Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 832 : หมู่บ้าน

ราชันเร้นลับ 832 : หมู่บ้าน
ก่อนจะเข้าสู่โหมด ‘ภาพตัด’ ความคิดไคลน์มีเพียงสองเรื่อง

แข็งแกร่งฉิบ… หมดสิทธิ์ต่อต้านโดยสิ้นเชิง…

ถ้าตายไปในสภาพนี้ เราจะคืนชีพได้ไหม…

ขณะความคิดแล่นผ่าน ดวงตาไคลน์มืดสนิท สิ้นสติโดยสิ้นเชิง ราวกับเข้าสู่ห้วงนิทราที่ปราศจากความฝัน

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ความมืดอับแสงไร้เสียงเริ่มสั่นไหว สติชายหนุ่มพร่ามัว รู้สึกคล้ายลมหนาวพัดผ่าน

เมื่อสติเริ่มกลับคืน ไคลน์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องทะเลหมอกด้านบนซึ่งมีดวงจันทร์สีแดงเข้มซ่อนอยู่

เราคืนชีพอีกครั้ง? หรือว่าที่นี่คือ ‘โลกแห่งความตาย’ ? ถ้าเป็นอย่างหลัง อย่างน้อยก็ยังพอมีทางออก บางทีเราอาจขอความช่วยเหลือจากผู้ส่งสารของมิสเตอร์อะซิก แต่ปัญหาคือ เราจะกลายเป็นสัตว์วิญญาณหรือไม่ก็อันเดด… สมองไคลน์ยังคงเฉื่อยชา คล้ายกับมีใครบางคนวางยาชาที่ท้ายทอย ความคิดฟุ้งซ่านอย่างมิอาจควบคุม

ทีละเล็กละน้อย ชายหนุ่มค่อยๆ สัมผัสถึงการมีอยู่ของร่างกาย ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวและแรง

เมื่อสติเริ่มคมชัด ไคลน์เชื่อว่าตนน่าจะคืนชีพใหม่อีกครั้ง บางทีอาจเป็นการจับโยนมายังทุ่งกว้างทุรกันดาร

แกร่ก!

เสียงข้อต่อดังลั่นขณะไคลน์พยุงตัวลุกยืน โดยไม่สนสภาพร่างกาย ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวเพื่อยืนยันสภาพแวดล้อม

สิ่งแรกที่เห็นคือหมอกหนา ค่ำคืนอันมืดมิดและเหน็บหนาว มีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ห่างไปไม่ไกล

สิ่งก่อสร้างที่เด่นสะดุดตาที่สุดในเมืองคือวิหารเก่าแก่ซึ่งมียอดแหลม ดำสนิทไปทั้งหลัง ไม่มีหอระฆัง ด้านบนสุดมีอีกาดำบนโฉบอย่างต่อเนื่อง

รอบวิหารมีอาคารหลายหลัง ไม่ว่าจะบ้านสองชั้นธรรมดา บ้านไม้เรียบง่าย ร้านขนมปังแขวนป้ายไม้ โรงสีกังหันลมสีเทาอ่อน แต่ปราศจากคนเดินถนนโดยสิ้นเชิง คล้ายกับกำลังหลับใหลในค่ำคืนอันสุขสงบ

ในฐานะนักทำนาย ไคลน์พบว่าเมืองนี้คุ้นเคยอย่างน่าเหลือเชื่อ ราวกับเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่งในอดีต!

หลังจากทบทวนความจำสักพัก มันเริ่มนึกออก

นี่คือ ‘ต้นตอ’ ของความอันตรายในช่วงกลางคืนบน ‘ซากสมรภูมิแห่งเทพ’ !

หลังจากเข้าสู่น่านน้ำสุดเขตฝั่งตะวันออกของทะเลโซเนีย ถ้าตกกลางคืนแล้วใครไม่ยอมนอนเพื่อเข้าสู่โลกแห่งความฝัน เมื่อถึงช่วงฟ้าสว่าง พวกพ้องจะพบว่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีครั้งหนึ่งที่ไคลน์ถูกปลุกให้ตื่นโดย ‘นักบุญมืด’ ชายหนุ่มพบว่าบนทะเลในจุดห่างไกล มีสถานที่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยความสุขสงบยามค่ำคืน รายล้อมด้วยหมอกพิสดาร!

ไคลน์ยังสงสัยด้วยว่า สิ่งมีชีวิตที่หายสาบสูญไปในยามค่ำคืน ล้วนถูกนำตัวมาที่นี่!

ปัจจุบัน ชายหนุ่มได้เข้ามาอาศัยด้วยตัวเอง หากจากหมู่บ้านสายหมอกไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร!

เป็นพลังที่เกี่ยวข้องกับยามค่ำคืน… เป้าหมายหายไปราวกับถูกลบ… พลังของสมาชิกระดับสูงของโบสถ์ไม่ใช่การลบศัตรูให้หายไปจากโลก แต่เป็นการส่งมาที่นี่แทน? สิ่งมีชีวิตที่หายไปในซากสมรภูมิแห่งเทพ ก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน? กล่าวกันว่า พลังทำนายมิอาจระบุตำแหน่งของพวกเขาได้ ทราบเพียงว่ายังมีชีวิตอยู่… แต่อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่เราคืนชีพและมาเกิดที่นี่… ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์ถอนสายตากลับ ใช้พลังตัวตลกตรวจสอบร่างกายตัวเอง

รูปลักษณ์เปลี่ยนกลับไปเป็นไคลน์·โมเร็ตติ แต่ยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำของนักบวชสำหรับผู้คุม ไม่มีอาการบาดเจ็บ

อาศัยประสบการณ์อันโชกโชน ไคลน์สงบลงอย่างรวดเร็ว นำมือขวาล้วงกระเป๋าเสื้อ เปิดกล่องบุหรี่โหละ หยิบถุงมือหนังมนุษย์ที่ถูกพับไว้มาสวมที่มือซ้าย

หลังจากยืนยันว่ายุบพองหิวโหยยังใช้งานได้ ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงอะซิกขึ้นมาจ่อปากเป่า

ทว่า ท่ามกลางเนตรวิญญาณที่เปิดอยู่ ผู้ส่งสารโครงกระดูกไม่ปรากฏตัว

ไคลน์ไม่ประหลาดใจกับผลลัพธ์มากนัก มองว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครสามารถติดต่อกับคนที่หายตัวไปในซากสมรภูมิแห่งเทพ ต้องไม่ลืมว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คดีคนหายย่อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากบรรดาเหยื่อทั้งหมด ต้องมีสักคนที่สามารถอัญเชิญผู้ส่งสาร ตัวอย่างที่ชัดเจนคือคนของนิกายวิญญาณ

สถานที่แห่งนี้ถูกตัดขาดจากโลกวิญญาณ? ถ้าอย่างนั้นก็คงใช้ ‘ท่องเที่ยว’ ไม่ได้… สมแล้วที่เป็นสมาชิกระดับสูงซึ่งศาสนจักรไว้ใจส่งมายุติโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน… ท่าน ‘ส่ง’ เป้าหมายมาที่นี่เพื่อเนรเทศ หรือไม่ก็กักขัง… หากติดอยู่ในนี้ การหนีออกไปไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เป็นระดับนักบุญก็ตาม… ไคลน์มิได้ตื่นตระหนัก ค่อนข้างใจเย็นด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มกลับนกหวีดทองแดงอะซิกกลับเข้ากล่องบุหรี่โลหะ เตรียมถอยหลังสี่ก้าว

มันคิดจะทำลายการ ‘จองจำ’ จากเมืองแห่งนี้ด้วยการเข้าไปอยู่ในมิติเหนือสายหมอก!

“เซียนราชันฟ้าดินประทานโชค”

“เทพสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”

“จักรพรรดิสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”

“ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค”

ไคลน์ขยับทีละก้าว เพียงไม่นานก็เสร็จพิธีกรรม

ทว่า ชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงเพรียกอันบ้าคลั่ง ไม่เห็นสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้ง

นี่มัน… รูม่านตาไคลน์หดตัว มึนงงไปสองสามวินาที

สถานที่แห่งนี้ตัดขาดแม้กระทั่งห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทา!

ไพ่ตายของตนต้องกลายเป็นหมัน!

หลายครั้งหลายครา ไคลน์พึ่งพาความช่วยเหลือจากมิติหมอกเพื่อหลบหนีหรือเอาตัวรอดจากสถานการณ์ แต่ปัจจุบัน วิธีดังกล่าวกลับใช้ไม่ได้ผล

นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริงที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้!

ให้ตายสิ… รู้สึกเหมือนกับสูตรโกงถูกนำออก… ไคลน์ผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดด้วยการรำพัน

อาศัยประสบการณ์ในเชิงศาสตร์เร้นลับ ชายหนุ่มเชื่อว่าหมู่บ้านสายหมอกตรงหน้า อาจมีความเกี่ยวข้องกับเทพแท้จริง เพราะนั่นคือเหตุผลเดียวที่อธิบายว่า ทำไมมันถึงสามารถตัดขาดกับมิติเหนือสายหมอก

บรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างมืด… เราถูกส่งเข้ามาโดยสมาชิกระดับสูงของโบสถ์… หรือที่นี่จะเป็น ‘คุก’ ของเทพธิดา? เป็นไปได้ เพราะพระองค์คือ ‘มารดาแห่งความลับ’ สามารถเปลี่ยนคนหรือสิ่งของให้อยู่ในสถานะ ‘ถูกปกปิด’ จนไม่มีใครหาพบอีกเลย… หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ตัดสินใจเข้าไปในเมืองเพื่อสำรวจ เพราะเบาะแสของทางออกน่าจะอยู่ภายในนั้น

ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มไม่คิดกังวลว่าตนจะเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ไม่ได้

แน่นอน ไคลน์ได้ยกเลิกชุมนุมทาโรต์ล่วงหน้าไว้แล้ว เนื่องจากแผนขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสเต็มไปด้วยอันตรายและปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุม ไคลน์เชื่อว่าตนมีโอกาสไม่รอด ต้องใช้เวลาสักพักในการคืนชีพ จึงหว่านล้อมสมาชิกทุกคนด้วยเหตุผลที่เหมาะสม บอกให้พวกเขาใช้เวลาที่หยุดไปเพื่อเตรียมความพร้อมให้ดี

หลังจากตัดสินใจ ไคลน์บังคับวิญญาณอาฆาตในร่างกายให้โผล่ออกมาข้างๆ

หุ่นเชิดอยู่ในสภาพแย่มาก ออร่าเย็นยะเยียบคล้ายแก่นผนึก การควบคุมด้วยด้ายวิญญาณเชื่องช้าลงเล็กน้อย

อา… คงพอใช้งานได้อีกสองสามวัน… นอกจากนั้น ต้องไม่ลืมว่ามิสเตอร์ A เองก็ถูกอาวุโสของโบสถ์ลบเลือน อาจกำลังซ่อนตัวสักแห่งภายในละแวกใกล้เคียง ต้องคอยระวังคนบ้ารายนี้ให้ดี… ไคลน์แปลงโฉมเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางส่งหุ่นเชิดของพลเรือเอกโลหิตเข้าไปในหมู่บ้านหมอก

ด้วยความที่ไม่ละเลยกฎเหล็ก ชายหนุ่มทิ้งระยะห่างจากร่างต้นราวหนึ่งร้อยสิบเมตร

หลังจากย่อยโอสถมาได้สักพัก ระยะควบคุมของไคลน์เพิ่มเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบเมตร นอกจากนั้นยังใช้เวลาเข้าควบคุมเหยื่อขั้นต้นลดลง รวมถึงเวลาในการเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ หากเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีระดับใกล้เคียงกัน การควบคุมขั้นต้นจะใช้เวลาเพียงสิบหกวินาที และสี่นาทีในกรณีหลัง

ท่ามกลางโลกอันเงียบสงัดที่เต็มไปด้วยหมอก ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลในสภาพสวมหมวกสามมุมใบเก่าและแจ็คเก็ตสีแดงเข้ม เดินเข้าไปในหมู่บ้านพิสดารอย่างง่ายดาย

ประตูบ้านหลายหลังภายในเมืองกำลังเปิดอ้า คล้ายกับรอต้อนรับผู้มาเยือนจากภายนอก ไคลน์ถอนสายตาออกจากหุ่นเชิด จ้องไปยังขนมปังขาวที่ถูกกัดทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งภายในบ้าน รวมถึงแก้วไวน์แดง มีดและส้อมสีเงินสภาพยุ่งเหยิง

ราวกับใครบางคนกำลังกินอาหารเย็น แต่แถวนี้ไม่มีใครอยู่ ประหนึ่งว่าเจ้าของบ้านอันตรธานหายไปในอากาศ

หายไป… จู่ๆ ไคลน์ก็สนใจคำคำนี้ รีบบังคับให้เซนอลมองไปทางโรงสีพลังกังหันสีเทาอ่อน

ภายในโรงสี กังหันลมกำลังหมุนเงียบงัน แต่ไม่มีแป้งออกมา มีเพียงแป้งเก่าจำนวนมากที่กระจายเต็มพื้น

ฉากนี้คุ้นตามาก… เหมือนว่าเราเคยเห็นมาก่อน… ไคลน์ขมวดคิ้ว บังคับหุ่นให้สำรวจไปรอบๆ พลางนึกทบทวนฉากที่คล้ายคลึงกัน

ขณะเตรียมใช้พลังทำนายฝันเพื่อถามพลังวิญญาณ คำตอบที่ต้องการผุดขึ้นในหัว

ฉากที่คล้ายกันเคยปรากฏขึ้นในซากปรักหักพังบนยอดเขาโฮนาซิส!

จากข้อมูลของทีมสำรวจ ภายในบ้านเรือนมีของตกแต่งและเครื่องเรือนสภาพเหมือนใหม่ จิตรกรรมฝาผนังที่แทบไม่เสียดาย บางโต๊ะยังมีอาหารเย็นๆ เหลืออยู่มาก บางจานอาหารเริ่มเน่า… ในบางห้อง ไวน์ที่เหลืออยู่ครึ่งขวดมีสีเกือบใส…

ทีมสำรวจระบุว่า ในตอนแรกที่เห็นฉากตรงหน้า พวกเขาคิดว่าชาวเมืองน่าจะหายตัวไปอย่างกะทันหันพร้อมกัน!

หมู่บ้านสายหมอกแห่งนี้เกี่ยวข้องกันซากเมืองบนยอดเขาโฮนาซิส? บ้าน่า… ทั้งที่พยายามหลีกเลี่ยง แต่เรากลับเป็นฝ่ายถูกดึงเข้ามาหาเอง? กล้ามเนื้อใบหน้าไคลน์กระตุกเล็กน้อย ไม่อยากทำใจยอมรับข้อสันนิษฐานของตัวเอง

แน่นอน ลำพังความคล้ายกันของสภาพแวดล้อม ยังไม่เพียงพอให้ด่วนสรุป

หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกเชื่องช้า ไคลน์สงบสติตัวเองพลาง ‘เชิด’ เซนอลเข้าไปสำรวจในส่วนลึก

ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา

หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัว รีบนำร่างต้นเข้าไปซ่อนในโรงสีข้าว พร้อมกับบังคับให้หุ่นเชิดหยุดนิ่ง

ไม่กี่วินาทีถัดมา ‘วิญญาณอาฆาต’ เซนอลเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินออกจากตรอกใกล้เคียง

อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีขาวโพลน ผมเกล้ามวยหลวมๆ เผยให้เห็นต้นคอขาวเนียน ใบหน้างดงามจนน่าเหลือเชื่อ

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset