและมานาชิลด์ มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับผมเหมือนกัน.

ผมไม่ปล่อยให้ความรู้สึกที่เหนือกว่าคนอื่นอยู่เป็นเวลานาน.

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกตัว.

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพอร์ทัลเลเวล 34 ทั้งหมดระเบิดขึ้น?

เหมือนกับพอร์ทัลเลเวล 29 ที่ระเบิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ มันคงจะไม่จบอย่างง่ายๆ.

มันจะทำให้เกิดความโกลาหลและทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่กว่าพอร์ทัลแรกที่ระเบิดเมื่อ 40 ปีก่อน.

สลัดความรู้สึกหนักใจทิ้ง ไม่รู้ว่าทำไมผงถึงรู้สึกว่าต้องตั้งมั่นกับการล่าด้วย.

ไอเทมอย่างเดียวที่ดรอปลงมาในดันเจี้ยนคือบลัดสโตน.

เนื่องจากไม่มีบอสปรากฏตัวขึ้นมาในแต่ละครั้งที่เครียร์ ผมจึงคิดว่าน่าจะบอสลับอยู่.

อัตราการเผชิญหน้ามันอาจจะเป็นอัตราเดียวกับที่ผมเคยผมเจอ.

ดังนั้นการล่ากว่า 5 วันมานี้มันจึงยังไม่เพียงพอ.

ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายขนาดนั้น.

มีเพียงเสียงก้องจากเมเทโอเท่านั้นที่ได้ยินในดันเจี้ยนนี้.

เมเทโอทั้งหมดที่ผมร่ายใส่มอนเตอร์ทั้ง 30 ตัวก็ถูกใช้กลับมา.

แรงกระแทกและเปลวไฟก็เพียงพอที่ทำให้ดันเจี้ยนผิดรูปผิดร่าง.

มันไม่เวลาไม่ถึง 5 นาทีในการเปลี่ยนดันเจี้ยนสีขาวหิมะให้กลายเป็นแดนสรภูมิ.

ผมคิดว่าจะใช้ไอซ์เบิร์กเพื่อป้องกันการตอบโต้ของพวกมัน แต่เนื่องจากมันอาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับผมหากว่าพวกมันใช้กลับมา ดังนั้นผมจึงต้องหลีกเลี่ยงมันเช่นกัน.

“มานาชิลด์ของฉันสั่นมากจนแทบมองไม่เห็นด้านหน้า.”

ผมไม่เห็นรูปแบบการโจมตีของพวกเขา แต่ผมกำหนดเป้าหมายเป็นจุดสีแดงที่สามารถเห็นได้ผ่าน Eye of Insight กับเมเทโอ.

ระหว่างจุดสีแดง ผมเป็นบางอย่างลอยอยู่.

มันเหมือนกับม้าลายที่อยู่ท่ามกลางฝูงวัว.

มันมีมอนเตอร์แค่ 30 และตายเพราะเมเทโอของผมโจมตีหลังจากที่ผมเห็น.

“แก่นอเวค?”

ท่ามกลางบลัดสโตนนั้นเป็นแก่นอเวค.

ผมไม่ได้ตื่นเต้นมากเพราะผมได้มันมามากมายโดยการขาย Lizardman Gauntlets(ลิซาร์ดแมน กันเล็ต).

หากมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือแก่นอเวคที่คุณมักจากการดรอปจากบอสเท่านั้น ผมเดาว่างั้นนะ?

อย่างไรก็ตามคุณสามารถบอกได้ว่ามันมีรูปร่างที่แตกต่างจากแก่นอเวคทั่วๆไป หากคุณมองใกล้ๆ.

แก่นอเวคปกติจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือพร้อมกับมีสีรุ่งและผิวที่เนียบเรียบเหมือนกับลูกแก้ว.

อย่างไรก็ตาม ไอเทมที่อยู่ในมือของผมนั้นมันแตกต่าง.

แม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นผมก็ยังชื่อว่ามันเป็นแก่นอเวค.

“พื้นมันเรียบและดูหยาบ….แต่ฉันมั่นใจว่ามันยังคงเป็นแก่นอเวค.”

มันเป็นความคิดที่ไม่มีจุดมุ่งหมาย แต่ผมสงสัยว่าเราจะระบุไอเทมเหล่านี้ได้อย่างไร.

อาจเป็นเพราะรูปร่างมันแตกต่าง.

“ตอนนี้ ลองใช้มันดู.”

มันไม่อันตรายเลยเพราะแก่นอเวคไม่จำเป็นต้องกิน แต่ใช้มันเหมือนกับการใช้หนังสือสกิล เพียงแค่คุณวางเอาไว้บนหน้าอกและยืนยันหลังจากที่คุณได้ยินเสียงจากระบบ.

มันจะดีแค่ไหนถ้ามาร์เบิ้ลที่ผมได้รับจากโจ๊กเกอร์นั้นใช้งานได้เหมือนกัน.

ผมวางแก่นอเวคไว้บนหน้าอก.

[โปรดเลือกสกิลที่จะอเวค]

“ฮืมม…มันเป็นแก่นอเวคอย่างที่คาดเอาไว้.”

ผมได้ยินคำบรรยายโดยการให้เลือกสกิลที่จะอเวค.

รูปร่างแตกต่างกัน แต่ผมแน่ใจว่ามันเป็นแก่นอเวค.

เนื่องจากผมไม่ได้คิดถึงสกิลที่จะอเวคไว้ล่วงหน้า ผมจึงเลือก Frost Orb ที่ผมยังไม่ได้อเวคหลังจากที่มันเลเวล 100 และมันคือเป็นหัวใจสำคัญเหมือนกับที่อยู่บนหน้าอกของผมอีกดวง.

[สกิลไม่เหมาะกับการอเวค]

“หืม?”

Frost Orb เลเวล 100 แล้วแน่ๆ.

แม้ว่ามันจะเป็นสกิลแรงค์ด่ำๆ แต่มันก็เป็นสกิลที่ไม่ได้อเวค.

แต่อย่างนั้นแก่นอเวคก็ต้องการระดับของแรงค์ มันไม่ยอมรับ.

“งั้นมันก็เป็นของไม่สมบูรณ์ บางทีฉันอาจจะทำลายมันด้วยเมเทโอ.”

[คุณต้องการอเวคเมเทโอ?]

“…. มันพูดว่าไงนะ? ฉันอเวคเมเทโอมานานแล้ว.”

ก่อนที่ผมจะโยนแก่นอเวคลงกับพื้นด้วยความหงุดหงิด ผมก็หยุดไปสักพัก.

และเมื่อมองไปยังแก่นที่ไม่สมบูรณ์ที่ผมถืออยู่ในมือ ผมก็คิดสักพัก.

นี่คือดันเจี้ยนเลเวล 34 ซึ่งบางทีมนุษย์ชาติยังไม่อาจเข้าใกล้มันได้.

นอกเหนือจากบลัดสโตนแล้ว มันก็ไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไอเทมที่นี่.

คุณจะเรียกมอนเตอร์ที่มีรูปร่างเหมือนกับพอร์ทัลว่าอย่างไง นั่นก็เพราะมันยังไม่ได้ถูกตั้งชื่อ.

และนี่คือแก่นอเวคที่ผมได้มาจากที่นี่.

ทุกคนรู้ว่าสกิลมีเลเวลสูงสุดอยู่ที่เลเวล 200.

แค้จะเกิดอะไรขึ้นหากว่ามีสกิลที่เหนือยิ่งกว่านั้น?

บางทีมันอาจจะเป็นไปได้ที่จะเพิ่มเลเวลเกินกว่า 200 ด้วยแก่นอเวคก้อนนี้.

“เหมือนกับมาร์เบิ้ลลูกนั้น ทุกวันที่ผ่านมา ทำให้ผมมีคำถามเพิ่มมากขึ้น.”

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับข้อมูลเหล่านี้จากคนอื่น.

มันเป็นบางอย่างที่มีเพียงตัวผมเองที่จะแก้มันได้.

ผมสามารถอัพเลเวลสกิลได้อย่างง่ายๆ เนื่องจากมานาไร้ขีดจำกัดของผม.

ถ้ามันเป็นสกิลที่ไม่มีคูลน์ดาว์ ผมใช้เวลาอย่างมากก็ไม่เกิน 4-5 วัน.

แต่ผมไม่อาจปล่อยให้มันเสียเวลาล่าอย่างที่ผมต้องการตอนนี้ได้.

“สกิลเลเวล 200 แต่ไม่ได้ส่งผลกับการล่าของเรานัก และหากว่ามันล้มเหลวที่ทำให้สกิลไม่มีคูลดาวน์ เราก็ยังสามารถอัพเลเวลได้อย่างรวดเร็ว.”

มองไปที่เมนูสกิล ผมเลือก.

“ฉันเลือก Eye of Insight.”

จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าแก่นอเวคไม่สมบูรณ์อันนี้ช่วยอเวคสกิลให้อีกครั้ง?

คุณสามารถพูดได้ว่าผมทำผิดพลาดครั้งใหญ่เนื่องจากผมใช้มันกับสกิลซัพพอตมากกว่าสกิลโจมตี.

แต่แทนที่จะมีบางอย่างที่ไม่อาจใช้งานได้เนื่องจากไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร มันจะดีกว่าถ้าเอาอย่างอื่นมาทดลองอย่างอันนี้.

ผมไม่เสียใจกับการเลือกของผม.

[คุณต้องการอเวค Eye of Insight?]

ผมได้ยินคำบรรยายและเลือกยอมรับอย่างไม่ลังเล.

หินส่องแสงและหายไปทันที.

เมื่อผมเปิดเมนูสกิลอีกครั้ง ผมก็รู้สึกประหลาดใจ.

-Eye of Insight ** Lv. 1 [0%]

“บ้าไปแล้ว สกิลสองดาว….”

****

“ฮยอง เราจะเอายังไงกับวันนี้ดี?”(จุงโฮ)

จุงโฮพูดกับโฮจินขณะที่เช็ดเลือดออกจากดาบและชุดเกราะ.

การล่ากับมินชอยทำให้เขามีเลเวล 110 ซึ่งทำให้เขาพอใจกับการเติบโตของเขาอย่างมาก.

มันเป็นการเติบโตที่ปกติต้องใช่เวลาถึง 1 ปี แต่เขาก็ทำได้ภายในวันเดียว.

เหมือนกับโฮจิน.

โฮจินตอบจุงโฮหลังจากที่เขามั่นใจว่าเช็ดเลือดออกจากนาฬิกาข้อมือของเขาเสร็จแล้ว.

“เราควรทำไงดี?”(โฮจิน)

“ตั้งแต่ที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด นายอยากจะไปดื่มโซจูที่ไหนสักแห่งไหม?”(จุงโฮ)

“เหอะๆ หากว่าภรรยาของฉันรู้เข้า มันอาจจะเป็นปัญหา…”(โฮจิน)

“งั้นคุณก็แค่กลับเร็วขึ้นหน่อย?”(จุงโฮ)

“มันอาจจะไม่เป็นไรหากว่าฉันแค่จิบมันสักหน่อย?”(โฮจิน)

“แน่นอน! งั้นก็ไปกันเลยครับ คุณพี่!”(จุงโฮ)

ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังร้านเล็กๆที่อยู่ถัดจากดันเจี้ยน.

เนื่องจากมันดึกแล้ว อเวคหลายคนที่ล่ามาทั้งวันมักจะมาดื่มกันที่นี่.

ทั้งสองนั่งอยู่มุมหนึ่ง สั่งโซจูและกับแกล้ม ในขณะที่พวกเขารอพวกเขาก็คุยกันต่อ.

จุงโฮพูดกระซิบก่อน.

“การเฝ้าระวังเป็นไงบ้าง?”

เขาอาจจะพูดถึงการเฝ้าระวังที่ติดตามเขาหลังจากที่เขาออกจากสมาคม.

อาจจะเป็นเพราะมันเกี่ยวกับการขับรถไปกับมินชอยตอนที่ออกไปสู้กับโจ๊กเกอร์.

โฮจินพูดขณะที่เขาเคี๊ยวแตงกวา.

“มันก็เหมือนเดิม.”

“เนื่องจากมันเป็นวันศุกร์ พวกเขาอาจจะเลิกงานก่อนเวลา?”

“เหอะๆๆ! อาจจะเป็นอย่างนั้น ถูกต้อง มินชอยคงไม่ได้วุ่นกับการล่าอยู่ใช่ไหม? ทำไมนายไม่โทรหาเขา?”

“เอ่อ มันไม่มีประโยชน์ที่จะโทรหาเขาก่อน หากว่าเขาไม่โทรเข้ามาเอง.”

“เป็นงั้นเอง?”

“ใช่ เขาเป็นคนที่ยุ่งมากๆ.”

“ใช่ มันเป็นเรื่องจริง.”

“เขาพูดว่าเขาต้องไปโรงเรียนอีกไม่นาน ดังนั้นเขาจึงต้องทำให้มันดีที่สุด.”

“หืม? โรงเรียน?”

“ใช่ เขาบอกว่าเขาไม่อาจทำอะไรได้เพราะว่ามันเป็นภาคบังคับ.”

“อ่าหะ ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง ในสถานการณ์แบบนี้ โรงเรียนมันไม่สำคัญขนาดนั้นแล้วใช่ไหม?”

“อ่า! ผมคิดว่ามินชอยต้องมีความสุขมากแน่ๆ ก่อนอื่น ชนแก้ว! คุณพี่.”

นั่นเป็นการเริ่มต้นทำให้ทั้งคู่เมาเหมือนหมาข้างถนน.

ขวดโซจูก็เพิ่มมากขึ้น จาก 4 เป็น 5.

คำพูดที่อ้อแอ้ของจุงโฮที่ถามโฮจินดังขึ้น.

“ฮยอง.”

“หืม?”

“เราจะไปที่ไหนกันดี?”

“ที่ไหน? คืออะไร?”

“ใช่ มันก็เพราะว่าเรามีน้องเล็กของเราที่กำลังกัดฟันต่อสู้ เราไม่อาจจะอยู่เฉยได้หากมันเป็นอย่างนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมหมายถึง.”

“อืม…ทำไมนายถึงต้องช่วยมินชอย?”

“ผมรู้สึกไม่ดีกับเขา เขายังเด็กมาก ขอบคุณคนโลภทุกคนที่พยายามจะเอาตัวเขาไปสนองความโลภของตัวเอง…บางครั้งเขาก็น่ากลัว แต่เขายังเด็กกว่าที่เราคิด.”

“……”

“พวกหัวรุนแรง? รัฐบาล? ผมไม่สนใจ นั่นเพียงว่าเขาเป็นน้องเล็กของผม.”

“สิ่งเดียวที่เราทำได้คือให้ข้อมูลกับเขา ไม่ว่าเราจะพยายามเติบโตมากแค่ไหน เราก็ไม่อาจต่อสู้กับไอ้พวกระยำเหล่านั้นได้.”

“ก็จริง ข้อมูล แต่ถึงอย่างนั้น มาร์เบิ้ล ไม่ว่าเราจะค้นหามากแค่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งการอ่านจากหนังสือก็ไม่มีอะไรเลย รู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่อาจช่วยเหลือเขาได้อีกต่อไป.”

“….”

“แต่ผมรู้สึกไม่ดีที่จะออกล่ากับเขา คุณพี่เราควรจะทำอย่างไรดี?”

ดื่มโซจูเข้าไปอีกแก้ว โฮจินก็พูดต่อ.

แต่จากนั้น.

“ปัดโถ่~ เนื่องในโอกาสอะไรถึงได้มากินเหล้าที่นี่?”

มีคนเอาเก้าอี้มานั่งด้วย เขาคือมินชอย.

ในสถานการณ์ที่อึดอัดใจนี้ไม่ว่าคุณจะมองอย่างไร มินชอยก็ยังคงมองไปที่โฮจินและจุงโฮสลับไปมา.

ใบหน้าของจุงโฮแดงกล่ำขณะที่เขาพูด.

“โย่! ไอ้น้อง เป็นไงบ้าง?”(จุงโฮ)

“ไง น้องชาย เป็นไงบ้าง.”(โฮจิน)

“พี่กำลังทำอะไรตอนนี้?”(มินชอย)

“ทำไมถามอย่างงั้น?”(โฮจิน)

“พี่คงไม่มีประโยชน์กับนายอีกแล้ว.”(จุงโฮ)

“คุณโฮจิน พี่จุงโฮดื่มไปมากเลยหรอ?”

“เหอะๆ ฉันไม่ได้มอมเขานะ.”

มินชอยได้ยินสิ่งที่จุงโฮพูดกับโฮจิน.

ความกังวลและความรู้สึกขอโทษของจุงโฮ.

มินชอยได้ยินทั้งหมด.

“ฮยอง ผมควรจะทำให้คุณสร่างเมาดีไหม?”

“อ่า! แกจะตีพี่ของแกหรือทำอะไรบางอย่าง!”

มินชอยหัวเราะเล็กน้อยกับใบหน้าตลกๆของจุงโฮ ก่อนที่จะดึงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเขาและพูด.

“จากสิ่งที่ผมได้ยิน ผมเข้าใจว่าทำไมพี่จุงโฮถึงเปินอย่างนี้ ผมคิดว่าผมพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว?”

“แกกำลังพูดอะไร?”

“พรุ่งนี้เราควรจะไปกันตั้งแต่เช้าหลังจากที่คุณสร่างดีไหม? หรือว่าเราควรจะไปตอนนี้?”

“ห๊ะ! ไปตอนนี้เลย! รอบสองเริ่มได้!”

“เหอะๆ งั้นก็ไปเลย แต่มันเป็นที่ไหน…?”

“คุณจะรู้เมื่อคุณได้ไป.”

-ติ๊ด

-ติ๊ด

-ติ๊ด.

จากนั้นทั้งสามก็เข้าไปในดันเจี้ยน.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset