Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี – ภาคแยก | บทที่ 22 ใครอย่าได้คิดจะแตะต้อง

เอดารีบเข้ามาในห้องพร้อมหอบเครื่องประดับสำหรับพิทูเนียมาเต็มสองมือ

“ขอโทษค่ะ คุณหนู”

เอดาซึ่งมีรูปร่างผอมบางรีบค้อมกายขอโทษ พิทูเนียเจ้าของเรือนผมสีม่วงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่มีพนักตำหนิเอดาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“พวกชั้นต่ำก็แบบนี้! ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าวันนี้มีงานเลี้ยงสำคัญ”

แน่นอนว่านับครั้งไม่ถ้วน พิทูเนียย้ำเรื่องนี้กับสาวใช้หลายต่อหลายครั้งมาตั้งแต่หนึ่งเดือนที่แล้วว่า ‘นี่เป็นงานแรกที่ข้าจะเข้าร่วมในฐานะว่าที่พระสนม ดังนั้น ข้าจะต้องสง่างามกว่าผู้ใดในโลกนี้’ อันที่จริงเอดาคิดว่าคนที่ควรจะ ‘สง่างามกว่าผู้ใดในโลกนี้’ ควรจะเป็นแพทริเซียซึ่งเป็นจักรพรรดินี มิใช่พิทูเนียที่กำลังจะเป็นสนม แต่หากพูดไป นางคงถูกพิทูเนียด่าทอและเฆี่ยนตีเป็นแน่ เอดาจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบ

“เร็วสิ! วันนี้ข้าจะไปสายไม่ได้นะ”

“…”

“ทำไมไม่ตอบ”

“ค่ะ คุณหนู เข้าใจแล้วค่ะ”

เอดาตอบไปอย่างเสียไม่ได้ แต่พิทูเนียก็ยังมีท่าทีไม่พอใจเช่นเดิม นางบ่นพึมพำในใจว่า ‘ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกชั้นต่ำพวกนี้แล้ว’ และเสยผมไปด้านหลังอย่างรำคาญใจ

***

อีกด้านหนึ่ง คนในตำหนักจักรพรรดินีก็กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวมากกว่าวันไหนๆ งานวันนี้เป็นงานแรกที่พิทูเนียจะเข้าร่วมในฐานะว่าที่สนม เหล่านางกำนัลแห่งตำหนักจักรพรรดินีจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ยอมให้บารมีของแพทริเซียต้องมัวหมองเด็ดขาด แพทริเซียไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของพวกนาง แม้จะถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องมากกว่าปกติก็มิได้ห้ามปราม

“ฝ่าบาท…วันนี้ทรงพระสิริโฉมงดงามมากเพคะ”

มีร์ยาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ราฟาเอลาที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยสนับสนุน

“สวยจริงๆ นะ ฝ่าบาท”

“จะสวยแค่ไหนกันเชียว”

แพทริเซียพูดอย่างไม่ใส่ใจและลุกจากที่นั่งไปยืนอยู่หน้ากระจกแบบเต็มตัว เมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองนางก็หัวเราะเบาๆ

“แต่งกันสุดความสามารถเลยนะ”

“วันนี้ต้องตั้งใจหน่อยเพคะ ฝ่าบาท”

มีร์ยากระเซ้า แพทริเซียมองภาพสะท้อนของตัวเองที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยสีหน้าคล้ายลำบากใจเล็กน้อย ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีส่วนไหนที่ไม่อัญมณีประดับอยู่ แค่อัญมณีเม็ดเล็กๆ ที่ประดับอยู่บนมงกุฎก็น่าจะมีเกินหนึ่งพันเม็ดเข้าไปแล้ว ส่วนที่ประดับอยู่บนชุดเดรสก็น่าจะมีจำนวนมากกว่านั้นหลายสิบเท่า สมกับคำว่า ‘สวยจนแสบตา’ แม้แพทริเซียจะชอบของสวยๆ งามๆ แต่ก็ไม่ได้พึงใจกับความงามระดับนี้เท่าใดนักจึงถาม

“ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ”

“วันนี้ต้องมากเกินไปแบบนี้แหละเพคะ ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงทราบว่าวันนี้เป็นวันอะไร”

“…”

ได้ยินมีร์ยาพูดดังนั้น แพทริเซียก็เงียบไป ทันใดนั้นเหล่านางกำนัลก็เข้ามาช่วยเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าที่ประดับด้วยอัญมณีดุจเดียวกัน ขณะที่กำลังคิดว่าวันนี้ตนต้องเจ็บเท้าเป็นแน่ก็เอ่ยถามถึงลูซิโอไปด้วย

“ฝ่าบาทเสด็จไปที่งานหรือยัง”

“เห็นว่ายังนะ”

ตอนนั้นเองแพทริเซียก็ได้ยินเสียงที่ไม่เข้าพวก นางจึงหันไปมองที่ประตูและพบลูซิโอในชุดสูทหางยาวสีดำสง่างามยืนอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากของแพทริเซียปรากฏรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว

“ฝ่าบาท”

“เขาบอกว่าจะไปสายหน่อย”

“ทำไมหรือเพคะ”

“เห็นบอกว่าจักรพรรดินีงดงามมากจนเขาตาบอด หรือหัวใจหยุดเต้นไปแล้วอะไรนี่แหละ”

“ฮ่าๆ”

แพทริเซียหัวเราะเบาๆ ให้กับความช่างพูดไม่เหมือนในยามปกติของเขา เหล่านางกำนัลปลีกตัวออกไปอย่างรู้งาน เมื่อเหลือกันอยู่สองคน ลูซิโอก็ไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปจุมพิตที่หน้าผากของแพทริเซีย

“งดงามเหลือเกิน คิดจะทำให้ข้าหัวใจหยุดเต้นจริงๆ หรือไร”

“วันนี้ขี้โม้จังเลยนะเพคะ”

“ลองถามคนที่เดินผ่านไปผ่านมาดูก็ได้ แล้วเจ้าจะรู้เองว่าข้าไม่ได้พูดเกินจริงเลย”

ลูซิโอยกมือของแพทริเซียขึ้นมาจุมพิตที่หลังมือก่อนจะย้ายไปจุมพิตที่เปลือกตา ครั้นถูกพรมจูบเช่นนั้นแพทริเซียก็หัวเราะคิกคักพลางกล่าว

“พอเถอะเพคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

“ออกไปกันหมดแล้ว ใครจะมาเห็น”

ลูซิโอโอบเอวบางอย่างชำนาญก่อนจะหันหน้าไปมองนาฬิกาเพื่อดูเวลา ยังพอมีเวลา

“ยังมีเวลาอีกนิดหน่อย” เขาจึงกระซิบที่หูของแพทริเซีย

“…คงไม่ได้คิดจะใช้เวลาที่เหลือบนเตียงหรอกนะเพคะ”

“ใจข้าก็อยากทำเช่นนั้น”

ลูซิโอเชยคางของแพทริเซียขึ้น สายตาของทั้งคู่ประสานกัน แพทริเซียกลั้นขำไม่ไหวจึงหลุดหัวเราะออกมา ลูซิโอเห็นว่าท่าทางนั้นช่างดูน่ารักเหลือเกินจึงจูบนางอย่างไม่รีรอ

“อา…ฝ่าบาท”

“ไม่ต้องห่วง” เขารั้งร่างบางเข้ามาชิดแล้วกระซิบ “ข้าจะเหลือเวลาไว้ให้เจ้าเติมปาก”

“อือ…อืม ไม่ใช่อย่างนั้น…”

ริมฝีปากของลูซิโอเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ แพทริเซียทำอะไรไม่ถูกจนเซแต่เพราะถูกกอดไว้อย่างแนบแน่นนางจึงไม่ได้ลื่นล้มหรือเกิดเรื่องไม่คาดฝัน แต่แพทริเซียก็ยังเบี่ยงตัวหนีพลางพึมพำ

“ฝ่าบาท มะ ไม่เอาตรงที่มองเห็นได้นะเพคะ”

“ข้ารู้”

ใจเขาอยากจะทิ้งรอยไว้ตรงที่ที่มองเห็นได้เท่านั้น เพื่อประกาศว่าผู้หญิงคนนี้คือจักรพรรดินีของเขา ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะมาแตะต้อง

‘แต่ข้าต้องเห็นแก่หน้าตาของริซซี่ด้วย’

ดังนั้น วันนี้พอแค่นี้

ลูซิโอจูบแรงๆ ที่ต้นคอของแพทริเซียก่อนจะค่อยๆ ผละออกไป

“เดี๋ยวใครมาเห็นเข้านะเพคะ ฝ่าบาท” แพทริเซียดุเขาทั้งหน้าขึ้นสี

“ก็เห็นไปสิ พวกเราเป็นสามีภรรยากันนี่”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”

“เห็นแก่ชื่อเสียงของเจ้า นี่ข้าก็อดทนไว้มากแล้วนะ”

ลูซิโอจูบงับปลายจมูกของแพทริเซียเป็นการทิ้งท้ายแล้วกระซิบถาม

“ไม่ต้องการคนไปส่งหรือ”

“แล้วฝ่าบาทไปส่งหม่อมฉันได้ไหมเพคะ”

“แน่นอนสิ”

ด้วยความยินดี จักรพรรดินีของข้า

ลูซิโอยิ้มพรายและควงแขนแพทริเซีย

***

“พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีเสด็จ”

ลูซิโอและแพทริเซียเข้ามาในงานพร้อมกับเสียงประกาศของข้ารับใช้ จากนั้นทุกคนก็เปิดทางให้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสายที่มองมา แพทริเซียจึงเงี่ยหูฟังเสียกระซิบกระซาบเกี่ยวกับตัวเอง

“ได้ยินว่าพระจักรพรรดิจะแต่งตั้งพระสนม แต่ดูเหมือนทั้งสองพระองค์จะยังรักกันดีนะ”

“ไม่รู้หรอกหรือคะว่าพระจักรพรรดินีทรงเสนอให้รับพระสนมด้วยพระองค์เอง ปราดเปรื่องยิ่ง แต่พระจักรพรรดิทรงปฏิเสธเสียงแข็งทีเดียวค่ะ ทว่า สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะเหล่าขุนนางเซ้าซี้ไม่เลิก”

“แต่ถ้าไม่แต่งตั้งพระสนมแล้วจะทำอย่างไรล่ะคะ ในเมื่อพระจักรพรรดินีเป็นหมัน!”

“ระวังคำพูดด้วยค่ะ! ข้าได้ยินมาว่าเพื่อพระจักรพรรดินีแล้ว พระจักรพรรดิถึงขั้นจะรับเชื้อพระวงศ์สายรองมาเป็นโอรสบุญธรรมเลยนะคะ”

“พระเจ้าช่วย!”

ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องทำนองนี้

จักรพรรดินีที่เป็นหมันเป็นฝ่ายบอกให้จักรพรรดิรับสนมด้วยตัวเอง ส่วนจักรพรรดิก็ปฏิเสธเพราะตั้งใจจะรับลูกบุญธรรม แต่เมื่อพวกขุนนางเซ้าซี้ไม่เลิก สุดท้ายก็ต้องทำตามความต้องการของจักรพรรดินีอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็ยังรักกันดี

‘ไม่สบอารมณ์เลย’

แม้จะเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินกับหูก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างประหลาด แค่ทุกคนรู้เรื่องที่นางเป็นหมันก็น่าหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อมันกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทายิ่งน่าโมโห ตอนนั้นเองลูซิโอก็ปล่อยแขนที่ควงอยู่แล้วเลื่อนมือไปจับมือแพทริเซียไว้แน่น รอบข้างอื้ออึงด้วยเสียงฮือฮาของผู้คน

“ฝ่าบาท…” แพทริเซียเรียกด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย

“อย่าไปสนใจเลย นะ?”

“…เพคะ”

แพทริเซียยิ้มเจื่อนๆ แม้เขาจะบอกว่าไม่ต้องสนใจแต่แพทริเซียจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อคนพวกนั้นมานินทากันต่อหน้าแบบนี้ แต่แพทริเซียก็คิดว่าเพื่อลูซิโอแล้วตนไม่ควรแสดงอาการออกไป หญิงสาวจึงพยายามลืมมันไปเสีย

“ฝ่าบาท หม่อมฉันชื่อฟรานเซีย จากตระกูลอัลเลดเพคะ วันนี้ทรงพระสิริโฉมงดงามมากเพคะ!”

“ถวายบังคมฝ่าบาท หม่อมฉันลอเรล จากตระกูลอิราเรลเพคะ”

แม้จะต้องอับอายกับคำนินทาและข่าวลือ แต่แพทริเซียก็ยังถูกห้อมล้อมด้วยผู้คน แพทริเซียรู้ดีกว่าใครว่านี่เป็นปกติของงานเลี้ยง นางไม่ได้แสดงอาการเบื่อหน่ายหรือไม่ชอบ และพยายามพูดคุยกับทุกคนอย่างอ่อนหวาน โชคดีที่คนที่เข้าหานางรู้จักรักษามารยาทไม่เอ่ยถามถึงว่าที่สนมพิทูเนีย

“ถวายบังคมฝ่าบาท”

ตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็เข้ามาหาแพทริเซีย ใบหน้าที่ไม่คุ้นตาทำให้แพทริเซียเผยสีหน้าสงสัย อีกฝ่ายจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย

“ดูเหมือนจะยังไม่รู้จักหน้าตาของหม่อมฉันนะเพคะ”

“เจ้าเป็นใครหรือ”

“หม่อมฉันพิทูเนีย เมอรีล ลี เบลินซ์เพคะ ฝ่าบาท ได้ยินว่าทรงเลือกหม่อมฉันด้วยพระองค์เอง นึกว่าจะรู้จักหม่อมฉันอยู่แล้วเสียอีก”

พิทูเนีย นี่เป็นชื่อที่คุ้นเคย นางคือคนที่แพทริเซียคัดเลือกมาเป็นสนม

“…เรามิได้เลือกเจ้ามาเป็นสนมเพราะหน้าตา เลดี้พิทูเนีย ตอนเลือกเราไม่ได้ดูหน้าด้วยซ้ำ”

“อ้อ” พิทูเนียกล่าวด้วยสีหน้ากระดากอายเล็กน้อย “อย่างนั้นหรือเพคะ”

“มาถึงที่นี่คงลำบากไม่น้อย สนุกกับงานเถอะ”

“ลำบากอะไรกันเพคะ ฝ่าบาท ในฐานะ ‘ว่าที่พระสนม’ หม่อมฉันย่อมต้องมาร่วมงานเพคะ”

“…”

แม้คำพูดจะดูมีมารยาท แต่ท่าทางของนางหาได้เป็นเช่นนั้น

อา ดูเหมือนข้าจะเลือกได้ไม่ฉลาดเท่าไร

แพทริเซียถอนหายใจในใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายถูกกำหนดให้เป็นสนมแล้วไหนเลยจะกลับคำได้

“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเราขอให้สนุกกับงานวันนี้แล้วกัน” แพทริเซียพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”

พิทูเนียตอบพลางยิ้มน้อยๆ แต่ก่อนหันกายกลับไปนางก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้จึงเปิดปากพูดอีกครั้ง

“จริงสิ ฝ่าบาท ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของหม่อมฉันนะเพคะ”

“หมายความว่าอย่างไร”

“หลังจากได้รับเลือกให้เป็นสนม หม่อมฉันก็เข้ารับการตรวจร่างกาย ได้ผลออกมาว่าหม่อมฉันมีความสามารถในการตั้งครรภ์ดีเยี่ยมเพคะ หม่อมฉันหมายถึงพระองค์ไม่ต้องเป็นกังวลว่าหม่อมฉันจะเป็นหมันนะเพคะ”

“…”

แพทริเซียตะลึงจนพูดไม่ออก ส่วนสีหน้าของมีร์ยาที่อยู่ด้านข้างถึงกับแข็งทื่อด้วยความเหลือเชื่อ ทันใดนั้นมีร์ยาก็ออกปากตำหนิพฤติกรรมของพิทูเนียด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

“เสียมารยาทนะคะ เลดี้พิทูเนีย”

“คะ? พูดเรื่องอะไรหรือคะ มาร์เชอเนสพรินสกี”

“ชีวิตส่วนตัวของฝ่าบาทนำมาพูดสนุกปากเช่นนี้ได้หรือคะ หากเลดี้เป็น ‘ว่าที่พระสนม’ จริงก็ควรแสดงกิริยามารยาทให้เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นนะคะ”

“แต่เรื่องส่วนตัวของฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงความมั่นคงของจักรวรรดินี่คะ ยิ่งไปกว่านั้น การที่จักรพรรดินีซึ่งเป็นอัครมเหสีของจักรพรรดิไม่สามารถทรงครรภ์ได้นั้นย่อมเป็นปัญหาใหญ่…”

“เจ้ากำลังจะบอกว่าเราไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้อย่างนั้นหรือ”

ในที่สุดแพทริเซียก็ต้องถามออกไปด้วยสีหน้าเครียดเขม็ง แต่พิทูเนียก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจราวกับกำลังหลงผิดคิดว่าความคิดของตนถูกต้อง

“จะบอกว่าไม่คู่ควร…ก็ไม่รู้สิเพคะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพระองค์ขาดคุณสมบัติ…”

“นี่เจ้ากำลังพูดอะไรของเจ้า”

ตอนนั้นเองน้ำเสียงโกรธขึ้งของคนผู้หนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา

Lady to Queen

Lady to Queen

‘เปโตรนิยา’ และ ‘แพทริเซีย’ เป็นบุตรีฝาแฝดของ‘ตระกูลโกรเชสเตอร์’ สองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียว ตระกูลโกรเชสเตอร์จึงอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมา ทว่า ความสงบสุขนั้นมีอันต้องสั่นคลอน เมื่อเปโตรนิยา บุตรีคนโตถูกเลือกเป็นจักรพรรดินี จนนำไปสู่จุดจบอันแสนเศร้าที่ทั้งตระกูลถูกประหารภายใต้กิโยติน เมื่อบุตรีคนเล็กของตระกูลอย่างแพทริเซียลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่า เธอได้ย้อนเวลากลับมา ณ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ครั้นได้เห็นรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นพี่สาวอีกครั้ง แพทริเซียก็ปฏิญาณตนในใจอย่างแน่วแน่ ‘ข้าจะเป็นจักรพรรดินีแทนท่านพี่เอง’ แพทริเซียอาสาเข้ารับการคัดเลือกจักรพรรดินี คราวนี้เธอจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อการนั้น เธอจึงต้องเผชิญหน้ากับทั้งความรักและความชิงชังอีกครั้ง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset