I Never Run Out Of Mana – ตอนที่ 88

หลังผมกินเสร็จแม่ก็ออกจากบ้าน เนื่องจากมีที่ที่ต้องทําก่อนหน้านี้เลยต้องออกไป.

 

ผมแน่ใจว่าแม่ออกจากบ้านไปแล้ว ผมก็มุ่งหน้าไปที่รถของจุงโฮ.

นั่นก็คือการเอาถุงที่แน่นเปี้ยะและของที่ดรอปทั้งหมดออกมา

 

แน่นอน แม่ของผมไม่ห้ามที่จะให้ผมออกล่า อย่างไรก็ตาม ผมไม่ต้องการให้เธอเห็นสิ่งเหล่านี้ที่เต็มไปด้วยเลือด

 

เนื่องจากอาวุธและชุดเกราะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เพียงแค่สามชิ้นเท่านั้นมันก็เต็มมือของผมแล้ว

 

เมื่อผมมาคิดถึงตอนนี้ ผมก็ได้แต่สงสัยว่าผมเอาสิ่งพวกนี้ออกมาได้อย่างไร?

 

มันเทของทั้งหมดลงในห้องนั่งเล่น

 

หลังจากนั้น ผมก็เข้านอนเพื่อหาข้อมูลต่างๆก่อนที่จะกลับมาที่ห้องนั่งเล่น

 

จุงโฮและโฮจินต่างก็มองของที่ดรอปลงมา

 

ต่อหน้าของพวกเขา ผมวางบลัดเคฟวิ่ง(Blood’s Craving).

 

สิ่งนี้มันเป็นอาวุธมีเจ้าของ

 

ผมพูดกับพวกเขาทั้งคู่ที่กําลังจ้องมองมัน

 

“เอาไป.”

 

“หืม?”

 

“ให้พวกเราทดสอบมันทันทีที่กลับมาเลยหรอ”

 

“ก็สวมๆมันไปเถอะ”

 

เมื่อพวกเขามองหน้ากัน เขายืนและสวมเกราะ

 

“อะไรเนี่ย มันไม่มีค่าสถานะโชว์?”

 

“ฉันก็เหมือนกัน”

 

“นี่เป็นเรื่องปกติ”

 

เพราะของบลัดเคฟวิ่งนั้นไม่มีค่าสถานะในตอนเริ่มต้น

 

อย่างไรก็ตามหลังจากจัดการมอนเตอร์ไป 100 ตัวแล้ว มันจะเพิ่มค่าสถานะให้กับผู้ใช้เพียงอย่างเดียว

 

จุงโฮ หยุดคลําชุดเกราะและพูด

 

“มันเป็นของเล่นหรอ?”

 

“นายบอกว่านายล่ากูลเลยทําให้ชานิ?”

 

“ใช่ ถูกต้อง”

 

“แล้ว”

 

“มันมีราวๆ 500 หรือพอๆกันนี้ออกมาถูกไหม?”

 

“ผมคิดว่า บางที?”

 

“แล้วตอนนี้ สิ่งที่นายวางอยู่ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ได้จากการที่น่าล่า”

 

คุณมินชยอล มันไม่มีค่าสถานะบอกสําหรับเกราะตัว

 

“คุณอาจจะเพิ่มค่าสถานะได้หนึ่ง 1 แต้มทุกการสังหารมอนเตอร์ 100 ตัวทุกค่าสถานะ”

 

“ห้ะ?”

 

“นายกําลังพูด?”

 

“ผมกําลังพูดว่า ถ้าคุณไปเคลียร์ดันเจี้ยนเลเวล 23 กูล สักครั้ง มันก็เหมือนกับคุณเลเวลอัพ 1 ครั้ง”

 

“ว้าว…มันต้องแพงมากแน่ๆ”

 

ฟังจากสิ่งที่ผมพูด จุงโฮและโฮจินถอนชุดเกราะออกทันที จากนั้นก็วางไว้บนหน้าของผม.

 

“แน่นอน ไม่มีทางที่คนดื้อด้านเหล่านี้จะเอามันไปง่ายๆ

 

“มิสเตอ.”

 

“ครับ?”

 

“คุณขอโทษ นั่นเพราะว่าคุณไม่อาจช่วยอะไรได้ใช่ไหม?”

 

“ใช่ถูกต้อง.”

 

“ฮยองนิม.”

 

“ว่า?”

 

“คุณก็คิดอย่างนั้นจริงๆหรอ.”

 

“ใช่…”

 

“คุณสองคนก็ยังเป็นอย่างนี้ แม้ว่าเราจะไปกันไกลแล้ว?”

 

“คุณสองคนมีเพียงแต่ต้องกังวลและเสียใจ ถ้าไม่ ก็รับสิ่งนี้ และเข้มแข็งขึ้นเพื่อที่คุณจะสามารถช่วยเหลือผมได้ เราเป็นทีมเดียว นั่นเป็นเหตุผลที่ถ้าคุณสองคนแข็งแกร่งขึ้น มันก็ดีสําหรับผมเช่นกัน”

 

“ใช่..ระหว่างการเผชิญหน้ากับกูล ฉันรู้สึกแย่ รู้สึกสิ้นหวังกับตัวเอง ขณะที่ฉันไม่อยากจะใช้อะไรที่เป็นของนาย ในขณะที่ฉันรอให้นายกลับเหมือนอย่างวันนี้ หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันจะไม่ให้นายไปคนเดียวอีกแล้ว”

 

“ฉันด้วย”

 

“หุหุ ตัดสินใจถูกแล้ว ตอนนี้เรามาเปิดกล่องของขวัญกัน?”

 

สิ่งต่อไปที่ผมให้พวกเขาก็คือดาบ.

 

สองคนนี้ใช่ บันวอนจินชอยที่ผมให้พวกเขาร่วมกัน

 

ผมได้รับดาบมือเดียวดีๆจากดันเจี้ยนอันโนว์มาสองอัน.

 

ถ้าของพวกนี้เป็นอาวุธที่ผูกมัด พวกเขาคงไม่อาจมันได้ โชคดีสําหรับเรื่องนี้ พวกมันไม่ได้เป็นอาวุธที่มีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่จะใช้ได้

 

อย่างไรก็ตามสถานะของพวกเขาน้อยกว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับอาวุธที่ผูกมัดเจ้าของ

 

แม้ว่าค่าสถานะจะน้อยลง อาวุธเหล่านี้ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่อเวคคนอื่นๆได้จับต้อง

 

มันก็เหมือนกับของดรอปนั่นแหละและพวกมันก็ตกจากมอนเตอร์เท่านั้น

 

Seeing them head out to hunt without any complaints, despite having stayed up all night, I felt apologetic, but also happy.

 

เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ออกไปล่าและไม่มีการบ่นใดๆ ทั้งๆที่ต้องอยู่เฝ้าผมทั้งคืน ผมรู้สึกขอโทษ แต่ผมก็มีความสุขมาก

 

ห้องนั่งเล่นว่างเปล่าอีกครั้ง

 

ผมเทเจ็มที่อยู่ในกระเป๋าที่ล้นปริออก.

 

พวกมันเป็นเข็มที่มีรูปร่างเหมือนใบไม้

 

นอกจากเจ็มสีเขียวที่ผมได้รับมาในตอนแรกแล้ว มันก็มีอีกหลากหลายสี

 

พวกมันเอาไว้ใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของอุปกรณ์ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสีที่ใช้

ผมหยิบบุชเชอร์ซอร์ด,ไททันบู๊ต,และเกราะที่ผมได้รับจากโจ๊กเกอร์และสเกลออฟเดอะแบล็คดราก้อนลงบนพื้น

 

บุชเชอร์ซอร์ด ได้ดูดซับสถานะไว้มากมาย

 

ไททันบู๊ตก็ทําให้ดีบัฟทั้งหมดไร้ผล

 

สเกลออฟเดอะแบล็คดราก้อน ลดความเสียหายที่ได้รับลง

40%.

 

สิ่งของทั้งสามนี้มีสถานะที่ไม่อาจมีสิ่งใดๆเทียบหรือใกล้เคียงพวกมันเลย.

 

ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้เจ็มเหล่านี้กับไอเทมเหล่านั้นและโยนมันออกไปอย่างรวดเร็ว.

 

ท้ายที่สุดเจ็มทั้งหมดเหล่านี้มาจากดันเจี้ยนอันโนว์เท่านั้น ซึ่งผมแน่ไม่แน่ใจว่าจะได้เข้าไปอีกครั้งตอนไหน

 

จากการตรวจสอบสถานต่างๆของเข็ม ผมเริ่มที่จะ เอ็นชานมันเข้ากับอุปกรณ์ของผม.

 

“ฉันจะลองใช้พวกมัน?”

 

จุงโฮยังคงโทรหาอย่างต่อเนื่องขณะที่มองผมที่กําลังออกมkจากดันเจี้ยน.

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นกังวลเป็นอย่างมาก

 

ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงและน้ําตาของเขาก็ไหลนองหน้าของเขา

 

เขาพยายามกลั้นน้ําตา จุงโฮพูด.

 

“ครับ เราจะรออยู่ต่อสัก 1-2 ชั่วโมงคุณนาย.”

 

-นี่ เดียวมินชยอลจะผิดหวังเอา

 

“ฮ่าฮ่า ไม่ มันเป็นเพราะมินชยอลต้องการที่จะกลับ.”

 

-อย่างนั้นหรอ? เด็กคนนี้มันเป็นโอกาสที่หายากสําหรับเขาที่จะไปเที่ยวพักผ่อน ดังนั้นทําไมเขาถึงไม่อยากสนุกและจะกลับมาหล่ะ…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็กินข้าวเช้ากันไปก่อน คุณโฮจินก็อยู่กับคุณด้วยใช่ไหม?

 

“ครับ พวกเราทุกคนจะกลับพร้อมกัน คุณนาย เราจะพบกันอีกครั้ง”

 

-อย่าทําอย่างนั้นน่า ฉันจะทําอาหารอร่อยๆมากมายรอ เดินทางกลับดีๆนะ

 

“ครับ! เข้าใจแล้ว!”

 

ใบหน้าของโฮจินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

เขาตะโกนเสียงดังในแบบของเขา เขากางแขนของเขาเข้ามาหาผม.

 

ปกติแล้ว โฮจินจะไม่แสดงอารมณ์ของเขานอกขากเสียงหัวเราะของเขา.

 

นี่อาจเป็นการแสดงออกถึงความสุขที่สุดของเขาที่สามารถ แสดงออกมาได้

 

เขากอดผมแน่นและตบหลังผมเบาๆ

 

“ขอบคุณ ขอบคุณ.”

 

“นายผ่านอะไรมามากนะ”

 

“ไม่ต้องกังวล แต่นั้นโทรหาแม่ผมหรอ??”

 

จุงโฮพูดไม่ออก

 

“แต่ คุณคิมมินชยอล เกิดอะไรขึ้น? นี่มัน 9 ชั่วโมง…”

 

“อ่าา ผมจะอธิบายทุกอย่างเมื่อเรากําลังเดินทาง ขอโทษที่ ทําให้ต้องกังวล.”

 

“แค่เห็นว่านายสุขกายสุขใจก็ดีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ทั้งหมดที่เรทําได้คือขอโทษที่ไม่อาจทําอะไรได้เลยนอกจา กกังวลกับนาย.”

 

ขณะที่เช็ดน้ําตา จุงโฮก็อ้าปากพูด

 

“นาย OK อยู่นะ?”

 

“แน่นอน! ผมสบายดี คุณกังวลว่าผมอาจจะตายงั้นหรอ?”

 

“ไม่หรอก ฉันรู้สึกรําคาญเพราะว่าฉันต้องทนหิวขณะที่รอ

นาย ”

 

“วันนี้เป็นวันที่ได้รู้ว่าฮยองจะร้องไห้เพราะว่าพี่หิว.” 

 

“นั่นเป็นเพราะฮยองโฮจินบังเอิญจิ้มตาฉันต่างหาก…” 

 

“ใช่ ใช่ นอกจากนี้ฉันยังเป็นคนที่ทุบตีเพราะเซ้นด้านแฟชั่นของเขา ดังนั้นเขาต้องปางตายดีไหม?”

 

“เกินไปแล้ว…นายก็ผ่านอะไรมากมาย.”

 

“ขอโทษ และขอบคุณมาก ฮยอง”

 

“เอ่อ ฮืมม…งั้นก็ไปเร็วๆ แม่ของนายกําลังรออยู่”

 

“ทํางั้นกัน คุณมินชยอล นายคงจะเหนื่อย งั้นก็รับๆไปกัน.”

 

“ถ้าอย่างนั้นเราก็เดินไปคุยไป.”

 

เราขึ้นไปที่รถของจุงโฮ.

 

การเดินทางผ่านวาปนั้นจะง่ายกว่า แต่รถที่จุงโฮนํามาจะต้องทิ้งไว้ที่นี่

 

เหตุผลที่แท้จริงคือการพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิด ขึ้นในดันเจี้ยนกับทั้งสองคน

 

คนที่เริ่มพูดออกก็เป็นโฮจินอีกครั้ง

 

“งั้นทําไมนายถึงต้องอยู่ที่นั่นถึง 9 ชั่วโมง?”

 

“ก่อนที่ดันเจี้ยนจะหายไป ผมก็สู้กับโกสต์เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง.”

 

“ถูกต้อง มันเห็นได้ชัดๆอยู่แล้ว แล้วเกิดอะไรกับอีก 8 ชั่วโมงต่อมา?”

 

มันเป็นอย่างนั้น

 

จุงโฮ ที่ขับรถอย่างเงียบๆตอบสนองด้วยความประหลาดใจ.

 

“นี่! มินชยอล มันอาจจะ….บางที่อาจเป็นแบบนั้น?”

 

“ใช่ ถูกแล้ว ดันเจี้ยนอันโนว์ปรากฏออกมา”

 

“โฮ..ดันเจี้ยนอันโนว์? งั้นก็มันคือเรื่องจริงสินะที่ต้องสละชีวิตเพื่อที่จะเปิดมัน?”

 

“ใช่ ผมคิดว่างั้นนะ หลังจากที่ลูกน้องทั้งหมดของโกสต์ตาย ประตูก็เปิดข้างๆทางออกเลย.”

 

“ พระเจ้า…”

 

“งั้นนายจะบอกกับฉันว่านายได้เคลียร์ดันเจี้ยนอันโนวและออกมา?”

 

“ถูกต้อง”

 

“เพียง 8 ชั่วโมง?”

 

“ผมบอกคุณไปแล้ว นั่นแหละคือหลักฐานชั้นเยี่ยม.” 

 

ผมชี้ไปที่ถุงกระเป๋าที่เต็มจนแน่นเปรี้ยะ ของทั้งหมดที่เก็บออกมาเกือบครึ่งหนึ่งของที่นั่งด้านหลัง

 

แม้จะกําลังขับอยู่ จุงโฮก็มองตรวจสอบที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว.

 

โฮจินที่อยู่ตรงกันข้ามกก็หันหลังกลับมามองที่เบาะหลัง

 

ถูกต้องแล้ว ถุงนั่นถูกใส่จนแน่นเพราะอวาตาร์

 

ผมคิดว่าพวกเขากําลังเล่นโคลนอยู่

 

หนึ่งในพวกเขาไม่สนใจคําสั่งของผมและกลับมาพร้อมกับกระเป๋าที่แน่นเปรี้ยะจนไม่อาจใส่ไปได้มากกว่านี้แล้ว

 

แม้ว่าจะถูกย่อให้เหลือเท่ากําปั้น แต่ความแข็งแรงของมัน ยังคงเท่าเดิม

 

มันเป็นเรื่องน่ามองอย่างมาก เมื่อได้เห็นกระเป๋าที่แน่นเปรี้ยะและใหญ่กว่ามันหลายเท่า

 

นอกนากนั้น ไอเทมทั้งหมดในกระเป๋าคือเจม.

 

“ว้าว นายมันบ้ามาก บ้าไปแล้ว”

 

“คุณไม่อยากรู้หรอว่ามีอะไรอยู่บ้าง?”

 

“มันคืออะไรหล่ะ? บอกเรามาเลย”

 

“นี่ อย่างนั้นก็ไม่สนุกดี”

 

“เฮ้ย! แต่ฉันไม่สามารถหยิบมันมาระหว่างขับรถนะ” 

 

“นั่นเป็นเหตุผลที่ผมบอกว่า เราควรรับกลับบ้าน ไป ไป ไป!”

 

“เราอาจจะไม่ตายแม้ว่าเราจะเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าน้องรักของฉันได้รับบาดเจ็บบนหน้าขาวๆนั้นหล่ะก็…”

 

“เว่อร์เกินไปแล้ว”

 

“งั้นไปห้องVRของฉันก่อน.”

 

“รถเก็บขยะ”

 

การพูดล้อเล่นของจุงโฮอยู่ได้ไม่นาน

 

โฮจินที่มองมาที่ผมและพูด

 

“แต่คุณมินชยอล.”

 

“ครับ?”

 

“มันรู้สึกราวกับว่าคุณได้เปลี่ยนไปหลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง.”

“มีอะไรบ้างหรอ?”

 

“บางทีอาจจะมีเธออยู่ฉันรู้สึกว่าเธอโตขึ้นหรืออะไรสักอย่าง”

 

“หืม? จริงหรอ?ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ฮยองก็คิดเหมือนกันหรือเปล่า?”

 

“ฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน? แต่ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่ฉันแน่ใจ..”

 

“มันคืออะไร? สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน?”

 

“นายเป็นคนน่ารังเกียจมากกว่าเดิมเล็กน้อย

 

“…คุณล้อผมอย่างนี้มันสนุกหรอ! ไอ้แก่ ไอ้แก่ ออกไป จากรถเลย ถ้าแกไม่อยากตาย…”

 

ราวกับว่าการต่อสู้นองเลือดไม่ได้เกิดขึ้นกับผมและพูดถึงคําพูดของภาพยนต์ที่เอามาล้อกัน

 

บางทีเขาอาจจะคิดถึงหนังเรื่องโจ๊กเกอร์ เพราะเขามักจะหัวเราะมากกว่าปกติ

“อุฟฟ อะฮ่าฮ่า! ใช่ นี่ไง คุณไม่อาจตายก่อนผม มินชยอล ได้”

 

**

**

 

ใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะกลับมาถึงบ้านของผม.

 

จอดรถและลงจากรถ.

 

ในทั้งสามคน มีจุงโฮและโฮจิน.

 

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสูญเสียความคิดไปครึ่งหนึ่ง.

 

แม้ว่าพวกเขาจะเดินตามกันมา พวกเขายังพูดเพียงคําเดียว

 

“30,000….”

 

“สถานะ 30,000 ..”

 

“ฮยองนิม เขาบอกว่าค่าสถานะ 30,000 แต้ม.”

 

“ใช่.ค่าสถานะ 30,000 แต้ม… โอ๊ะๆ. 30,000.”

 

“เช็ดน้ําลายบนใบหน้าของคุณเถอะ”

 

“โอ๊ะๆ น้ําลาย…ค่านสถานะ 30,000 แต้ม.”

 

เหตุผลก็คือ.

 

ขณะที่เรากําลังกลับบ้าน ผมก็บอกพวกเขาเกี่ยวกับค่าสถานะที่ได้รับมาจาก บุชเชอร์ซอร์ด

 

ค่าสถานะ 30,000แต้ม ซึ่งนั้นก็จะหมายความว่ามันต้องเลเวลอัพจนถึงเลเวล 6,000.

 

เห็นได้ชัดว่าทําไมพวกเขาถึงต้องมีนงง.

 

หลังจากเข้าไปในบ้านและพบแม่ของผม พวกเขาก็หยุดพูดซ้ําๆได้

 

“เรากลับมาแล้ว”

 

“สวัดดีครับ คุณแม่มินชยอล.”

 

“สวัดดีครับคุณนาย คุณนี่ยังสวยไม่สร่าง”

 

“โอะโฮะๆ เข้ามา เข้ามาเลย”

 

“โอ้ หอมจัง มันคืออะไร?”

 

“ลูก!”

 

“หม?”

 

“มันเป็นเรื่องยากสําหรับเธอที่จะได้เที่ยว ทําไมถึงไม่อยู่เที่ยวเล่นต่อ รีบกลับมาทําไมกัน! เธอสามารถสร้างความทรงจําที่ดีๆได้ แม่อยากให้ลูกสนุกไปกับชีวิต”

 

“ควาทรงจําดีๆ?ฮ่าฮ่าถูกต้อง…ความทรงจํา…งั้นก็ไป ไปเที่ยวกันหมดทุกคนในครั้งหน้า”

 

“ได้ ถูกต้อง หิวหรือยังหืม?”

 

“คุณนาย ผมนี้หิวเหมือนกับเด็กๆเลย.”

 

“โฮะๆ…”

 

“งั้นก็ไปล้างมือก่อน ฉันเกือบจะเสร็จแล้ว”

 

“ครับ!”

 

****

 

แม้จะเจอเรื่องแย่ๆเป็นอาหารเช้า แต่มันก็อร่อย

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset