I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 80. โกสต์เคลื่อนไหว

“ทำไมแกต้องแปลกใจด้วย? ป่ะ ไปลงดันฯกัน.”

“….”

“….”

จากการบอกกล่าวของโกสต์ ทุกคนก็เริ่มพึมพำ.

นอกจากนี้ก็ไม่มีที่ไหนที่จะลงดันฯได้ทันที…

ทุกคนกำลังวุ่นอยู่กับการหาคำตอบ.

อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถตอบได้.

มันจะต้องมีการคาดหวังเนื่องจากสิ่งที่โกสต์พูดออกมา เขาเป็นหัวหน้าในสถานที่ตรงนี้.

ทุกคนที่นี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโกสต์.

หากพวกเขาพูดโดยไม่คิด พวกเขาก็อาจจะถูกเอาชีวิตเอาได้.

ภายใต้ผู้นำฝ่ายหัวรุนแรง มีหัวหน้าใต้บังคับบัญชา 8 กอง.

แต่ละกองจะประกอบไปด้วยคลาสที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู่เสียส่วนใหญ่.

ไม่มีกองไหนแข็งแกร่งกว่าหรืออ่อนแอกว่ากองอื่นๆ.

มีหัวหน้าและรองหัวหน้าจากทั้งหมด 50 ทีม ต่อหัวหน้าฝ่ายหัวรุนแรง.

ดังนั้นจากแต่ละกลุ่ม จะมีสองคนที่เก่งที่สุด.

ไม่นับรวมอยู่ในกลุ่ม มันก็มีทั้งหมด 30 คน.

[TL:แบ่งอย่างนี้นะเผื่องง หัวหน้าฝ่ายหัวรุนแรงจะมีลูกน้องที่แบ่งเป็น หัวหน้าและรองหัวหน้ากลุ่มกลุ่มละ 2 คน แต่ละกลุ่มจะแบ่งเป็น 50 ทีม ภายใน 50 ทีมจะแบ่งออกเป็น 8 กองแล้วเศษที่เหลือก็จะมีสถานะเทียบเท่ากับหัวหน้าและรองหัวหน้ากลุ่ม ซึ่งจะมีทั้งหมด 30 คนทำหน้าที่เป็นเสมือนผู้คุมกฏอีกที]

การ์เดี้ยน(Guardians).

คนเหล่านี้จะทำงานโดยตรงจากผู้นำฝ่ายหัวรุนแรง.

เมื่อโจ๊กเกอร์ออกไปต่อสู้กับมินชอย พวกเขาก็พยายามจะติดตามไปด้วย แต่โจ๊กเกอร์ปฏิเสธ.

เว้นแต่ว่าหัวหน้าของพวกเขาจะไปพบกับสุดยอดบอส ซีคิล มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะยืนอยู่เฉยๆข้างๆหัวหน้าของพวกเขา.

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องในแบบของโกสต์.

รวมสมาชิกทั้งหมด 500 คนจะอยู่ภายใต้ผู้นำฝ่ายหัวรุนแรง.

คุณสามารถบอกได้ว่าจำนวนเหล่านี้ยอดเยี่ยมมาก.

อย่าไงก็ตาม การได้อเวคทั้ง 500 จากจำนวนคนที่ได้อเวคทั้งหมดในแต่ละปี.

จากนั้นแบ่งเป็นจำนวน 40% จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปีและจบลงด้วยการหายไป.

บางครั้งเนื่องจากได้รับคลาสที่ไม่อาจสร้างเงินได้,ถูกมอนเตอร์ฆ่าหรือถูกคนอื่นฆ่า.

เมื่อดูจากจำนวนแล้วมันก็ไม่ใช่น้อยๆ.

แน่นอน ว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีเชื้อชาติเกาหลี.

เนื่องจากพวกเขาได้เลือกสำนักงานใหญ่ของฝ่ายพวกหัวรุนแรงเป็นฐานในประเทศเกาหลี จำนวนสมาชิคที่ถูกเชิญมาก็มีไม่น้อย

และมันก็เป็นอย่างนั้น.

“เราจะทำตามคำสั่งของคุณ บอส.”

คนที่ทำลายความเงียบคือรองหัวหน้าลีโอกุน.

เขาเป็นลูกน้องของโกสต์ หัวหน้าที่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง เขาอาจถูกเรียกว่าเป็นผู้นำที่แท้จริงของกลุ่มได้ เนื่องจากเขาทำงานทั้งหมดที่โกสต์ไม่เคยทำ.

เขาไม่ได้มีความสามารถนักเนื่องจากเขามีคลาสเป็นแท้ง(ตัวชน) แต่เขามีความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม.

นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าำทไมเขาถึงสามารถขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มได้ตอนที่หัวหน้าตัวจริงไม่อยู่.

“อ่า…ได้ โฮกุน ลงดันฯกับฉันและเอาทุกคนมาที่นี่ด้วย.”

“คุณหมายถึงทุกคน?”

“ใช่ เรามีทั้งหมดเท่าไร? 1. 2. 3.”

“ทั้งหมด 481 คนหัวหน้า.”

“มีคนเหมือนคุณมากขนาดนี้? ว้าว นั้นดีมาก.”

“งั้นก็ให้พวกเขาเตรียมตัวทันที.”

“รับทราบ!”

เมื่อเขาพูดเสร็จ โกสต์ก็มีท่าทางที่มีความสุขอย่างมากอยู่เต็มใบหน้าของเขา เขาพึมพำอย่างตื่นเต้นและเข้าไปในห้องทำงานของเขา.

เขาเงียบตลอดเวลา แต่นี่เป็นคำสั่งที่ระดับพลจากหัวหน้า.

คนที่รับคำสั่ง โฮกุนทำงานของเขาตามปกติ.

“คุณได้ยินเขาแล้ว หัวหน้าได้สั่งให้ระดมกำลังพล หัวหน้าแต่ละกองออกมาด้านหน้า.”

เมื่อเขาพูดเสร็จ มีคน 8 คนที่เป็นหัวหน้ากองออกมาข้างหน้า.

ไม่มีความลังเลเหมือนกับตอนที่อยู่ต่อหน้าโกสต์.

เขามองไปยังโฮกุนด้านหน้าเพื่อรอรับคำสั่งต่อไป.

เขาพูดต่อ.

“นี่เป็นครั้งแรกที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มันช้า แต่อาจหมายความว่าเขามีแผนที่จะที่จะนำเรา ทุกคนเข้าใจไหมว่าผมหมายความว่าอะไร?”

“ครับ!”

“ดี.”

“ตั้งแต่นี้มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อาจมีบางอย่างที่เราไม่อาจจัดการมันได้ด้วยตัวเอง หัวหน้ากองแต่ละคนตรวจสอบสมาชิกอย่างให้ขาดแม้แต่คนเดียว ทำตามที่หัวหน้าของเราสั่ง!”

“เข้าใจแล้ว.”

“ดี!”

หัวหน้ากิงแต่ละคนรีบกลับไปยังกองของเขา.

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มอธิบายสิ่งที่ต้องทำระหว่างมาตรการฉุกเฉิน เช่น

1.เก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับตัวเองทั้งหมดออกจากตึกที่อยู่

2.ทำลาย ID อเวคต่อหน้าหัวหน้ากอง

3.ใบหน้าและความสามารถในอนาคตจะต้องถูกซ่อนเอาไว้

4.ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้ประหยัดมานาให้มากพอที่จะใช้สกิลได้มากขึ้นอีกสัก 1-2 สกิล.

ทั้งหมดที่ทำต้องมั่นใจว่าข้อมูลจะไม่รั่วไหลออกมา.

ในกรณีที่พวกเขาถูกฆ่าตายระหว่างภารกิจ การกระทำเช่นนี้ก็เพื่อทำให้แน่ใจว่า ID ของพวกเขาหรือสิ่งของต่างๆจะไม่บ่งบอกตัวตนของเขาหลังจากที่พวกเขาจากไป.

เหตุผลทั้ง 4 ข้อที่ทำไปอาจจะเป็นเหตุผลเหล่านี้.

มันจะต้องเหลือมานาให้เพียงพอที่จะฆ่าตัวตายหากเจอกรณีที่เลวร้ายที่สุด.

และเช่นนั้นหลังจากที่มีการเรียกระดมพลไป 30 นาทีต่อมาทุกคนก็มารวมตัวกัน.

อย่างไรก็ตามโกสต์ก็ยังไม่ปรากฏแม้ว่าจะผ่านไปนานมาก.

มันผ่านไปเรื่อยจนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงผ่านไป.

โกสต์ปรากฏตัวพร้อมกับเอามือซุกกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง.

ขณะที่เขาพูด เขามองไปยังกลุ่มคนจากนั้นก็มีรอยยิ้มจนเห็นฟัน.

“พวกคุณจะไปไหน? ทำไมทุกคนทำท่าน่ากลัวขนาดนี้?”

“…..”

สิ่งที่โกสต์พูดทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างฉับพลัน ลีโฮกุนพูด.

“หัวหน้า คุณเรียกพวกเรามาไม่ใช่หรอ.”

“ฉันเรียกงั้นหรอ?”

โกสต์พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง.

มันเกือบจะเหมือนกับว่าเขากำลังถามคนอื่น.

“อ่า…ใช่แล้ว!”

“สมาชิกทั้ง 481 คนอยู่ตรงนี้แล้ว.”

“หืม..แต่…ทำไมต้องเตรียมพร้อมตอนนี้ เราจะไปวันพรุ่งนี้?”

“นะ…นั่น…”

“หืม?”

“มันไม่มีอะไร ถ้าอย่างนั้น เราจะเตรียมพร้อมในวันพรุ่งนี้.”

ทุกคนคิดว่านี่เป็นการทดสอบที่ไร้สาระ ทุกอย่างที่ทำมันไร้ความหมายมาก.

แน่นอน ไม่มีใครโง่พอที่จะแสดงความคิดออกมาให้เห็นเพื่อชีวิตของตัวเอง.

จากนั้น ร่างของโกสต์ก็หายไปและเสียงถอนหายใจเกือบ 500 คนก็ดังออกมาทันที.

ความกังวลและความตึงเครียดสำหรับการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ก็มาพร้อมกัน.

****

ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่ ผมก็ได้ใช้ วาป ขณะเดิน.

แก่นหยั่งรู้ 3 แก่น,บุชเชอร์ซอร์ดและแหวนคืนชีพ.

มันเพียงพอที่จะทำให้ผมสงสัยว่ามีการลงดันฯครั้งไหนที่ดีกว่านี้อีกไหม?.

ผมเทเลพอตไปที่ออฟฟิศของคนแคระ.

ผมโยนถุงผ้าที่เต็มไปด้วยแก่นหยั่งรู้ไว้ที่โต๊ะ.

ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มหลังจากที่ผมมองไปที่แก่นสีรุ้ง.

ในทางกลับกันผมก็เริ่มกังวลกับสกิลที่ผมต้องใช้การหยั่งรู้.

“ดูเหมือนว่าเราต้องใช้กับเมเทโอ หรือบางทีอาจจะเป็นมานาชิลด์? มันจะกลายเป็นสกิลที่ดูโกงๆมากกว่านี้ไหม? หืม…”

อย่างแรกเนื่องจากผมใช้มันมากที่สุดและยังสร้างความความเสียหายเป็นจำนวนมาก ผมจึงตัดสินใจที่จะเว้นเมเทโอไว้ก่อน.

พูดสั้นๆแล้วมันเป็นทักษะหลักของผม.

ผมหวังว่าจะมันจะทำความเสียหายวงกว้างเพิ่มมากขึ้น หยิบแก่นมาวางบนหน้าอกของผม มันเริ่มเปล่งประกาย.

เกิดเสียงลมเบาๆและแก่นอเวคก็หายไป.

*Meteor Call Lv. ** 1 [0%]

(เรียกอุกกาบาตที่ทรงพลังจำนวนมากลงมา)

ระดับของสกิลเปลี่ยนเป็นสองดาว.

ผมสงสันว่าความรุนแรงของเมเทโอยังคงอยู่หรือไม่.

ผมอยากจะร่ายมันลงทันที แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นที่นี่จะถูกทำลายโดยไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น.

“ฉันจะรอจนถึงพรุ่งนี้ได้ไง?”

เหมือนกับที่เราเจอเงิน 10 ดอลลาร์ในกระเป๋าเสื้อกันหนาว ผมไม่อาจเก็บความตื่นเต้นได้.

ก่อนที่จะถึงพรุ่งนี้ ดูเหมือนว่าผมต้องไปดันเจี้ยนใกล้ๆซะแล้ว.

เพราะความรู้สึกนั้น ผมไม่อาจนอนหลับได้.

ดูจากคำอธิบายมีคำว่า‘จำนวนมาก’ อยู่บนนั้น.

มันเป็นคำที่หรูหราอย่างมาก.

ไม่มียาตัวไหนที่ช่วยให้หัวใจเต้นให้เป็นปกติของผมได้ในตอนนี้.

มันแกว่งขาของผมขณะที่มองแก่นหยั่งรู้ที่เหลืออีกสองก้อน.

เมื่อครั้งแรกที่ผมได้เจอมิมิค ผมคิดว่าผมจะจัดการมันด้วย Meteor,Iceberg,Formless Sword Aura ซึ่งเป็นสกิลโจมตีทั้งหมด.

อย่างไรก็ตามในความคิดของผม ผมอยากรู้มากว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากใช้กับมานาชิลด์.

ผมคิดว่าเลเวล 200 จะสิ้นสุดแล้วและมันก็ให้โบนัสเอฟเฟ็คที่ไม่น่าเชื่อจากตรวจสอบของ Eye of Insight.

มันเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่สามารถทำแบบเดียวกับมานาชิลด์ได้.

อย่างไรก็ตามหากทั้งหมดที่มันเพิ่มขึ้นคือการลดมานาที่ใช้หรือได้รับความเสียหายเพิ่มมากขึ้น มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่.

สำหรับคนที่มีมานาไม่สิ้นสุดอย่างผม มันจะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด.

ยิ่งกว่านั้นแก่นอเวคก็ยังมีการดรอปที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ.

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแก่นอเวคอันหน้าหรือมิมิคตัวหน้าผมจะเจอเมื่อไหร่อีก.

ผมกุมหัวเพราะว่าผมไม่อาจตัดสินใจได้.

“ผมไม่อาจนับได้ว่ามานาชิลด์ได้ช่วยชีวิตของผมหลายครั้งแล้ว งั้นก็ลุยเลยแล้วกัน.”

*Mana Shield Lv. ** 1 [0%]

(ใช้มานาทดแทนกับความเสียหายที่คุณได้รับ)

(หากมันเป็นสกิลเหนือแรงค์ จะมีโอกาส 30% ที่จะป้องกัน หลังจากเลเวล 200 มีโอกาสป้องกันเพิ่มขึ้น 2% ทุกๆ 10 เลเวล)

ฉันทำได้.

ไม่ มานาชิลด์ทำได้.

ผมมีความสุขมากกับที่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่แน่นักอย่างการใช้มานาลดลง.

แต่ผมมีโอกาสที่จะต้องป้องกันสกิลเหนือแรงค์ได้.

หากมันเลเวลสูงสุด 300 มันจะมีโอกาสเพิ่มขึ้น 50%.

เปอร์เซ็นที่มันจะป้องกันได้ 5 ใน 10 ครั้งจากสกิลเหนือแรงค์.
[TL:สกิลแบ่งเป็นแรงค์ต่างๆไล่จากต่ำสุดแรงค์ F>E>D>C>B>A>S ส่วนเหนือแรงค์beyond ranking คือแรงค์ไม่จัดอันดับที่แปลไปในบทแรกๆ]

เลเวลสูงสุดมันเท่าไร? ไม่ มันอาจจะเป็นไปได้ว้าเลเวล 300 ยังไม่ใช่สูงสุด.

และถ้าผมใช้สกิลนี้กับชิลด์อื่นๆ มานาชิลด์จะดูดซับความเสียหายก่อน.

ชิลด์อื่นๆก็ไล่ไปเรื่อยๆอย่างนี้.

เนื่อจากผมเก็บชิลด์นี้เหล่านี้ไว้ได้ตลอด การเพิ่มเลเวลของผมจึงไวมาก.

สิ่งที่ผมต้องทำคือแค่เข้าไปในดันเจี้ยนและนอนลงขณะที่ใช่มานาชิลด์.

มันไม่นับว่าเป็นการลงดันด้วยซ้ำ.

มันเกือบจะเป็นเหมือนของขวัญวันเริ่มต้นคริสต์มาสสำหรับผม.

เมเทโอหลายดวงและมานาชิลด์ที่เหนือขั้นไปอีก.

ดวงสิ่งนี้มังคงจะไม่เป็นไรหากจะพูดว่าผมมีพลังมากเพียงพอที่จะเทียบเท่ากับแรงค์เกอร์ทุกคนบนโลก.

“สิ่งเหล่านี้จะทำให้คนบ้าคลั่งและบ้าคลั่งขึ้นไปอีกขั้น ผมคิดว่ามันก็เพียงพอที่จะบอกว่าผมสามารถล้มบอสเลเวล 40 ด้วยสกิลแรงค์ F อย่าง Frost Orb?”

สกิลต่อไปที่ผมจะใช้หยั่งรู้คือ Formless Sword Aura.

นี่เป็นสกิลโจมตีแรงค์ S ทางกายภาพแบบ 1-1.

ความเสียหายเป็นสิ่งสำคัญและเป็นทุกอย่าง แต่สิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับการโจมตีอันนี้คือคุณไม่อาจคาดเดาได้.

ผมคาดหวังอย่างมากว่าสกิลนี้จะพัฒนาสกิลไปแบบไหน.

*Formless Sword Aura Lv. ** 1 [0%]

(เป้าหมายจะถูกโจมตีดาบไร้รูปที่เกิดจากออร่าและไม่อาจคาดเดาทิศทางที่ดาบออร่าจะโจมตีได้)

(ใช้มันแปลงร่างเป็น สัตว์ป่า คูลดาวน์ 300 วินาที)

“สัตว์ป่า?”

คำอธิบายของ Formless Swordless Aura นั้นไม่ค่อยดีนัก.

มันไร้ประโยชน์ที่ผมจะใช้ความสามารถในการแปลงเป็นสัตว์ป่าด้วยความสามารถของผม มันไม่มีทางเลยที่ผมต้องใช้มันอย่างนั้น.

และยิ่งไปกว่านั้นมีคูลดาวน์ติดมาด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบน้อยที่สุด.

มันต้องใช้เวลาเตรียมนานถึง 5 นาที.

ยิ่งกว่านั้นมันก็ไม่มีสกิลเหนือแรงค์แบบไหนที่ทำให้ผมผิดหวัง.

แต่ผมรู้สึกว่าสกิลแปลงเป็นสัตว์ป่านี้จะเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก.

ผมคว้าก้อนหินที่กระจายๆอยู่และใช้บุชเชอร์ซร์อดเล่มใหม่ที่อยู่ในมือของผม

ผมวางแผนที่จะทำลายก้อนหินและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ผมต้องล่า.

แต่ถ้าผมไปที่ดันเจี้ยนเลเวลต่ำๆ มอนเตอร์อาจจะละลายหายไปก่อนที่ผมจะสามารถสัมผัสกับพลังที่มีความรุนแรงขนาดนั้น.

ผมไม่มีเวลากลับไปที่ยางพย็องหรือพาจู.

เหลือเวลาอีกพักนึงก่อนที่คูลดาวน์ของวาปจะหมดลง.

ผมสูดลมหายใจเล็กน้อยและวางแผนที่จะกินเกี๊ยวซ่า ผมมุ่งหน้าไปที่ดันเจี้ยนเลเวล 28.

มันเป็นดันเจี้ยนที่มีคนระดับสูงเพียง 1% ที่จะเข้ามาได้ แต่สำหรับผมแล้วมันรู้สึกดีที่ผมจะเอาไว้ใช้ทดสอบสกิล.

****

ผมมาถึงดันเจี้ยนเลเวล 28 .

-ปิ๊บ

ผมใช้มาสเตอร์ID ที่ได้มาจากโฮจิน.

ความวิตกกังวลและความตื่นเต้นแบบเดียวกับที่ผมมีหลังจากที่เข้าดันเจี้ยนเลเวล 1 หลังจากที่ผมกลายเป็นอเวคของผม.

“เราควรจะเริ่มตอนนี้?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset