Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี – ตอนที่ 51 อย่าไป

นางกำนัลจำนวนหนึ่งยืนรวมตัวกันอยู่ที่ต้นเสียงอย่างที่คิด แต่ก็มีจำนวนไม่มาก เพียงสามสี่คนเท่านั้น อาจด้วยเกรงว่าจะเป็นที่ผิดสังเกต ทั้งหมดเป็นนางกำนัลระดับสูงที่คอยรับใช้จักรพรรดิอย่างใกล้ชิด

แพทริเซียเดินเข้าไปหาพวกนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเหล่านางกำนัลเห็นผู้มาใหม่ก็พากันตกใจก่อนจะโค้งคำนับอย่างรวดเร็ว แพทริเซียมองพวกนางด้วยแววตาสั่นไหวและเปิดปากพูด

“ตอนนี้…ในห้องนี้…”

“…”

ร่างกายของพวกนางสั่นเทา สีหน้าไม่สู้ดีนัก หรือว่า…จริงหรือนี่…

‘ที่ข้าเดา…เป็นเรื่องจริงหรือ’

แพทริเซียสูดหายใจสั้นๆ ก่อนจะถามคำถามที่เปรียบได้ดั่งกล่องแพนโดรา[1]

“ฝ่าบาท…ประทับอยู่อย่างนั้นหรือ”

“…”

ไม่มีใครพูดอะไรออกมา นั่นสินะ มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะพูดอะไรได้อีก แพทริเซียค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขึ้นอย่างเทียบไม่ได้กับเมื่อครู่ ประสานกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบานประตูที่ถูกเปิดช้าๆ

“อ๊ากกกก!”

ภาพที่อยู่หลังบานประตูช่างน่าเวทนาและประหวั่นพรั่นพรึง พระจักรพรรดิในชุดนอนกำลังร้องคร่ำครวญอยู่ในห้องนั้น ใช่แล้ว ที่จริงจะเรียกว่าร้องคร่ำครวญก็ยังเบาเกินไป สิ่งที่เขาทำมิใช่การร้องคร่ำครวญ แต่คล้ายกับ…ร้องคำรามเสียมากกว่า

“…ปิดประตู”

“ฝ่าบาท…”

“เร็วสิ”

แพทริเซียต้องออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดประตูจึงปิดลง เมื่อเสียง ปัง! ดังขึ้นจิตใจของนางจึงสงบลงได้ หากมีใครมาเห็นภาพนี้อีกคงไม่ดีนัก ด้วยเหตุนี้พวกนางกำนัลถึงห้ามตนไว้สินะ แม้สุดท้ายแล้วตนจะใช้อำนาจจนเข้ามาในห้องนี้ได้ก็ตาม

“…”

แพทริเซียมองผู้ชายที่กำลังคร่ำครวญและคลุ้มคลั่งด้วยแววตาแข็งเกร็ง ลูซิโอ แคร์ริก จอร์ช เดอ มาวินอส ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง เป็นจักรพรรดิและเป็นดั่งดวงอาทิตย์ของจักรวรรดินี้ ผู้ชายคนนั้นกลับกลายเป็นคนเสียสติไปเสียแล้ว

“ฝ่าบาท”

เสียงของแพทริเซียยังคงสั่นเครืออยู่มาก ทำไมกันนะ? เพราะอะไรกัน? นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจักรพรรดิป่วยเป็นโรคทางจิต ในยามปกติเขาก็ดูปกติดี เช่นนั้นแล้วนางควรจะอธิบายสภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้อย่างไรดี

“ฝ่าบาท”

เพราะความกลัวหรือ? น้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอ ริมฝีปากสั่นระริก มือเย็นเฉียบ ใช่แล้ว นางคิดว่าตนกำลังกลัว กลัวที่ได้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ครั้งแรก

แพทริเซียเบิกตากว้างมองลูซิโอ สภาพของเขาในตอนนี้ดูราวกับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง ช่างน่าสะเทือนใจนัก แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะลองเรียกเขาอีกครั้ง

“ฝ่าบาท”

ครั้นสิ้นเสียงเรียกครั้งที่สามเขาก็หันมา ดวงตาคู่นั้นดูแดงก่ำ ลมหายใจหนักหน่วงหอบพ่นออกมาจากปาก รอยน้ำตาแห้งเหือดอยู่ทุกอณูบนหน้า อา เขากำลังร้องไห้

“เหตุใด…”

นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะด้วยความสะเทือนใจ เป็นความสะเทือนใจที่เหมือนกับตอนที่ศีรษะของเปโตรนิยาตกลงมาต่อหน้าต่อตา ร่างบางเดินเซโดยไม่รู้ตัว ภาพตรงหน้านี้รุนแรงเกินกว่าที่ร่างกายอ่อนแอของนางจะรับไหว แพทริเซียเรียกสติคืนมาอย่างยากลำบากและเรียกลูซิโออีกครั้ง

“ฝ่าบาท”

แม้นางจะเรียกเป็นครั้งที่สี่แล้วแต่เขาก็ยังคร่ำครวญไม่หยุด หวีดร้องทุรนทุรายคล้ายทรมานแทบขาดใจ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ภาพที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คืออะไรกันแน่ นี่มันเรื่องอะไร…

“ฮือ…อ๊ากกกก!”

ภาพที่เขากรีดร้องนั้นดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เขาเป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรือ? ร่างของแพทริเซียซวนเซจนล้มลงไปกองกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ยังคงร้องไห้คร่ำครวญ เสียงนั้นทำให้แพทริเซียปวดศีรษะขึ้นมา

พอเถอะ

“ฝ่าบาท เหตุใด…”

สติของนางพร่าเลือน ความคิดก็หยุดชะงัก ความคิดที่แวบเข้ามาในหัวเป็นครั้งคราวมีเพียงนางต้องหยุดความวุ่นวายนี้เท่านั้น

ลุกขึ้นสิ

แพทริเซียสั่งตัวเอง ในเวลาแบบนี้ หากนางมานั่งอยู่อย่างนี้แล้วจะทำอะไรได้ นางไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องถ่อมาถึงที่นี่เลยแท้ๆ นางไม่อยากได้ยินเสียงนี้มิใช่หรือ? นางอยากจะขจัดสิ่งที่มารบกวนการนอนของนางมิใช่หรือ? เช่นนั้น…

หยุดได้แล้ว

“หยุดเถอะเพคะ”

แต่เขาไม่หยุด

“หยุดเพคะ”

ความวุ่นวายยังคงดำเนินต่อไป

“ข้าบอกให้หยุด!”

แพทริเซียตวาดออกไปในที่สุด และแล้วในห้องก็เหลือเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ลูซิโอมองมาด้วยดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาราวกับจะทะลักออกมาเต็มแก่ จะเรียกว่าเขม้นมอง แววตานั้นก็ดูคลุมเครือ จะบอกว่าดูเป็นมิตร สีหน้าของเขาก็น่ากลัวเกินไป

เพราะฉะนั้นตัวเขาในตอนนี้ดูราวกับมองมาที่นาง แต่ก็คล้ายไม่ได้มอง ดูจากภายนอกเขากำลังมองนางอยู่ แต่ในใจเขาอาจเห็นนางเป็นใครอีกคน

“พระองค์ทรงเป็น…พระสุริยันของจักรวรรดิ โปรดรักษาพระเกียรติด้วยเพคะ ฝ่าบาท”

“…”

“เหตุใด…”

“…”

“เหตุใด…พระองค์จึงเป็นเช่นนี้”

“…”

นางปาดน้ำตาเงียบๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาผู้ชายที่กำลังจดจ้องมาที่ตน แต่ละก้าวหนักอึ้งคล้ายถูกถ่วงด้วยก้อนตะกั่ว ยากเหลือเกินที่นางจะปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้และเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่นางก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น เพราะนี่คือความเป็นจริงที่มิอาจเลี่ยง

“จู่ๆ ก็…”

แพทริเซียไม่สามารถพูดให้จบประโยคเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามากอด หญิงสาวตกใจจะดันตัวเขาออกโดยอัตโนมัติ แต่ครั้นได้ยินเสียงครวญของลูซิโอ นางก็ไม่กล้าจะทำเช่นนั้น

“ฮา…”

เขาร้องไห้พลางหอบหายใจ เขากำลังเจ็บปวด ทรมาน และทุรนทุราย สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเอาเสียเลย และไม่ใช่สิ่งที่แพทริเซียต้องการ เป็นสถานการณ์ที่น่าตกใจเป็นที่สุด

“…”

แพทริเซียไม่ได้ไร้หัวใจถึงขนาดที่จะผลักคนที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดออกไป ยิ่งเป็นคนที่เพิ่งจะอาละวาดราวกับคนวิปลาสยิ่งแล้วใหญ่ บ้าจริง แม้จะลอบก่นด่าในใจแต่นางก็กอดลูซิโอไว้อย่างระมัดระวัง

“…”

ความรักหรือ? ไม่ใช่ ความอาฆาตหรือ? นั่นก็ไม่ใช่ นี่เป็นเพียงความสงสารและความเห็นใจ แพทริเซียไม่รู้ว่าทำไม และมีเรื่องมากมายที่นางสงสัยแทบขาดใจ แต่อย่างน้อยตอนนี้นางก็รู้สึกสงสาร เขาน่าสงสารถึงเพียงนั้น น่าสงสารเหลือเกิน

แม้ว่าแพทริเซียจะสงสัยแทบตายว่าความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่ก็ตาม

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนเราจะมีสภาพตกต่ำขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ลูซิโอในตอนนี้กลับย่ำแย่ถึงขนาดนั้นแล้ว แพทริเซียสงสัยอย่างมากว่าสถานการณ์เช่นนี้คืออะไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ถ้านางอยากจะฟังเหตุผล นางต้องทำให้ผู้ชายคนนี้สงบลงเสียก่อน เพราะนางคงหาความอะไรกับคนเสียสติไม่ได้

“ฮา…”

ผ่านไปกี่นาทีแล้วนะ ไม่สิ ผ่านไปนานนับชั่วโมงแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ลูซิโอก็ค่อยๆ สงบลง ไม่สิ ยังยากจะพูดว่าเขาสงบลงแล้ว นางยังคงรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากร่างกายของอีกฝ่าย ดวงตายังคงแดงก่ำ เนื้อตัวมีรอยแดงคล้ายว่าเขาทำร้ายตัวเอง แพทริเซียเอ่ยปากถามเมื่อพิจารณาแล้วว่าเขาน่าจะพอมีสติบ้างแล้ว

“ฝ่าบาท”

“…”

“ตอนนี้…ดีขึ้นหรือยังเพคะ”

“…”

ลูซิโอไม่พูด ก็ไม่แปลก เขาคงจะอาย แพทริเซียถอนหายใจและปล่อยมือที่โอบกอดเขา ดวงตาของนางหนักอึ้งเพราะความอ่อนเพลียที่ถาโถมเข้ามา แพทริเซียคิดว่าไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นนี้เพราะอะไร หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ไม่สำคัญไปกว่าการนอนของนางอีกแล้ว หญิงสาวผละตัวออกไป ยันตัวลุกขึ้นและพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“ฝ่าบาทคงจะไม่สบายพระทัยที่หม่อมฉันอยู่ด้วย เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา ส่วนเรื่องวันนี้หม่อมฉันจะเก็บเป็นความลับ ฝ่าบาทโปรดวางพระทั…”

คำพูดของแพทริเซียหยุดชะงัก นางก้มลงมองลูซิโอที่ดึงชายกระโปรงของนางไว้ ดวงตาคู่นั้นดูแดงก่ำอย่างน่าประหลาด

“อย่าไป”

“…”

นี่คงเป็นคำพูดที่ทำให้นางใจสั่นหากนางพอจะมีใจให้เขาอยู่บ้าง น่าเสียดายที่แพทริเซียไม่ได้สนใจผู้ชายคนนี้ นางไม่ได้พิศวาส หรือสงสารเขา ยิ่งเป็นความชอบหรือความรักยิ่งไม่ใช่ คำพวกนั้นน่าจะเหมาะกับโรสมอนด์มากกว่า

 แพทริเซียไม่พอใจในการกระทำของอีกฝ่ายเท่าใดนัก หากจะพูดกันตามตรง นางรู้สึกลำบากใจและรำคาญใจ เพราะตอนนี้นางกำลังเหนื่อยล้าจากความวุ่นวายเมื่อครู่

“อย่าไป”

“…”

ช่างน่าเสียดายที่จิตใจของนางเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ความรู้สึกที่มากล้นนี้จึงเผื่อแผ่ไปถึงเขาด้วย แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ บ้าจริง เขาเรียกร้องความสนใจ

“พระองค์ไม่ค่อยชอบหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ”

นางพูดกับลูซิโอเพียงเท่านั้น เตรียมจะหันกายจากไป แต่เขาก็รั้งไว้อีกครั้ง

“อย่าไป”

“…พระองค์มิได้ชอบหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ เพราะฉะนั้น…”

“ชอบสิ เพราะฉะนั้นอย่าไปเลยนะ”

“…”

“ได้โปรด…”

อา และแล้วนางก็เข้าใจ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ชอบนาง สิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่เป็นเพียงคำพูดเพ้อเจ้อที่ใช้รั้งนางไว้เท่านั้น แพทริเซียไม่ได้โง่ขนาดที่จะแยกแยะความจริงข้อนั้นไม่ออก ดังนั้นหัวใจของนางจึงไม่ได้เต้นระรัวหรือหวั่นไหวกับน้ำคำของชายคนนี้

แพทริเซียเย็นชากับเรื่องนี้เป็นพิเศษ แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะนิสัยของนางเอง แต่สำหรับนาง เขาเคยทำผิดต่อนางมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่สิ ต่อให้ตัดเรื่องพวกนั้นออกไป มันก็กะทันหันเกินไปอยู่ดีมิใช่หรือ จู่ๆ คนเราจะชอบพอกันได้อย่างไร

“…เฮ้อ”

หญิงสาวถอนหายใจออกมา เคยได้ยินมาว่าหัวใจของคนเราจะเต้นแรงในตอนที่รู้สึกกลัวและรู้สึกดี เพราะฉะนั้นบางครั้งเราอาจเข้าใจผิดว่าความกลัวคือความรู้สึกดี ผู้ชายคนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาคงคิดไปเองว่าความกลัวของเขาคือความรู้สึกดีกระมัง

ต่อให้มองในแง่ดี เรื่องนี้ก็ยังยากที่จะจบลงได้ด้วยดี แต่ถึงอย่างไรแพทริเซียก็นั่งลงอีกครั้ง นางรู้สึกว่าหากจากไปทั้งอย่างนี้ตนคงจะกลายเป็นคนไม่ดีเป็นแน่

“ไม่ต้องตรัสในสิ่งที่ไม่ได้คิดก็ได้เพคะ หม่อมฉันไม่ไปไหนหรอก”

“…”

“พระองค์ไม่ได้ไม่อยากให้หม่อมฉันไป แต่ไม่อยากอยู่ในห้องนี้คนเดียวสินะเพคะ”

“…”

“ใช่ไหมเพคะ”

ลูซิโอไม่พูดไม่จา ดูท่านางจะพูดแทงใจดำกระมัง เขาเพียงแต่จ้องมองมาด้วยแววตาหวาดกลัว ลูซิโอในตอนนี้แตกต่างจากปกติมากเกินไปจนดูแปลกตาสำหรับแพทริเซีย หญิงสาวกัดริมฝีปากพลางบ่นพึมพำในใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

“หม่อมฉันเพลียเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันต้องอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไร”

“…”

“ตรัสอะไรบ้างสิเพคะ หม่อมฉันอึดอัด”

“…”

แต่ถึงกระนั้นลูซิโอก็ยังเงียบ แพทริเซียตัดสินใจแล้วว่าหยุดสร้างบทสนทนากับเขาจะดีต่อสุขภาพจิตของตนมากกว่า เปลือกตาของนางเริ่มคล้อยลงทุกที อา จะทิ้งเขาไว้แบบนี้แล้วหลับไปก็คงไม่ดีกระมัง

แพทริเซียพยายามสุดกำลังบังคับไม่ให้ตัวเองหลับ แต่การใช้วิจารณญาณมาฝืนธรรมชาติของมนุษย์นั้นช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุด และแล้วหญิงสาวก็ล้มตัวลงนอนทั้งอย่างนั้นแม้ว่าเพิ่งจะตัดสินใจว่าจะไม่ไปไหนได้เพียงครู่เดียว

โรคนอนไม่หลับก็มิอาจเอาชนะความอ่อนเพลียได้ สิ่งที่แพทริเซียเห็นเป็นสิ่งสุดท้ายคือภาพลูซิโอใช้ดวงตาแดงก่ำที่ยังมีแววของความหวาดกลัวนั้นมองมาที่ตน

[1] กล่องแพนโดรา เป็นกล่องที่บรรจุความชั่วร้ายที่ทำให้จิตใจของมนุษย์ไม่บริสุทธิ์ ตำนานกล่าวไว้ว่าแพนโดราถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือที่ประณีตของเทพและเทพีหลายองค์โดยมีจุดประสงค์เพื่อจะลงโทษมนุษย์ กล่องแพนโดราถูกเรียกตามชื่อของ ‘แพนโดรา’ สตรีซึ่งเป็นผู้เปิดกล่องนี้จนทำให้ความชั่วร้ายที่ถูกกักเก็บไว้ภายในหลุดออกมา

Lady to Queen

Lady to Queen

‘เปโตรนิยา’ และ ‘แพทริเซีย’ เป็นบุตรีฝาแฝดของ‘ตระกูลโกรเชสเตอร์’ สองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียว ตระกูลโกรเชสเตอร์จึงอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมา ทว่า ความสงบสุขนั้นมีอันต้องสั่นคลอน เมื่อเปโตรนิยา บุตรีคนโตถูกเลือกเป็นจักรพรรดินี จนนำไปสู่จุดจบอันแสนเศร้าที่ทั้งตระกูลถูกประหารภายใต้กิโยติน เมื่อบุตรีคนเล็กของตระกูลอย่างแพทริเซียลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่า เธอได้ย้อนเวลากลับมา ณ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ครั้นได้เห็นรอยยิ้มสดใสของผู้เป็นพี่สาวอีกครั้ง แพทริเซียก็ปฏิญาณตนในใจอย่างแน่วแน่ ‘ข้าจะเป็นจักรพรรดินีแทนท่านพี่เอง’ แพทริเซียอาสาเข้ารับการคัดเลือกจักรพรรดินี คราวนี้เธอจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อการนั้น เธอจึงต้องเผชิญหน้ากับทั้งความรักและความชิงชังอีกครั้ง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset