Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 937 : ไม่กี่วันถัดมา

จักรพรรดินีแห่งความอับโชคและหวาดกลัว… นั่นมันเทพธิดาไม่ใช่หรือ? ใช่แล้ว ความอับโชคเป็นส่วนหนึ่งในขอบเขตโชคชะตา เทพธิดามีอำนาจแบบนั้นอยู่ เป็นเรื่องปรกติที่จะพลังในการตอบสนอง… การที่วิล·อัสตินแนะนำเราแบบนี้ ไม่ใช่การแนะนำส่งๆ แต่เขามั่นใจว่าเราเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ของเทพธิดา เพียงแต่ยังไม่รู้ตัว… ผลลัพธ์เหมือนกับตอนที่ทำนายเกี่ยวกับวิธีได้รับโอสถลำดับสูงของเส้นทางนักทำนาย… หลังจากเหตุการณ์วิหารนักบุญแซมมวล ดูเขาจะมั่นใจขึ้นมา… ไคลน์ตกใจในตอนต้นก่อนจะเริ่มกระจ่างในภายหลัง

คล้ายกับกำลังพึมพำ มันกล่าว

“หากสวดวิงวอนถึงเทพธิดา ไม่ว่าจะเลือกสัญลักษณ์แบบนี้ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะเอนเอียงไปทางขอบเขตของความโชคร้าย”

“นั่นเป็นความรู้พื้นฐานอยู่แล้ว!” ทารกที่ห่อด้วยผ้าไหมสีเงินโพล่งขึ้น

หลังจากได้รับการยืนยัน ไคลน์ที่เริ่มมั่นใจในตัวเองเผยรอยยิ้ม

“ตกลง… แล้วคุณยังใช้ชื่อวิล·อัสตินอยู่ไหม?”

มันอยากทราบว่า อีกฝ่ายจะเปลี่ยนชื่อหลังจากคลอดหรือไม่

“ถ้าเจ้าชอบจะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ชื่อใหม่ของข้าคือวิล·คริสต์” ทารกตอบเสียงเรียบ

ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ถามด้วยความสงสัย

“ถ้าอยากจัดการกับผู้ถือครอง 0-08… คุณมีคำแนะนำอย่างไร? ผมไม่อยากทราบข้อมูลของ 0-08 แค่อยากทราบว่าคุณมีข้อเสนอแนะบ้างไหม”

ทารกจ้ำม่ำเผยรอยยิ้มพร้อมกับแหกปาก

“อุแว๊!”

มุมปากไคลน์ขยับเล็กน้อย เมื่อเห็นสาวใช้กำลังจะตื่น มันรีบถอยหลังสองสามก้าวและหายตัวไปพร้อมกับหุ่นเชิดทั้งสอง

ณ น่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ บนอนาคตกาลที่จอดเทียบท่าอยู่ในท่าเรือของกลุ่มต่อต้าน

‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียามองเห็นเลือดหยดหนึ่งลอยออกจากบานประตูมายาของพิธีกรรมซึ่งก่อตัวจากแสงเทียนไข

เพียงเธอมองผิวเผิน ดวงตารีบปิดสนิททั้งที่กำลังสวมแว่นตาหนาเตอะ

ในวินาทีนี้ ภายในใจเธอคล้ายกับมีกงล้อลึกลับและมหัศจรรย์หมุนวน ก่อตัวกลายเป็นอสรพิษสีเงินที่ส่วนหัวเชื่อมติดกับหาง

ฉากดังกล่าวทำให้เธอเอาแต่คิดเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปมา ก่อนจะรีบขอบคุณเดอะฟูลพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่เริ่มกลับมาเป็นปรกติ

ไม่ผิดแน่ นี่คือเลือดจากสัตว์ในตำนานเส้นทางโชคชะตา แถมยังมีระดับสูงกว่าเทวทูตทั่วไป… แคทลียาสิ้นสุดพิธีกรรมอย่างมีความสุข นำอุปกรณ์ที่เตรียมไว้บรรจุเลือดลงไป

หลังจากได้รับข้อมูลของเส้นทางสัตว์ประหลาดมาจากราชินีเงื่อนงำ ผนวกกับการทราบถึงการมีอยู่ของ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุสจากมิสเตอร์ฟูล เพียงไม่นานก็สามารถคาดเดาเจ้าของหยดเลือด

อาจเป็นคนของโรงเรียนชีวิต และอาจเป็นอีกหนึ่งลำดับ 1 ของเส้นทาง… แต่ไม่ว่าจะแบบไหน จำนวนเทวทูตที่มิสเตอร์ฟูลครอบครองก็ไม่ต่ำกว่าสอง แถมยังมี ‘มารบรรพกาล’ ที่เรายังไม่มีข้อมูล… ถ้าไม่นับเรื่องที่ยังขาดแคลนสมบัติปิดผนึก ขุมพลังขององค์กรที่นับถือมิสเตอร์ฟูลสามารถเทียบชั้นได้กับเจ็ดโบสถ์หลัก เป็นความแข็งแกร่งชนิดที่นิกายมอสส์และแก่นรุ่งอรุณเทียบไม่ติด

สมแล้วที่เป็นเทพบรรพกาลผู้กำลังฟื้นคืนพลัง…

แคทลียาที่ตกตะลึงไปสักพัก เริ่มถอนหายใจยาว หันมาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง

การเตรียมตัวด้านอื่นๆ นับว่าราบรื่นมาก หากไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมาย อีกเดียวเดือนกว่าๆ ก็จะได้ทดลองเลื่อนเป็นลำดับ 4 และได้ครอบครองออร่าเทพ!

ท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึ้มและสายฟ้าสีเงินผ่าลงมาเป็นระยะ บรรยากาศโดยรอบสว่างไสวจนมองเห็นแม่น้ำที่คดเคี้ยวแต่เหือดแห้ง

และใจกลางทุ่งกว้าง ตรงจุดที่แม่น้ำคดเคี้ยวครึ่งวงกลม เงารางของบางสิ่งกำลังซ้อนทับกันหลายชิ้นอย่างเด่นสง่า ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากเมืองร้างอันไร้ชีวิตชีวา

หลังจากเดินทางมาหลายวัน ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโสของเมืองเงินพิสุทธิ์ ‘นักล่าปีศาจ’ โคลิน·อีเลียดนำทีมสำรวจมาถึงจุดหมาย – เมืองนอร์ธ

ทีมสำรวจชุดนี้มีสมาชิกไม่มาก หากไม่นับโคลินจะมีเพียงสี่คน หนึ่งในนั้นคือหกสภาอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์ รวมถึงลำดับ 5 การ์เดี้ยนสองคนซึ่งประกอบด้วยลิเกอร์และกุนนาลุน และลำดับ 6 นักบวชแสง เดอร์ริค·เบเกอร์ ความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าทีมสำรวจเต็มอัตราศึก บางทีอาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ

ตามคำบอกเล่าของโคลิน·อีเลียด เป็นเพราะเมืองนอร์ธเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดดุร้าย ส่งผลให้สถานที่ดังกล่าวอันตรายมาก แถม ‘ตัวจำแลงกาย’ ก็ยังปลอมตัวได้เก่งกาจ ชอบอาศัยความไว้วางใจระหว่างพวกพ้องเป็นจุดแข็ง ส่งผลให้ยิ่งทีมสำรวจมีขนาดเล็กเท่าไรก็ยิ่งดี และเมื่อยิ่งเป็นทีมเล็ก ก็ยิ่งต้องเป็นการรวมตัวของหัวกะทิ

หลังจากมองไปยังเมืองด้านหน้าที่ปกคลุมด้วยหมอกจาง ถึงขนาดสายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นระยะยังไม่ช่วยให้มองเห็นด้านใน ‘นักล่าปีศาจ’ โคลิน·อีเลียดชักดาบยาวทั้งสองเล่มออกมาถือ ทาครีมสีเทาเงินลงไปบนคมดาบเล่มหนึ่ง ส่วนอีกเล่มฉาบด้วยของเหลวสีทอง

จากนั้น มันปักดาบยาวทั้งสองเล่มลงบนพื้นด้านหน้า ก่อนจะนำขวดโลหะจำนวนสามขวดออกจากช่องลับในเข็มขัด เปิดฝาและดื่มยาด้านในเข้าไปรวดเดียว

ขณะเดียวกัน ลิเกอร์และกุนนาลุนต่างเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มศึก ส่วนทางด้านเดอร์ริค·เบเกอร์ถือค้อนด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างผายออก ตามด้วยการเปล่งภาษาคนยักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พระองค์ตรัสว่า จงสัมฤทธิผล!”

ท่ามกลางความเงียบงัน โคลิน·อีเลียดและคนที่เหลือต่างรู้สึกราวกับยาวิเศษที่ดื่มเข้าไป แสงยามเช้าที่พวกมันอาบร่าง ครีมและขี้ผึ้งที่ฉาบลงบนดาบ ทั้งหมดถูกเสริมพลังเล็กน้อยโดยพร้อมเพรียง

ทันใดนั้น วงแหวนอันแสนอบอุ่นที่กระเพื่อมอย่างงดงาม นำพาความกล้าหาญและฮึกเหิมยังทีมสำรวจทุกคน

หลังจากเดอร์ริคใช้ ‘คำสาบานศักดิ์สิทธิ์’ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้ทุกคน โคลินชำเลืองไปทางโลเฟียร์ที่กำลังยืนถือโคมไฟหนังสัตว์อย่างเงียบงัน ก่อนที่มันจะมองตรงไปยังเขตรอบนอกของเมืองนอร์ธซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบยี่สิบเมตร กล่าวกับเด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

“จงใช้พลังของคุณทำให้ถนนข้างหน้าสว่าง”

กล่าวจบ มันมองไปรอบๆ ก่อนจะพูดเสริม

“หลังจากเข้าเขตเมืองนอร์ธ ห้ามแยกตัวเด็ดขาด… ผมเคยแนะนำสัตว์ประหลาดในแถบนี้ให้ทุกคนรู้จักไปหมดแล้ว คงตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า ตัวจำแลงกายจะฉวยโอกาสที่พวกเราแยกออกจากกัน”

กุนนาลุนคือนักรบหญิงหน้าตาดี สูงสองเมตรครึ่ง ได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าว

“ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกเราถึงไม่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวเพื่อล่าตัวจำแลงกาย?”

“อย่าเสี่ยงดีกว่า แผนนั้นอันตรายเกินไป ง่ายต่อการที่พวกเราจะพลาดท่าฆ่ากันเอง หรือไม่ก็หลงทางอยู่ในเมืองนอร์ธแห่งนี้ไปตลอดกาล” โคลิน·อีเลียดเจ้าของเส้นผมสีเทายุ่งเหยิง กล่าวตักเตือนด้วยมาดเคร่งขรึม

เดอร์ริคมองไปข้างหน้าที่ปกคลุมด้วยหมอกจาก ซักถามตามความเคยชิน

“ท่านเจ้าเมือง เมืองนี้เคยอยู่ภายใต้วังราชาคนยักษ์หรือไม่?”

“ถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันก็อยู่ใกล้กับอีกหนึ่งเทพบรรพกาล” นักล่าปีศาจตอบเยือกเย็น

ในท่าแบกกระบองเหล็กดำสองอัน ลิเกอร์ที่มีความสูงไม่ต่ำกว่าสองเมตรครึ่งเช่นกัน ซักถามด้วยความสงสัย

“เทพบรรพกาลตนใด?”

“ราชาหมาป่าอสูร จอมทำลายล้าง เฟรเกีย”

งั้นหรือ… เดอร์ริคจดจำคำสั่งของเจ้าเมือง เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับผายมือออกสองข้าง

ทันใดนั้น แสงอาทิตย์อันบริสุทธิ์ผุดผ่องพลันพวยพุ่งออกจากร่างเด็กหนุ่ม ช่วยมอบความสว่างแก่ซากปรักหักพังของอาคาร รวมถึงถนนหินเบื้องหน้า ฉาบเมืองที่แสนสงบสุขอย่างท่วม

บนถนน เงารางของคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในการมองเห็นของเดอร์ริคและคนที่เหลือ บ้างแต่งกายด้วยผ้าลินิน บ้างสวมเสื้อผ้าหนังสัตว์ ท่าทางคล้ายกำลังยุ่งมาก

ทันทีที่ถูกแสงแดดอาบร่าง พวกมันต่างหันมามองเป็นตาเดียวโดยปราศจากสุ้มเสียง สายตาทุกคนล้วนจดจ้องมาทางทีมสำรวจจากเมืองเงินพิสุทธิ์

ตกกลางคืน เสียงนกกาและนกอื่นๆ จะดังขึ้นเป็นระยะรอบท่าเรือแบนชี ส่งผลให้เมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังแห่งนี้มีกลิ่นอายความตายและความมืดมนชัดเจนขึ้น แม้แต่เสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งก็ยังมิอาจขจัดความรู้สึกดังกล่าวได้หมดจด

ในฐานะสาวกของวายุสลาตัน และในฐานะลูกเรือของโทสะสีคราม เหล่าลูกเรือล้วนเต็มไปด้วยความห้าวหาญ ไม่แยแสบรรยากาศอันน่าขนลุกของซากอาคารโดยรอบ สนใจเพียงทรัพย์สินและเงินทองที่อาจหลงเหลือ มีแต่จะยิ่งเพิ่มความกระตือรือร้น ทันทีที่จอดเทียบท่าก็ลงเรือทันที จับกลุ่มสองถึงสามคนและกระจายกันออกค้นหา

อัลเจอร์มิได้ร่วมวงสำรวจ เพียงเดินเตร็ดเตร่ไปตามซากอาคารโดยหวังตามหาร่องรอยหรือเบาะแสหลังจากเมืองถูกทำลาย

ขณะเดิน อัลเจอร์ที่สวมแหวน ‘แส้จิต’ และเหน็บ ‘มีดหมื่นพิษ’ ไว้ตรงเอวก็มาถึงกำแพงที่ถูกทำลายไปหลายส่วน ตรงประตูที่ถล่มลงมีซากไม้ไหม้เกรียมจำนวนหนึ่ง

ถ้าจำไม่ผิด ที่นี่ควรจะเป็นสำนักงานโทรเลขของท่าเรือ… อัลเจอร์พยักหน้ารับ ขยับเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเพ่งมองอย่างละเอียด

มันพบว่า ท่ามกลางเศษไม้และหินกรวด บนพื้นที่ว่างๆ สีดำไหม้เกรียม มีรอยเลือดสองจุดเป็นทางยาว คล้ายกับมนุษย์สองคนถูกบดเป็นซอสเนื้อที่นั่น

และแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปนานแล้ว แต่เลือดสีแดงทั้งสองจุดกลับยังสว่างสดใส คล้ายกับยังแฝงไว้ด้วยชีวิตชีวา

หน้าผากอัลเจอร์กระตุกแผ่วเบาทันที มันสามารถจินตนาการถึงบางสิ่งที่ชั่วร้ายก่อนจะเกิดเหตุการณ์บุกทำลายท่าเรือแบนชี

เมื่อกวาดตามองสักพัก อัลเจอร์สังเกตเห็นว่าข้างๆ จุดเลือดทั้งสองจุด บริเวณที่แสงจันทร์เข้าถึงได้ยาก มีภาพหนึ่งถูกสลักอยู่บนซากผนัง

ภาพดังกล่าวค่อนข้างหยาบ แถมยังไม่มีสี เป็นภาพสัตว์ประหลาดหัวปลาหมึกกำลังสวมชุดเกราะ ถือสามง่ามยาว ร่างกายปกคลุมไปด้วยสายฟ้า ใต้เท้าเป็นคลื่น ด้านหลังเป็นผ้าคลุมขนนก!

รูม่านตาอัลเจอร์พลันขยายออก ภายในใจกำลังปั่นป่วนสุดขีด

มันทราบดีว่าสัตว์ประหลาดในภาพหมายถึงสิ่งใด เพราะเดอะซันน้อยเคยแสดงให้เห็นแล้ว

นี่คือภาพของเทพวายุสลาตันที่ถูกกุหลาบไถ่บาปบิดเบือน!

และการที่ภาพเช่นนี้ยังคงอยู่ย่อมหมายความว่า คนของกุหลาบไถ่บาปเพิ่งมาถึงและวาดไว้จากเกิดเหตุการณ์บุกถล่ม ไม่อย่างนั้น ภาพไม่มีทางสมบูรณ์ได้ถึงเพียงนี้ท่ามกลางซากอาคารบ้านเรือนที่ยับเยิน เป็นภาพที่ถูกวาดขึ้นในภายหลัง!

นี่คือเบาะแสที่เดอะเวิร์ลบอกให้เราค้นหาในท่าเรือแบนชี? เขากำลังตามล่ากุหลาบไถ่บาป? อัลเจอร์พึมพำเล็กน้อยก่อนจะยกมือขวา

เดิมที มันตั้งใจจะทำลายภาพให้ไม่เหลือซาก แต่หลังจากครุ่นคิดสักพัก อัลเจอร์ตัดสินใจหดแขนกลับและเดินอ้อมสำนักงานโทรเลขราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

…………………………………….

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset