Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี – ตอนที่ 10 เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร

“นี่เป็นธรรมเนียมหรือคะ ดัชเชส”

“พระองค์ทรงหมายถึง…”

“เราหมายถึงจักรพรรดินีพระองค์ก่อนก็ต้องทำเช่นนี้หรือคะ”

ครั้นได้ฟังคำถาม ดัชเชสเอเฟรนีก็ตอบทันที

“มีเพียงไม่กี่พระองค์เพคะ ทว่า…”

“…”

“การทำเช่นนี้พระองค์ก็จะทรงงานได้ง่ายขึ้นด้วยเพคะ”

“คงเป็นเช่นนั้น ทว่า หากจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติก็คงยากสักหน่อย ดัชเชสคะ ตามธรรมเนียมแล้วจักรพรรดินีต้องปฏิบัติงานของราชวงศ์ คนในจักรวรรดิมาวินอสไม่ว่าใครก็มีมโนคติเช่นนั้น หรือดัชเชสคิดจะชิงอำนาจไปจากเรากัน”

“ทรงเข้าพระทัยผิดแล้วเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงแต่…ทำเพื่อฝ่าบาทเท่านั้นเพคะ”

“หากท่านทำเพื่อเราจริง ตลอดหนึ่งปีท่านควรจะขัดขวางสิ่งที่จะมากดทับอำนาจของเรามิใช่หรือคะ เรากำลังพูดถึงข่าวลือไม่สู้ดีที่แพร่สะพัดในวัง”

“…”

ดัชเชสเอเฟรนีเงียบไปเมื่อรู้ว่าแพทริเซียกำลังพูดถึงโรสมอนด์

แพทริเซียแยกไม่ออกว่าดัชเชสเอเฟรนีอยู่ฝ่ายนางหรือฝ่ายโรสมอนด์ แน่นอนว่านายหญิงผู้เป็นเสาหลักของตระกูลดัชเชสอย่างนางคงมีความภาคภูมิในสายเลือดสูง

เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ดัชเชสก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สนับสนุนนาง แต่นางไม่อาจเชื่ออีกฝ่ายได้ง่ายๆ เพราะดัชเชสเอเฟรนีเคยแปรพักตร์ไปจากเปโตรนิยาในตอนท้าย

ตามจริงแล้ว หากแพทริเซียจะคิดเช่นนั้น ข้ารับใช้ฝ่ายในที่เคยติดตามเปโตรนิยาก็ไม่มีใครเชื่อถือได้สักคน

“เราเองก็รู้ค่ะว่าท่านคงจะทำได้ดีกว่าเรา และเราก็ไม่ได้ติดขัดอะไรกับการที่ท่านจะยังคงปฏิบัติงานต่อไปอีกสักระยะ ทว่า เราจะเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด เพราะนั่นคือธรรมเนียมปฏิบัติ ท่านเข้าใจที่เราพูดไหมคะ ดัชเชส”

“เพคะ ฝ่าบาท ต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ”

แพทริเซียเหลือบตามองที่มือของอีกฝ่าย พบว่านางกำลังกำหมัดจนมือสั่น นางถือว่าข้าล่วงล้ำอำนาจของนางหรืออย่างไรกัน นางจะว่าข้าล้ำเส้นอย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่มีเรื่องใดน่าขันไปกว่านี้แล้ว แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ

การถือครองสิ่งที่มิใช่ของตนมาเป็นเวลานานอาจทำให้หลงเข้าใจผิดคิดไปว่าของสิ่งนั้นเป็นของตน จิตใจของมนุษย์เป็นเช่นนั้น และด้วยเหตุนั้น โรสมอนด์ที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิในช่วงปีที่ผ่านมาจึงคิดไปว่าตนมีคุณสมบัติจะเป็นจักรพรรดินี

“เอาเป็นว่าเราตกลงตามที่ท่านว่า ส่วนเอกสารที่นำมาให้ เราจะทำความเข้าใจให้เร็วที่สุด ตอนนี้เชิญท่านกลับไปได้ค่ะ”

“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลา…”

ดัชเชสเอเฟรนีหันหลังเดินออกจากห้อง ไม่แน่ว่านางอาจจะกำลังก่นด่าตนอยู่ในใจ ไม่สิ นางกำลังด่าอยู่เป็นแน่ แต่แพทริเซียไม่สนใจเรื่องนั้น คนที่ทำให้เชื่องได้ง่ายที่สุดในโลกคือคนที่จิตใจผันแปร ดัชเชสเอเฟรนีเคยแปรพักตร์ไปเข้ากับโรสมอนด์มาแล้วครั้งหนึ่ง ขอเพียงแพทริเซียรู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร ไม่สิ ต่อให้ไม่รู้ การจะซื้อใจนางก็คงไม่ยากนัก

แพทริเซียคิดอย่างไม่ยี่หระ จากนั้นก็ลองอ่านเอกสารที่ดัชเชสเอเฟรนียกมาให้อย่างผ่านๆ ตนพูดจาไว้เสียใหญ่โตขนาดนั้นก็ควรจะรีบลงมือเพื่อรักษาหน้าของตัวเอง

***

หลังจากนั้นก็ไม่มีเรื่องสลักสำคัญเกิดขึ้นซึ่งต่างจากที่แพทริเซียคาดเอาไว้ โรสมอนด์ไม่ได้มาระรานนาง อีกทั้งยังไม่มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นในพระราชวังอีกด้วย

ไม่รู้ว่าความทรงจำสุดท้ายของนางมันรุนแรงเกินไปจนนางหวาดผวาไปเองเกินเหตุหรืออย่างไร โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ความกังวลว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ที่ทำให้นางตกที่นั่งลำบากมลายไปสิ้น แต่วิกฤตมักจะมาตอนที่ไม่ทันระวังตัวอยู่เสมอ

“ฝ่าบาท พระจักรพรรดิเสด็จเพคะ”

การที่จักรพรรดิที่พบหน้ากันครั้งสุดท้ายเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมาหาย่อมทำให้แพทริเซียตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมา นางสงสัยมากทีเดียวว่าคราวนี้เขาจะมาพูดอะไรให้นางเจ็บช้ำน้ำใจอีก

“เชิญเสด็จ” หญิงสาวตอบรับเสียงเรียบ

จักรพรรดิในชุดเครื่องแบบสีขาวก้าวเข้ามาในห้อง รูปลักษณ์ภายนอกดูงดงาม แต่แพทริเซียเห็นเขาเป็นแค่งูขาวเลือดเย็นเท่านั้น

นางทำความเคารพด้วยน้ำเสียงไม่สดชื่น

“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ ขอองค์สุริยันจงทรงพระเจริญ”

“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ”

“เพคะ”

เขานั่งลงบนเก้าอี้ นางไม่แน่ใจว่าเขานั่งเพราะตั้งใจจะมาพูดอะไรเยิ่นเย้อหรือไม่ แต่จะให้ยืนคุยก็ไม่ได้ นางสั่งให้มีร์ยาไปยกชามะนาวมาสองแก้วก่อนจะนั่งลง แม้นี่จะดีกว่านั่งข้างๆ กัน แค่การนั่งประจันหน้ากันเช่นนี้ก็เป็นเรื่องน่าอึดอัดและกระอักกระอ่วนไม่เบา

“เราแวะมาเพราะมีเรื่องจะบอก”

เขาเริ่มพูดก่อนที่น้ำชาจะมาเสียอีก ท่าทางดูคล้ายจะรีบกลับเช่นนี้ น่าจะดีแล้วกระมัง นางคิดว่าคงยากที่จะพิจารณาว่าทางไหนดีกว่ากัน ก่อนจะตอบออกไป

“เชิญตรัสเพคะ”

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเรามีสตรีที่หมายใจไว้แล้ว”

“…เพคะ ฝ่าบาท”

ไม่ทราบได้อย่างไรเล่าเพคะ นางยิ้มเย็นยะเยือกก่อนจะตอบออกไป จะไม่รู้ได้อย่างไร ในเมื่อข้ารู้กระทั่งชื่อของนาง แน่นอนว่าท่านคงไม่คิดว่าข้าจะรู้ถึงขนาดนั้น…

“เราคิดจะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้นาง”

“…”

แพทริเซียคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะหน้าไม่อายขนาดนี้ และเพราะคาดการณ์เอาไว้แล้ว แทนที่จะทำหน้ามุ่ย นางกลับยิ้มกว้าง มันช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระจริงๆ เหลวไหลเสียจนนางไม่บังอาจนิ่วหน้า ลูซิโอกลับเป็นฝ่ายนิ่วหน้าเสียเองด้วยคิดว่ารอยยิ้มของแพทริเซียกำลังล้อเลียนเขาอยู่

“สีหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร”

“ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีเรื่องอันใดที่น่าอดสูถึงขนาดต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดนี่เพคะ ฝ่าบาท ทำตามพระประสงค์เถอะเพคะ เพราะถึงหม่อมฉันจะทัดทาน แต่ก็จะทรงทำอยู่ดีมิใช่หรือเพคะ”

“เจ้าก็ไม่ได้โง่เง่าขนาดนั้นสินะ”

“ให้เป็นบารอเนสก็น่าจะพอใช่ไหมเพคะ”

“…เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกได้ถึงความแข็งกระด้าง

“เราไม่เคยพูดถึงนางเสียหน่อย”

“…”

อา ตายจริง ข้าเผลอตัว แพทริเซียรีบกลบเกลื่อนทันที

“ก็แค่ลองเสนอจากตำแหน่งที่ต่ำที่สุดน่ะเพคะ จะทรงแต่งตั้งนางเป็นดัสเชสเลยก็คงไม่ได้มิใช่หรือเพคะ ฝ่าบาท ทว่า…ดูจากปฏิกิริยาของพระองค์ ท่าทางนางจะมิใช่ผู้สูงศักดิ์ใช่หรือไม่”

“…เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ถึงขนาดนั้น”

“ต้องรู้สิเพคะ จะมีบารอเนสคนใหม่ทั้งที ผู้ปกครองฝ่ายในอย่างหม่อมฉันจะไม่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น…หากนางอยู่ในวัง เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ หม่อมฉันก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ”

“…นางเป็นบุตรีตระกูลบารอน มีเรื่องอื่นที่เจ้าอยากรู้อีกไหม”

“เพียงพอแล้วเพคะ จะให้หม่อมฉันจัดการเรื่องอื่นๆ เลยไหมเพคะ”

“ตามใจเจ้า เพียงแต่…เราหวังว่าเจ้ากับนางจะไม่มีเหตุให้ต้องพบกัน”

“ไม่ต้องกังวลว่าหม่อมฉันจะไปจิกหัวนางผู้นั้นหรอกเพคะ หม่อมฉันไม่โง่งมถึงขนาดที่จะละเมิดคำสัญญากับพระองค์”

“…”

เขาลุกจากที่นั่งโดยไม่มีคำพูดใด ชาที่ยกมาให้ก็ไม่ดื่มสักอึก ก่อนที่เขาจะออกจากห้อง แพทริเซียก็พูดขึ้นมาลอยๆ

“เรื่องที่หม่อมฉันทูลขอในตอนนั้น ทรงอย่าลืมนะเพคะ”

“…”

“หากทรงมีพระราชประสงค์จะแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้นางเป็นดัชเชสก็ย่อมได้ แต่หม่อมฉันคงให้ได้เพียงเท่านั้น มากไปกว่านั้นเห็นทีจะไม่ได้ พระองค์คงไม่คิดที่จะ…มีลูกนอกสมรสกับนางหรอกนะเพคะ”

“…”

เขาไม่ตอบและเดินจากไป แพทริเซียกัดปาก เอาแต่มองจุดที่เขาเคยยืนอยู่ หากเขาผิดสัญญากับนาง นางจะไม่อยู่เฉยแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ…”

ไม่ยุติธรรมเลย ท้ายที่สุดแล้วความเป็นความตายของจักรพรรดินีก็ขึ้นอยู่กับจักรพรรดิ ต่อให้มาจากตระกูลสูงส่งเพียงใด แต่หากไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิก็หมายถึงจุดจบ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้แพทริเซียรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้ตลอดมีเพียงตำแหน่งมาร์ควิสของบิดาและการเป็นพระพันปีของจักรพรรดิองค์ต่อไปเท่านั้น

ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ทั้งที่ผู้ชายคนนั้นจะไปจะมา จะคบหากับใครก็ได้ตามใจ แต่แล้วแพทริเซียก็ส่ายหน้า

“อย่าบ่นสิ แพทริเซีย”

ตนก็รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนย้อนเวลามาแล้วไม่ใช่หรือไร ที่ย้อนเวลามาก็เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเหมือนในอดีต พูดเองไม่ใช่หรือว่าถ้าเป็นตน ตนจะไม่ทำตัวเหมือนพี่สาว จะไม่หึงหวงจนทำอะไรตามอารมณ์ ยิ่งคิดถึงเรื่องในอดีตมากไปมันก็ไม่มีวันจบ และการที่ตนย้อนอดีตมาก็จะไม่มีความหมาย

แพทริเซียตัดสินใจว่าจะปล่อยวางให้มากกว่านี้ และตัดความรู้สึกที่มีต่อจักรพรรดิออกไป ต้องทำเช่นนั้น ตนและครอบครัวจึงจะอยู่รอดไปตลอดรอดฝั่ง แม้จะน่าเศร้าแต่นี่คือความเป็นจริง

“บ้าไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ”

ราฟาเอลาสบถรุนแรง ถ้าเป็นแพทริเซียในยามปกตินางจะคอยห้าม แต่คราวนี้นางไม่ห้าม หากจะพูดกันจริงๆ นั่นก็เป็นเรื่องที่บ้ามาก แน่นอนว่าเป็นตัวนางเองที่บ้า

“แม้จะเป็นเรื่องบ้าๆ แต่ก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เพราะสามีข้าเป็นจักรพรรดิ”

“…ทรงนิ่งเฉยเกินไปแล้วเพคะ พระจักรพรรดินี ตอนนี้พระราชสวามีประกาศจะเชิดหน้าชูตาอนุอยู่ปาวๆ ยังจะพูดเช่นนั้นอีก”

“ก็ข้าทำอะไรไม่ได้นี่”

แพทริเซียไม่รู้ว่าตอนนี้ตนแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรหรือตนไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้จริงๆ กันแน่ แต่อย่างน้อยราฟาเอลาก็มองว่าตนไม่รู้สึกอะไร จะหลอกทั้งราฟาเอลาและหลอกตัวเองไปอย่างนี้ก็คงไม่มีอะไรเสียหาย

“ทำอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ? พระเจ้าช่วย พระจักรพรรดินีเพคะ ตอนนี้เจ้าคาดไม่ถึงแน่ว่าข้ารู้สึกอย่างไร”

“ก็พอเดาได้นะ แต่ถึงกระนั้นจะให้ข้าช่วยปลอบเดมราฟาเอลามันก็ดูตลกใช่ไหมล่ะ”

นั่นก็จริง ราฟาเอลาถอนหายใจออกมา ยิ่งอีกฝ่ายทำเป็นไม่สนใจเช่นนี้ยิ่งน่ากลัว ทั้งยังน่าเป็นห่วง ถ้าเป็นคนอื่น ไม่สิ คนทั่วๆ ไปคงไม่มีปฏิกิริยาแค่นี้แน่ มันต้องโกรธ หรือไม่ก็เสียใจ อาจจะถึงขั้นแช่งชักหักกระดูก หรือทำอะไรชั่วร้ายลงไปเลยก็เป็นได้ ใครจะรู้

ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน แต่ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะแสดงอารมณ์ด้านลบออกมา แต่แพทริเซียไม่อาจทำเช่นนั้น นางทำเช่นนั้นไม่ได้ และไม่อยู่ในตำแหน่ง อยู่ในสถานการณ์ และอยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้น ราฟาเอลาคิดว่าตนคงไม่อาจเข้าใจไปถึงขั้นนั้น จึงเอ่ยถามออกมา

“จริงๆ เลย…ฝ่าบาททรงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”

การที่จักรพรรดิมีอนุภรรยาไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องที่จะถูกติฉินนินทา แต่ความรู้สึกนั้นมันต่างออกไปเมื่อสหายรักของตนเป็นจักรพรรดินี ราฟาเอลาถอนหายใจ ก่อนจะถามแพทริเซีย

“อยากเห็นหน้าอนุคนนั้นสักครั้ง ใครกันนะ ข่าวลือฉาวโฉ่ขนาดนี้น่าจะปรากฏตัวมาให้เห็นสักครั้งสองครั้งแล้วมิใช่หรือ”

“…”

คำพูดนั้นทำให้แพทริเซียถึงกับหัวเราะออกมา เพราะนางเป็นคนเดียวนอกจากองค์จักรพรรดิที่รู้จักตัวตนของอีกว่าย หญิงสาวทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบเลี่ยงๆ

“สักวันคงได้พบ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะตบหน้านาง”

“ข้าไม่มีวันทำสิ่งที่เป็นภัยต่อจักรพรรดินีหรอก ถึงจะเป็นอัศวินแต่ข้าไม่ได้โง่นะ”

แค่มองจิกคงไม่เป็นไรกระมัง เอ่ หรือนั่นก็ไม่ได้นะ แพทริเซียยิ้มบางๆ พลางมองราฟาเอลาที่กำลังกลุ้มใจกับเรื่องเด็กๆ แต่เมื่อคิดถึงโรสมอนด์สีหน้าของแพทรเซียก็หมองลง แพทริเซียพึมพำชื่อของอีกฝ่ายในใจ

‘โรสมอนด์…’

นางช่างงดงาม แต่ก็ไม่ได้งดงามถึงขนาดเรียกได้ว่าเป็นสาวงามแห่งศตวรรษ แต่ที่แน่ๆ คือนางมีแรงดึงดูดทางเพศอย่างน่าประหลาด อีกทั้งยังทรงเสน่ห์มากเสียจนไม่แปลกใจที่จักรพรรดิหลงใหลในตัวนาง

นางเป็นดอกกุหลาบที่มีหนามแหลมคม หนามที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องความงดงามและปกป้องตัวเองนั้นเริ่มคุกคามดอกไม้ดอกอื่นตั้งแต่เมื่อไรมิอาจทราบ และสุดท้ายมันก็ทิ่มแทงเปโตรนิยา และในปัจจุบันซึ่งเป็นอดีตที่เปลี่ยนไป หนามนั้นก็จะพุ่งเป้ามาที่แพทริเซีย

จนถึงตอนนี้แพทริเซียยังไม่มีความคิดที่จะเริ่มโจมตีก่อน นางคิดเพียงว่าถ้าอีกฝ่ายเริ่มโจมตีมาก็จะป้องกันตัวอย่างเต็มที่เท่านั้น

นางต้องไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจของผู้อื่น และทำราวกับไม่ยี่หระอะไร อย่างน้อยในตอนนี้นางยังต้องดูสถานการณ์ไปก่อน

หากแพทริเซียเป็นเปโตรนิยา แล้วเปโตรนิยาได้ย้อนเวลากลับมาก็คงจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรสมอนด์ แต่น่าเสียดายที่ในชาติก่อนแพทริเซียเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น เพราะฉะนั้นนางจึงไม่รู้จักทั้งจักรพรรดิและโรสมอนด์ดีนัก

เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือการรู้จักศัตรู ส่วนเรื่องการโจมตีจะเริ่มเมื่อไรก็ไม่มีคำว่าสาย เพราะตำแหน่งจักรพรรดินีไม่ใช่ของกระจอกๆ ต่อให้เป็นผู้หญิงที่จักรพรรดิโปรดปรานก็คงรับมือกับจักรพรรดินีไม่ได้ง่ายๆ

“ถ้าคิดในแง่ดี ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ใต้อาณัติของจักรพรรดินีแล้ว ก็อย่างว่า…หลังจากนั้นพระองค์ก็คงหาทางจัดการได้เอง”

“แม้ไม่อยากยอมรับ แต่มันเป็นความจริงที่ไม่มีเรื่องไหนจะเป็นข้อได้เปรียบไปมากกว่านี้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้นางซ่อนตัวอยู่หลังม่าน จะทำอะไรก็สืบรู้ได้ยาก จะดูแลควบคุมก็ทำได้ยาก”

ยิ่งไปกว่านั้น บารอเนสถือเป็นศักดิ์ของตระกูลขุนนางที่มีกฎเข้มงวด และยิ่งเป็นอนุภรรยาที่จักรพรรดิแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ด้วยตนเองแล้วล่ะก็ ยิ่งง่ายที่จะจับผิดและกุมจุดอ่อนของนางไว้ในมือ

เอาเป็นว่าหากคิดในแง่ดี ตนสามารถทำเช่นนั้นได้มากพอ แพทริเซียทำใจให้สบายโดยเริ่มจากการลองยิ้มออกมาบางๆ

Lady to Queen

Lady to Queen

‘เปโตรนิยา’ และ ‘แพทริเซีย’ เป็นบุตรีฝาแฝดของ‘ตระกูลโกรเชสเตอร์’ สองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียว ตระกูลโกรเชสเตอร์จึงอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมา ทว่า ความสงบสุขนั้นมีอันต้องสั่นคลอน เมื่อเปโตรนิยา บุตรีคนโตถูกเลือกเป็นจักรพรรดินี จนนำไปสู่จุดจบอันแสนเศร้าที่ทั้งตระกูลถูกประหารภายใต้กิโยติน เมื่อบุตรีคนเล็กของตระกูลอย่างแพทริเซียลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่า เธอได้ย้อนเวลากลับมา ณ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ครั้นได้เห็นรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นพี่สาวอีกครั้ง แพทริเซียก็ปฏิญาณตนในใจอย่างแน่วแน่ ‘ข้าจะเป็นจักรพรรดินีแทนท่านพี่เอง’ แพทริเซียอาสาเข้ารับการคัดเลือกจักรพรรดินี คราวนี้เธอจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อการนั้น เธอจึงต้องเผชิญหน้ากับทั้งความรักและความชิงชังอีกครั้ง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset