Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี – ตอนที่ 40 เจ้าดูเปลี่ยนไปมาก

ข้ารับใช้จำนวนหนึ่งเมื่อเห็นแพทริเซียก็รีบทำความเคารพ แพทริเซียพยักหน้าให้พวกนางเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม

“ข้างในมีใครอยู่บ้าง”

“พระจักรพรรดิกับหัวหน้าหมอหลวงเพคะ ฝ่าบาท”

แพทริเซียพยักหน้าน้อยๆ และออกคำสั่ง “กราบทูลที”

“ฝ่าบาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขอเข้าเฝ้าเพคะ”

“ให้นางเข้ามา”

“เชิญเสด็จเพคะ”

ไม่นานประตูก็เปิดออก แพทริเซียเผลอสูดหายใจสั้นๆ จะตื่นเต้นกับเรื่องแค่นี้ทำไมกัน มันจะสักแค่ไหนเชียว แพทริเซียเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่อหน้าดวงตาทั้งสองข้างของนางปรากฏภาพของหัวหน้าหมอหลวง…และเขา แต่นางก็ยังคงก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย เมื่อหมอหลวงเห็นนางก็รีบถวายความเคารพทันที

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอความสุขสวัสดิ์จงมีแด่จักรวรรดิ”

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี พระอาการของฝ่าบาทเป็นอย่างไร”

“กระหม่อมได้ตรวจดูไปเมื่อสักครู่ หากนอนพักฟื้นเช่นนี้ต่อไปอีกหนึ่งสัปดาห์ พระวรกายก็น่าจะกลับมาเป็นปกติ ไม่มีปัญหาอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านคงเหนื่อยมากแล้ว กลับไปได้แล้วล่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมทูลลา”

เมื่อหัวหน้าหมอหลวงออกจากห้องไป ในห้องก็เหลือสมาชิกอยู่เพียงสองคน แพทริเซียหันไปมองลูซิโอที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่

อาจเป็นเพราะเขาตื่นขึ้นแล้ว ตอนนี้จึงดูไม่ซีดเซียวเหมือนตอนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

ความรู้สึกที่พวยพุ่งขึ้นมาทำให้หญิงสาวกัดริมฝีปากอย่างแรง นี่เป็นสิ่งที่นางทำบ่อยๆ เมื่อต้องการระงับอารมณ์ความรู้สึก หลังจากสงบใจลงได้แล้ว นางก็เดินไปนั่งใกล้ๆ ลูซิโอ

“…”

อา ข้าควรจะพูดอะไรก่อนดี แพทริเซียจับต้นชนปลายไปถูก ข้าควรจะเริ่มพูดอะไรกับสายตาที่ว่างเปล่าของเขาดี

การบริหารจัดการงานของจักรวรรดิเป็นไปอย่างราบรื่นดี นางควรบอกเขาหรือไม่ว่าไม่ต้องกังวลในส่วนนั้น? นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็ยังมีเรื่องที่ยังจับคนร้ายที่ทำเรื่องชั่วช้าในครั้งนี้ไม่ได้ เรื่องนั้นควรรายงานหรือไม่? และนอกจากเรื่องนั้น…

“หน้าตาดูซูบผอมทีเดียว”

“…”

ครั้นได้ฟังดังนั้น ความคิดต่างๆ ในหัวแพทริเซียก็แตกกระจายพร้อมกับเส้นความอดทนที่ขาดผึง หญิงสาวเกิดบันดาลโทสะพลั้งปากโต้กลับ

“นั่น…ใช่เรื่องที่ควรจะพูดตอนนี้หรือเพคะ”

“เราได้ยินเรื่องที่เจ้าต้องเป็นผู้สำเร็จราชการฯ มาจากพวกนางกำนัลแล้ว นั่นมิใช่เรื่องง่ายเลย เจ้าคงลำบาก…”

“พอ”

แพทริเซียตัดบทด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง นางรู้สึกเหมือนมีอะไรบ้างอย่างผิดเพี้ยนไปจนยากที่จะอดกลั้น เดิมทีตนเป็นคนที่ทำอะไรตามอารมณ์เช่นนี้หรือ? ถึงขนาดปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนกล้าตัดบทจักรพรรดิที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา

แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเวลานี้ แม้แต่ตัวนางที่เปลี่ยนแปลงไปก็ไม่อาจอดทนอดกลั้นได้โดยง่าย นางรู้สึกเหมือนบางสิ่งที่คอยประคับประคองความคิดของนางอย่างยากลำบากได้หักสะบั้นลง

นั่นคือความรู้สึกสับสนที่มนุษย์มักรู้สึกเมื่อเรื่องไม่เป็นไปตามที่คิด

แน่นอนว่านางก็ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเป็นไปในรูปแบบนี้แต่มันก็เป็นไปแล้ว ตัวนางเอง…ก็ไม่คิดว่าจะเริ่มบทสนทนาด้วยถ้อยคำเช่นนี้…

“พอแค่นั้นเถอะเพคะ”

“…สีหน้าของเจ้าดูไม่ดีเลย แล้วก็…ดูเหมือนเจ้าจะเปลี่ยนไปมาก”

ทำพูดของเขาทำให้แพทริเซียยิ้มเศร้า เปลี่ยนไปมาก? ใช่แล้ว ข้าเปลี่ยนไปมาก เพราะในที่สุดคนโง่เขลาอย่างข้าตระหนักรู้แล้วว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของจักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดินั้นทั้งคับแคบและด้อยค่าเพียงใด

ด้วยเหตุนั้นข้าจึงต้องเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้ มิเช่นนั้นจะมีอะไรมารับประกันว่าข้าจะไม่ถูกกระทำเช่นนี้อีก?

“เพราะหม่อมฉันรู้แล้วเพคะ ว่าอำนาจของจักรพรรดินีที่ไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิมันตกต่ำได้มากเพียงใด” แพทริเซียตอบกลับเสียงห้วน

“…”

คำพูดนั้นทำให้ลูซิโอก็ถึงกับพูดไม่ออก แพทริเซียจึงรีบพูดต่อ

“…หม่อมฉันมิได้พูดเพื่อให้พระองค์หันมาสนใจหม่อมฉันหรอกเพคะ หม่อมฉันมิได้เปลี่ยนไปถึงขนาดพูดประชดประชันคนป่วยที่เพิ่งฟื้น”

“…อย่างนั้นหรือ”

“พระวรกาย…เป็นอย่างไรบ้างเพคะ”

และคำพูดแรกที่นางเค้นออกมาได้คือประโยคนั้น ซึ่งมันทำให้ลูซิโออมยิ้มอย่างว่างเปล่า แพทริเซียรู้สึกสับสนเพราะสีหน้าของเขาดูซับซ้อนเกินบรรยาย ขณะที่นางกำลังสับสนอยู่นั้นลูซิโอก็ตอบคำถาม

“ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้ว หมอหลวงเองก็กล่าวเช่นนั้น”

“…ทรงบุ่มบ่ามเกินไปนะเพคะ”

เมื่อหมดห่วงแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือคำตำหนิ ลูซิโอจ้องมองแพทริเซียที่กำลังต่อว่าตนอยู่

“จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิสละพระวรกายง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ ทรงไม่คิดถึงเรื่องที่จะตามมาบ้างเลยหรือ”

น้ำเสียงที่คล้ายจะโกรธนั้นช่างน่าประทับใจนัก ผู้หญิงคนนี้เคยแสดงอารมณ์เช่นนี้ใส่ข้าสักครั้งไหมนะ? ไม่สิ อย่าว่าแต่ ‘อารมณ์เช่นนี้’ เลย ตั้งแต่ต้นนางเคยแสดงอารมณ์หรือไม่ข้าก็ไม่แน่ใจ นางทั้งไร้อารมณ์ สงบนิ่ง และดูราวกับไม่แยแสอะไรมาโดยตลอด ครั้งแรก…นี่น่าจะเป็นครั้งแรก

“เหตุใดพระองค์จึงขาดสติเช่นนั้นเพคะ”

เหตุใดนางจึงโกรธ? ว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่เข้าใจอีกฝ่ายเลย ไม่ว่าเรื่องที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แต่ที่นางยังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเขามิใช่หรือ? นางควรจะดีใจสิ มิใช่มาโกรธ ลูซิโอถามกลับอย่างไม่เข้าใจ

“เหตุใดเจ้าจึงโกรธ”

แพทริเซียรู้สึกตกใจกับคำถามนั้น จากนั้นนางก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง

“พระองค์ตรัสเช่นนั้นได้อย่างไร ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะชื่นชมหรือเพคะ”

“เราไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำชม แต่ก็ไม่คิดว่าเจ้าจะโกรธ เพราะโดยปกติแล้วก็ไม่ควรโกรธผู้มีพระคุณมิใช่หรือ”

“หม่อมฉันพูดในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ หาใช่ในฐานะจักรพรรดินี ทีนี้พระองค์เข้าใจหม่อมฉันหรือยังเพคะ”

“ที่เจ้าต่อว่าเราเพราะเจ้าไม่พอใจที่ต้องออกว่าราชการในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ หรือ”

“…”

แพทริเซียคิดว่าบทสนทนากำลังเป็นไปในทิศทางที่แปลกๆ ทำไมเขาถสึงคิดว่านางโกรธเพราะเรื่องนั้น และที่สำคัญทำไมนางถึงโกรธ?

กับคนป่วยคนนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่สิ เมื่อวานนางยังภาวนาขอให้เขาฟื้นอยู่เลย ขอเพียงเขาฟื้นนางก็จะไม่โกรธ แพทริเซียพยายามพูดให้เป็นปกติที่สุดแม้ใจกำลังสับสนว้าวุ่น

“…มิใช่อย่างนั้นเพคะ”

“เช่นเจ้าโกรธด้วยเรื่องอันใด”

“เรื่องนั้น…!”

จู่ๆ แพทริเซียก็พูดไม่ออก นั่นสิ ทำไมนางถึงโกรธล่ะ นางไม่มีเรื่องที่ควรจะต้องโกรธเสียหน่อย

ต่อให้มีเหตุผลที่นางจะเป็นห่วงเขาก็ตาม แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับเขาจนต้องเดือดเป็นฟืนเป็นไฟมิใช่หรือ

แม้แพทริเซียจะไม่รู้คำตอบ แต่นางต้องตอบคำถาม หญิงสาวค่อยๆ พูดคำตอบของตนออกไป

“หม่อมฉันเป็นห่วงเพคะ ฝ่าบาท”

“นั่นคือเหตุผลที่เจ้าโกรธหรือ”

“ไม่เพียงพอหรือเพคะ”

“ไม่พอ หากเจ้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเราจริงๆ หากเจ้าไม่ได้มองเราเป็นอื่นนอกจากจักรพรรดิ ต่อให้เจ้าเป็นห่วงเรา แต่เจ้าก็คงไม่โกรธ”

“…”

แพทริเซียไม่พูดอะไร

ต้องมีความรู้สึกพิเศษกับอีกฝ่ายเท่านั้นหรือจึงจะโกรธได้? ตัวนางรู้คำตอบนั้นดีแต่ไม่ได้ผลีผลามยอมรับมัน บางทีนั่นอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว นางค่อยๆ เรียบเรียงความคิดอย่างใจเย็นเพราะเดิมทีเหตุผลของความรู้สึกก็ไม่ใช่สิ่งที่อธิบายได้ง่ายๆ อยู่แล้ว

“หม่อมฉันไม่ชอบเป็นภาระของใครเพคะ”

“ภาระ”

“ยิ่งต้องติดหนี้ยิ่งไม่ชอบ หม่อมฉันคิดว่าเรื่องคราวนี้ทำให้หม่อมฉันติดหนี้พระองค์”

“…”

“ทรงคิดเสียว่าหม่อมฉันโกรธเพราะเรื่องนั้นแล้วกันเพคะ แน่นอนว่าเรื่องเป็นห่วงนั้นก็เป็นความจริง”

“เรื่องหนี้ที่เจ้าว่า เราจำได้ว่าเราพูดอย่างชัดเจนแล้ว”

“…”

“มิใช่หรือ”

ท่านบอกว่าท่านชดใช้สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันเลี้ยงต้อนรับภริยาคณะทูต อา ตอนนั้นข้ายังตกใจที่ท่านพูดคำนั้นออกมาอยู่เลย

มาลองคิดดูตอนนี้ก็พอจะเข้าใจได้ แต่นั่นก็ไม่ถึงกับต้องแลกด้วยชีวิตของจักรพรรดิกระมัง พูดอย่างไม่คิดคือเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องใส่ใจเรื่องนั้นด้วยซ้ำ

แพทริเซียทำสีหน้าลำบากใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยความรู้สึกออกมาตรงๆ

“สถานการณ์นี้ทำหม่อมฉันสับสนยิ่งนัก”

“เราก็เช่นกัน เราไม่นึกว่าเจ้าจะโกรธเช่นนี้”

“เฮ้อ…”

แพทริเซียถอนหายใจออกมา เดิมทีนางไม่ได้คิดจะแสดงความโกรธออกมา แต่นางกลับทำตามอารมณ์มากเกินไปเสียแล้ว

หลังจากวันนั้นนางก็มั่นใจว่าตนจะไม่ทำตัวเช่นนี้อีก แต่ไฉนจู่ๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แพทริเซียตีอกชกหัวตัวเองอยู่ในใจขณะเปลี่ยนเรื่องสนทนาด้วยสีหน้าอ่อนล้า

“ฝ่าบาทคงจะทราบแล้วว่าระหว่างที่พระองค์ทรงหมดสติ หม่อมฉันได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนในฐานะที่เป็นจักรพรรดินี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือเรื่องเล็กน้อยหม่อมฉันได้จัดการแทนพระองค์ทั้งหมดแล้ว สำหรับประเด็นสำคัญที่ไม่ได้เร่งด่วนอะไร หม่อมฉันมิอาจตัดสินใจได้ตามอำเภอใจจึงได้เลื่อนออกไปก่อน แต่ก็มีไม่มากเพคะ หลังจากที่พระองค์กลับมาทรงงานได้ก็คงไม่ลำบากอะไร”

“…ลำบากเจ้าแล้ว”

“หม่อมฉันอยู่ตรงนี้ก็เพื่อสถานการณ์เช่นนี้เพคะ หากจะว่ากันตามจริงนี่ก็เป็นความผิดของหม่อมฉัน…”

“เรื่องนั้นมิใช่ความของเจ้า บางทีอาจเป็นความผิดของเราเอง”

“…หม่อมฉันยังจับคนร้ายไม่ได้เพคะ”

แพทริเซียอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำลงเล็กน้อย “ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนผู้ต้องสงสัยทุกคนแต่ก็ไม่ง่าย อย่างที่ทรงทราบว่าคนพวกนั้นไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย”

“…บารอเนสเฟ็ลปส์ก็รวมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่”

“เป็นเช่นนั้นเพคะ”

เมื่ออีกฝ่ายถามถึงโรสมอนด์ อารมณ์บนใบหน้าของแพทริเซียก็หายไปในทันที นางไม่ยินดีที่จะสนทนาเรื่องผู้หญิงคนนั้นไม่ว่ากับใคร แม้คนผู้นั้นจะเป็นจักรพรรดิก็ตาม

“หม่อมฉันจะหาหลักฐานมาให้ได้เพคะ นางมิอาจหนีความผิดได้พ้น” แพทริเซียพูดอย่างไร้เมตตา

“…”

ลูซิโอมีสีหน้าเจ็บปวด หากว่ากันตามจริง แพทริเซียเองก็เข้าใจหัวอกของอีกฝ่าย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ลงมือทำอะไร นางจะลงทัณฑ์โรสมอนด์ และแน่นอนว่าการลงทัณฑ์นั้นหมายรวมถึงชีวิตของฝ่ายนั้นด้วย

“ฝ่าบาทจะขัดขวางหรือเพคะ” หญิงสาวถามอีกฝ่าย

“เจ้าพูดถึงอะไร”

“เรื่องที่หม่อมฉันจะลงทัณฑ์บารอเนสเฟ็ลปส์ พระองค์…ทรงรักนางมิใช่หรือเพคะ”

“ตอนเด็กๆ เราเคยคิดนะว่าหากได้เป็นจักรพรรดิแล้วเราจะทำอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงเอาแต่นับวันรอที่จะได้เป็นจักรพรรดิ”

“ก็เป็นเรื่องจริงมิใช่หรือเพคะ”

“ไม่เลย โลกนี้หามีอำนาจเบ็ดเสร็จที่ควบคุมได้ทุกสิ่งอย่าง หากใช้อำนาจเกินขอบเขตย่อมเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง และหากเป็นเช่นนั้น อำนาจเบ็ดเสร็จก็จะถูกทำลายลงในที่สุด”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงขื่นขม แพทริเซียรู้สึกได้ถึงโทสะอันไร้ที่มาในน้ำเสียงของเขา แต่สีหน้าของนางก็ยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เอ่ยปากถามต่อ

“เช่นนั้น แม้หม่อมฉันจะมอบกิโยตีนให้นางเป็นของขวัญ พระองค์ก็คงจะทำนิ่งเฉยได้กระมังเพคะ”

“จักรพรรดินี”

เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ แพทริเซียสงสัยเหลือเกินว่าเขาจะกล่าวอะไรต่อไปจึงพยักหน้าให้สัญญาณว่าตนฟังอยู่

Lady to Queen

Lady to Queen

‘เปโตรนิยา’ และ ‘แพทริเซีย’ เป็นบุตรีฝาแฝดของ‘ตระกูลโกรเชสเตอร์’ สองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียว ตระกูลโกรเชสเตอร์จึงอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมา ทว่า ความสงบสุขนั้นมีอันต้องสั่นคลอน เมื่อเปโตรนิยา บุตรีคนโตถูกเลือกเป็นจักรพรรดินี จนนำไปสู่จุดจบอันแสนเศร้าที่ทั้งตระกูลถูกประหารภายใต้กิโยติน เมื่อบุตรีคนเล็กของตระกูลอย่างแพทริเซียลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่า เธอได้ย้อนเวลากลับมา ณ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ครั้นได้เห็นรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นพี่สาวอีกครั้ง แพทริเซียก็ปฏิญาณตนในใจอย่างแน่วแน่ ‘ข้าจะเป็นจักรพรรดินีแทนท่านพี่เอง’ แพทริเซียอาสาเข้ารับการคัดเลือกจักรพรรดินี คราวนี้เธอจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อการนั้น เธอจึงต้องเผชิญหน้ากับทั้งความรักและความชิงชังอีกครั้ง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset